ครบรอบ 10 ปีเหตุการณ์ 911 ผ่านไปไวเหมือนโกหก

เมื่อ 10 ปีที่แล้วเราคนไทยตื่นตะลึง

ยืนมุงหน้าจอทีวีในช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่ม



ของคืนวันที่ 11 กันยายน 2544 มองดูเหตุการณ์ที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิด

อย่างเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมโลก

ใครจะคิดว่ามนุษย์พึงกระทำต่อมนุษย์ด้วยกันได้รุนแรงขนาดนั้น



สาเหตุหลักที่กลุ่มก่อการร้ายอัลเกดา (al-Qaeda)

ภายใต้การนำของอุซามะห์ บินลาเดน (Osama Binladen)

ก่อวินาศกรรมในผืนแผ่นดินสหรัฐจนถึงบัดนี้ไม่มีใครรู้แน่

แต่ก็มีนักวิเคราะห์ชี้ว่า สาเหตุเกิดจากสหรัฐให้การสนับสนุนอิสราเอลโจมตีชาวปาเลสไตน์



รวมทั้งดำเนินการคว่ำบาตรต่ออิรักเป็นเวลาหลายปี

ทำให้เด็กและคนแก่จำนวนมากต้องล้มตายเพราะขาดอาหารและยา

อีกทั้งความโกรธแค้นที่สะสมมานานจากหลายกรณีสหรัฐใช้อำนาจบาตรใหญ่

รังแกชาวมุสลิมมาตลอด



บ้างไปไกลอ้างว่า เป็นทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory)

ที่ต้องฟังหูไว้สองหู



เพราะมักสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อความสนุกสนาน

อาจมีเหตุผลสนับสนุนจากความเชื่อส่วนบุคคล

ความเชื่อเกี่ยวกับทางศาสนา การเมือง หรือวัฒนธรรมที่แตกต่างไป





ทฤษฎีสมคบคิด อ้างว่าที่จริงบุชเป็นคนบงการเบื้องหลังเครื่องบินโดยสาร

4 ลำชนตึกเวิลด์เทรด เพราะจะได้หาเหตุบุกตะวันออกกลาง



เหมือนกับทฤษฎีสมคบคิดที่โด่งดังก่อนหน้านี้ เช่น ฮิตเลอร์ และเอลวิส เพรสลีย์

ที่จริงยังไม่ตาย แต่จัดฉากให้คนเข้าใจว่าตาย

หรือศาสดาศาสนาต่างๆ ในโลกที่จริงเป็นมนุษย์ต่างดาว อะไรทำนองนั้น





มาว่ากันเรื่องเหตุการณ์ 911 ที่กลุ่มอัลเกดาขับเครื่องบินชนตึก World Trade

จนถล่มพังพาบลงมาทั้ง 2 อาคาร ทฤษฎีสมคบคิดนั่งทางในแล้วทุบโต๊ะเปรี้ยง

ตึก

World Trade ที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งโลกทุนนิยมของอเมริกา

โดนเครื่องบินพุ่งชนจนถล่ม จากการวิเคราะห์ก็มีทฤษฎีข้อพิรุธที่โต้แย้งว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าสงสัย



ว่าถล่มเพราะเครื่องบินชนจริงหรือไม่ หรือว่ามีใครจงใจทำให้มันถล่มเพื่อสร้างสถานการณ์

เพื่ออ้างผู้ก่อการร้ายและเข้าไปยึดประเทศที่อเมริกาอ้างว่าเป็นผู้ก่อการร้าย และก็เข้าไปยึดน้ำมัน อย่างเช่นประเทศอิรัก เป็นต้น



