โร่เข้าแจ้งความที่สน.บางกอกน้อย ว่าถูกทำร้ายร่างกาย สำหรับนักร้องหนุ่ม "เก่ง วาโย อัศวรุ่งเรือง" หรือ "เก่ง เดอะ สตาร์6" หลังจากเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา เจ้าตัวได้เรียกแท็กซี่จากโรงพยาบาลศิริราชเพื่อจะเดินทางกลับบ้าน และขณะนั้นนักร้องหนุ่มได้พบว่า มีรถของมูลนิธิกู้ภัยจอดกีดขวางการจราจรอยู่บริเวณอาคารนิติเวช ทำให้เจ้าตัวตัดสินใจลงไปบอกคนขับให้ขยับรถ เนื่องจากรถติดภายในโรงพยาบาล จึงเป็นเหตุทำให้ญาติของผู้เสียชีวิตไม่พอใจถึงขั้นมีปากเสียงและได้ชกต่อยนักร้องหนุ่ม และเมื่อช่วงเช้า 10.30 น.(13พ.ย.53) เก่งเดอะสตาร์6 ก็ได้ทำการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างละเอียดว่า
"เหตุการณ์ก็คือเมื่อวานตอนประมาณ 3 โมงเย็น ผมเลิกเรียนกำลังจะกลับบ้านคนเดียว ก็เลยนั่งแท็กซี่กลับ พอดีรถมันติดมากเลยครับ ก็เลยนั่งรออยู่ในรถแท็กซี่ มันรอนานมากจนเราก็แปลกใจว่า รถมันติดผิดปกติของการที่รถจะติดในศิริราช ปกติถ้าติดก็จะมีตำรวจหรือทหารอยู่ เพราะว่าศิริราชเป็นเขตพระราชฐานเผื่อมีใครเสด็จ อาจจะรถติดได้ แต่วันนั้นเราสังเกตเห็นแล้วว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารเลย ผมเองก็เป็นบุคลากรของศิริราชด้วย ที่นั่นเขาก็สอนว่าจะต้องช่วยกันตรวจเช็คคอยระวังเหตุในศิริราชด้วย เราก็ต้องช่วยกันรายงาน"
"ผมก็เลยลงไปดู แล้วก็เดินไปเรื่อยๆจนเห็นรถมูลนิธิจอดอยู่คันนึง แล้วก็ไม่ได้เปิดไฟกระพริบๆ ไม่มีคนขับอยู่ด้วย เพราะถ้าปกติรถมูลนิธิต้องจอดหน้าตึกนิติเวช แต่นี่มันด้านหลังตึกก็แปลกใจ ก็เลยเข้าไปสอบถามกับพี่เจ้าหน้าที่ว่า คนขับอยู่ที่ไหนครับ พี่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าอยู่ด้านในครับหมอ ผมก็เลยเดินเข้าไปสอบถามหาคนขับ จะให้พี่ช่วยเลื่อนรถนิดนึงเพราะว่ารถติดยาว พี่คนขับก็อธิบายว่ากำลังขนศพอยู่"
"คือผมก็สงสัย เพราะปกติการรับศพจะรับด้านหน้าตึก แต่ทำไมมาจอดข้างหลัง ก็เลยถามเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล พี่เขาก็บอกว่าหน้าตึกมีเหตุขัดข้องอะไรสักอย่างนึงเลยจอดไม่ได้ ผมก็เลยบอกว่าทำไมไม่มีการเปิดไฟกระพริบ แล้วก็มีพี่ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาเหมือนไม่ค่อยพอใจ แล้วก็เข้ามาต่อว่าผมเล็กน้อย แล้วก็มีปากเสียงกันนิดหน่อยตอนแรกผมก็ไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร เขาตะโกนมา ส่วนคำพูดที่เขาพูดมากับผมมันก็ไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่ แต่ผมก็เข้าใจว่าอยู่ในอารมณ์นั้น ผมเข้าใจได้ ผมเลยไม่ตอบโต้ เลยฝากกับเจ้าหน้าที่ให้ช่วยนิดนึง ผมก็เลยกลับมานั่งในแท็กซี่เหมือนเดิม"
