ผมเป็นคนเพชรบูรณ์ แดนดินถิ่นมะขามหวาน บ้านเกิดอดีต "ขวัญใจชาวไทย" เขาทราย แกแล็คซี่ ยอดนักมวยแชมเปี้ยนโลกที่สร้างความประทับใจให้คนไทยมากที่สุดรองจาก โผน กิ่งเพชร
นอกจากนั้น ยังมีข่าวลือเรื่องผีดุเหลือเชื่อ!
ผีโรงแรมไงครับ ที่เขาเล่าขานกันปากต่อไป ไปถึงกรุงเทพฯ ยันภาคใต้ ทั่วเหนือและอีสานน่ะไม่ต้องพูดถึงหรอก...ใครได้ยินล้วนแต่ขนลุกขนพองไปตามๆ กัน
มีคนมาพักโรงแรมนั้นแล้วโดนฆ่าหมกห้องเมื่อราว 20 ปีก่อน จับฆาตกรไม่ได้จนถึงป่านนี้ วิญญาณก็สิงอยู่ในห้องพักชั้น 3 ตั้งแต่นั้นมา
ใครทะเล่อทะล่าเข้าไปพักเป็นโดนผีหลอกกระเจิง ร้องเอะอะโวยวายแทบโรงแรมแตก ส่วนมากน่ะอยู่ไม่ได้ตลอดคืนหรอกครับ อย่างเก่งแค่ครึ่งค่อนคืนก็ร้องจ๊าก เผ่นแน่บแทบไม่คิดชีวิตไปตามๆ กัน!
ใครโดนหลอกน่ะหรือครับ?
มีทั้งคนในจังหวัดใกล้เคียงและคนกรุงเทพฯ บังเอิญระยะนั้นฟองสบู่ยังไม่แตก แต่กำลังเริ่มโป่งพอง ราวปี 2532 เห็นจะได้ เงินทองหมุนสะพัดเหลือเชื่อ ขนาดซื้อที่ตอนสาย พอถึงบ่ายๆ ขึ้นราคาแล้ว...หลายๆ รายซื้อปุ๊บเป็นขายได้ปั๊บก็มี
ผู้คนก็แห่ไปซื้อที่เก็งกำไรกันน่ะซีครับ แถวบ้านผมก็ซื้อไร่มะขามหวาน ไร่ยาสูบ แม้แต่ที่ว่างๆ เอาไว้เก็งกำไรกันสนุกสนานครึกครื้นยังกะมีงานเทศกาลแน่ะ แต่มันมีตลอดทั้งปี คึ่กๆ ไปถึงปี 2533 น่ะซี
โรงแรมเต็มเพียบ ร้านอาหารขายดิบขายดี แหล่งบันเทิงผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด บาร์ คาเฟ่ คลับและสาวบานฉ่ำ...ขอให้บอกเถอะว่ากรุงเทพฯ มีอะไร รับว่าเพชรบูรณ์กับหล่มสักมีไอ้นั่น
ว่าแต่ผีโรงแรมหลอกหลอนยังไง?
มีคนที่วิ่งเตลิดเหมือนคนบ้า ร้องโว้ยๆ กลางดึก ตั้งสติอารมณ์ได้ก็เล่าสู่กันฟังว่า มีทั้งอาบน้ำซู่ๆ กับทีวีปิดเองเปิดเอง...มีทั้งมาเดินวนเวียนอยู่ในห้องจนไม่เป็นอันหลับอันนอน...มีทั้งขึ้นมานอนอ้าซ่าบนเตียง เป็นซากศพเละเทะราวกับคืนฝันร้ายยังไงยังงั้น
ใครไม่เผ่นกระเจิงก็เลือดเย็นเป็นน้ำแข็ง ประสาทแข็งยิ่งกว่าเส้นลวดละน่า
มีคนกรุงเทพฯ มาพัก 2 คน เป็นเสี่ยทั้งคู่ ดูเหมือนจะแวะค้างคืนก่อนจะเลยไปหล่มสัก แต่เจอประสบการณ์สยองเข้าเสียก่อน
นั่นคือเดินชมเมืองนิดหน่อย กลับโรงแรมเข้าคอฟฟี่ช็อป ซดเหล้าเคล้าเสียงเพลง พอมึนกำลังดีก็สั่งอาหารมากินจนอิ่มหนำสำราญ เรียบร้อยแล้วก็ชวนกันขึ้นลิฟต์เข้าห้องนอนที่ตรงกับประตูลิฟต์พอดี
พอเปิดไฟสว่างก็เห็นฤทธิ์เดชของห้องผีสิงทันใด!