"สักพักพี่ผู้ชายคนนั้นก็เดินมาหาผมที่รถ ก็เรียกให้ผมลงไป ผมก็ไม่คิดว่าจะมีอะไร ผมก็เลยลงไป (หัวเราะ) ก็นึกว่าเขาจะบอกว่าเสร็จแล้วนะครับอะไรอย่างนี้ ซึ่งปรากฏว่าเขาไม่ค่อยพอใจที่เหมือนเราไปเร่งเขา แต่มันเป็นการเข้าใจผิด ด้วยอารมณ์สูญเสีย เขาก็ถามชื่อผม แต่ผมไม่ได้บอกไปก็ปฏิเสธ เขาจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป ผมก็เลยเอามือปัดๆ (ทำท่าให้ดู) แล้วเขาก็ชกกลับมา ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป"
"ถามว่าผมมีอารมณ์ด้วยไหม ตอนมีปากเสียงก็มีบ้างครับ เพราะเรางงว่าเราคุยกับเจ้าหน้าที่อยู่ แต่มาพูดกับเราไม่ดี ซึ่งผมก็เลี่ยงกลับมาที่รถแล้ว ถามว่าผมพูดจาไม่ดีหรือมีการใช้เสียงดังหรือเปล่า มันก็มีบ้างครับ แต่ผมไม่ได้คุยกับทางญาติผู้ป่วยเลยนะแต่ที่ต้องเสียงดังเพราะศิริราชคนเยอะ แต่ไม่มีคำพูดหยาบคายอะไรออกจากปากผมเลยนะ ไม่มีเลยครับ ถามว่าผมไปกร่างเพราะความเป็นเจ้าถิ่นหรือเปล่า คงไม่ใช่ครับ แต่คิดว่าเราทุกคนที่อยู่ศิริราช เรารักที่นี่ ก็ช่วยกันดูแลเท่านั้น"
เผยหลังเกิดเหตุได้ไปปรึกษาอาจารย์ และรุ่นพี่ที่ทำแผลให้แนะให้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ ลั่นพร้อมเคลียร์คู่กรณี และขอโทษหากทำให้เข้าใจผิด
"เบื้องต้นผมก็ไปหาอาจารย์ฝ่ายกิจการนศ.ก็เลยปรึกษา ณ วินาทีตรงนั้นผมไม่คิดว่าจะไปเอาเรื่องใคร เพราะผมรู้สึกว่าที่ศิริราชเป็นบ้านเรา เราเรียนมา 5 ปี ก็เลยไปปรึกษาอาจารย์ว่า ถ้าเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นมาเราจะช่วยป้องกันกันยังไงดี ผมก็เขียนบันทึกเล่าเหตุการณ์เอาไว้ แล้วอาจารย์ก็ให้ไปตรวจแผลที่ตึกอุบัติเหตุ ก็โดนต่อยที่หน้าแล้วก็เลือดออกจมูก มีแผลฉีกที่ลิ้น มีมุมปากอีกนิดนึง แต่เขาต่อยเพียงครั้งเดียวนะ รุ่นพี่ผมที่เขาตรวจให้ เขาก็แนะนำว่าให้ไปแจ้งความไว้ที่สน.บางกอกน้อย จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ทราบครับว่าเขาเป็นใคร จำหน้าไม่ได้ด้วย เพราะผมไม่กล้ามองหน้าเขา เดี๋ยวจะกลายเป็นว่ามองหน้าทำไมอีก (หัวเราะ) จะตามคดีต่อไหม ก็ไม่ทราบครับ แต่สำหรับตัวผมมันคงเป็นเหตุที่เข้าใจกันได้ ผมคิดว่าเขาเข้าใจผิด"
"ตอนนี้ผมก็ไม่ทราบว่าเขาจะรู้ไหม ว่าเป็นผม ที่มาวันนี้ผมก็ไม่คิดว่าจะได้คำขอโทษอะไรจากพี่เขา แค่ไม่อยากให้เข้าใจผิดมากกว่า ส่วนตัวผมเองไม่ได้ติดใจอะไร เราก็เป็นผู้ชายโดนชกนิดๆ หน่อยๆ ก็คงไม่มีปัญหา ก็อยากจะบอกว่าก็ไม่ได้ติดใจอะไรครับ ถามว่าผมพร้อมเคลียร์ไหม ถ้าอีกฝ่ายติดต่อกลับมา ก็คิดว่าน่าจะเคลียร์กันได้ครับ ผมยินดีรับคำขอโทษจากพี่เขาอยู่แล้ว และตัวผมเองยังไงก็ขอโทษพี่เขาด้วยครับ(ยกมือไหว้) แล้วก็ขอโทษญาติๆ ของพี่เขาด้วย มันเป็นการเข้าใจผิดกัน ผมเองก็ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกพี่เขา ที่กำลังอยู่ในสถานการณ์สูญเสียคุณพ่อ ผมก็อาจจะไม่ได้คิดถึงในมุมเขา ก็อยากจะอธิบายให้เข้าใจว่า ผมไม่ได้มีเจตนาไปเร่งเขา ถ้าผมทราบก็จะไม่ไปเร่งเขา แต่ผมไม่ทราบเท่านั้นเอง"
แสดงความคิดเห็น