ไม่ต้องเสียเวลามาหลอกหลอนด้วยการอาบน้ำซู่ซ่า หรือเปิดทีวีเองให้เมื่อย แต่ว่าปรากฏตัวให้เห็นจะจะกันไปเลย
"มันมาวิ่งกันรอบห้องเห็นๆ" คนหนึ่งเล่าปากคอสั่น "เลือดแดงฉานไปทั้งตัว วิ่งคึ่กๆ ผ่านเราไปมาเหมือนวิ่งในสนาม เพื่อนผมถึงกับล้มแผละไปดื้อๆ ผมเองร้องด่าได้คำเดียวก็กระโจนหนีไม่คิดชีวิต เพื่อนมันร้องไห้โฮ ตะเกียกตะกายคลานตามมา ทั้งด่าทั้งร้องไห้! โอย...เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น ผีอะไรวะ...ดุฉิบหายวายตลิ่ง! เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นจริงๆ เอ้า"
คนที่มาพักห้องผีสิงก็เพราะไม่เคยรู้กิตติศัพท์มาก่อนน่ะซีครับ คนอยากลองของก็มี...เจอ "ของ" เข้าจนร้องจ้าหาแม่ไปตามๆ กัน!
ในที่สุดทางโรงแรมก็ยอมแพ้ เพราะเอายันต์มาปิดก็แล้ว เชิญหมอผีมาไล่ผีก็แล้ว แต่ไม่สำเร็จ เลยปิดตายห้องนั้นด้วยการเอาไม้ยาวๆมาตอกขวางประตูให้เห็นๆกัน จะได้ไม่มีการเผลอไผลเปิดห้องอุบาทว์ให้แขกพักอีกต่อไป
ขนาดนั้นยังไม่วายเลยครับ!
ใครมาพักห้องข้างๆ ทั้งขวาและซ้ายก็ได้ยินเสียงทุบข้างฝาตึงตังโครมคราม จนเสียงเล่าลือแพร่หลาย ใครได้ยินก็เข็ดขยาด พากันหลีกเลี่ยงห้องพักชั้น 3 ยกเว้นแต่พวกที่ไม่รู้ข่าวจริงๆ เท่านั้น
หนักเข้าก็มีอาถรรพณ์ชั้น 3 อุบัติขึ้นจนขนหัวลุกไปตามๆ กัน
คนที่มาพักชั้น 4 ชั้น 5 กดลิฟต์ขึ้นไปดีๆ ลิฟต์ดันหยุดที่ชั้น 3 เอาดื้อๆ
บางคนคิดว่าตัวกดเลขผิด ประตูเปิดก็กดเลขใหม่ แต่บางคนเผลอนึกว่าถึงจุดหมาย ก้าวออกไปเห็นห้องผีสิงโดดเด่นต้องชะงักกึก...หันหลังได้ก็กระโจนเข้าลิฟต์ทันที แต่คนที่เข้าไม่ทันถึงกับเผ่นอ้าวไปขึ้นบันได...ไม่กล้ายืนรอลิฟต์คนเดียว อีกต่อไป
โธ่! เดี๋ยวประตูที่ปิดตายเกิดเปิดผางออกมาจะว่ายังไง? มีหวังหัวใจล่มสลายดื้อๆ อย่างง่ายดาย!
บางทีก็คิดว่าคนในลิฟต์ที่เข้ามาพร้อมกันต้องการขึ้นชั้นนั้น แต่เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกก็ไม่มีใครขยับเขยื้อน...มองเห็นประตูที่ปิดตาย มีไม้ขวางไว้ถึง 3 ท่อน...พอนึกได้ ต่างคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก อ้าปากค้าง ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว...แทบจะช็อกตายไปตามๆ กัน
ไม่ใช่มีแต่ "เขาเล่าว่า" เท่านั้นนะครับ แต่ผมเคยเจอกับตัวเองเข้าจังเบอร์!
นั่นคือ ผมเคยพาเพื่อนจากกรุงเทพฯ ไปพักที่ชั้น 5 มาแล้ว...เพราะโรงแรมอื่นๆ เกิดเต็มหมดน่ะซีครับ! พอขึ้นลิฟต์ก็คุยกันเพลินเพราะมีเราแค่สองคน...ประตูเปิดผางเกือบจะก้าวออกไปรอมร่อ แต่เห็นห้องผีสิงโดดเด่นสะดุดตา เล่นเอาผมคว้าแขนเพื่อนที่จะก้าวออกจากลิฟต์แทบไม่ทัน
อากาศเยือกเย็น ชวนให้วังเวงใจบอกไม่ถูก ผมหนาววูบถึงไขสันหลัง...น่ากลัวจนขนหัวลุกยิ่งกว่าเห็นผีจริงๆ อีกครับ! บรื๋อออ...
แสดงความคิดเห็น