เหตุน่าสงสัยนี้ออกเป็นรายการทีวีในอเมริกามากมาย

จนเป็นกระแสน่าสงสัย รวบยอดไปเป็นที่มาของทฤษฎีสมคบคิด เป็นต้นว่า



ทางด้านมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐจะมีความคับคั่ง

การจราจรทางอากาศมากที่สุดในโลก

แต่ละหอควบคุมจะมีพื้นที่ลิ่มสามเหลี่ยมที่ต้องรับผิดชอบ

พื้นที่ทางอากาศจะแบ่งโดยข้อจำกัดความสูง

สายการบินพลเรือนจะอยู่ภายใต้การควบคุมทางบก

นักบินต้องติดต่อกับหอบังคับการบินอย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะรักษาระยะห่างของแต่เครื่องเอาไว้

ถ้ามีเครื่องบินเพียงลำเดียวสูญเสียการส่งสัญญาณ

จะก่อให้เกิดปัญหาทันทีต่อหอควบคุมมากกว่าหนึ่ง

เนื่องจากข้อมูลความสูงสูญเสียไป



หอควบคุมการบินยังคงมีสัญญาณเป็นภาพบนจอเรดาร์

จากการสะท้อนคลื่นของตัวเครื่องบิน

แต่แสงกะพริบบนจอเรดาร์นั้นมีอยู่ทั่วทุกจอในพื้นที่

ไม่เพียงแต่จุดกำเนิดเดียวที่สามารถวัดระดับความสูงของการบินได้

ถ้าเที่ยวบินดังกล่าวขาดการติดต่อจากหอควบคุมด้วยแล้ว

งานของหอควบคุมการบินจะเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว



พึงระลึกไว้ว่านี่เป็นพื้นที่ที่ยืดขยายออกไปจากปกติไปยังจุดที่มีปัญหา

ซึ่งหอควบคุมต้องเพิ่มงานมากขึ้น เที่ยวบินนี้อยู่ในห้วงที่เป็นอันตรายต่อการนำร่องการบิน

และหน้าที่แรกของหอควบคุมการบินที่แยกเครื่องบินให้บินห่างออกจากกันก็อยู่ในอันตรายเช่นกัน



ระเบียบปฏิบัติเมื่อมีการขาดการติดต่อแบบฉุกเฉินมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากนัก

คือ การปฏิบัติตามคำสั่งล่าสุด ถ้าเที่ยวบินยังคงอยู่ในระหว่างการติดต่อ

ก็ให้ปฏิบัติตามคำสั่งก่อนหน้านั้น หอควบคุมสามารถที่จะทำนายจุดที่เที่ยวบินจะเคลื่อนที่ไป

และสามารถที่จะรักษาไม่ให้เที่ยวบินข้างเคียงเข้าไปอยู่ในเส้นทางที่อันตราย

ถ้ามีการสูญเสียการสื่อสารและการส่งสัญญาณ และเที่ยวบินได้เบี่ยงออก





จากคำสั่งสุดท้าย ระบบทั้งหมดจะอยู่ในสถานะฉุกเฉินโดยทันที

และทั่วประเทศจะต้องได้รับการแจ้งเตือนภัยทันที



มีข่าวสารที่น่าสนใจอยู่ชิ้นหนึ่งที่บันทึกไว้ระหว่างหอควบคุมและนักบิน

เทปบันทึกเสียงเป็นสิ่งที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ

ซึ่งถูกทำให้หายไปหลังจากนั้นอีก 2-3 วัน ซึ่งแสดงว่ามีบางอย่างที่น่าสนใจเกิดขึ้น

เทปแสดงให้เห็นการตอบโต้ในระบบ

ทำไมหน่วยสืบสวนกลางจึงได้ริบเทปพูดคุยระหว่างหอควบคุมการบินและเที่ยวบินทั้ง 4 เที่ยวทั้งหมด



ระบบควบคุมการจราจรทางอากาศจะต้องอยู่ในภาวะตื่นตูมตั้งแต่ 2-3 นาที

แรกที่เหตุการณ์เริ่มขึ้น เราทราบดีว่าฐานทัพอากาศโอตีสอยู่ห่างเพียง 7 นาที

ในการบินมาเกาะแมนฮัตตันของเครื่องบินเอฟ 15

แล้วก็มีระบบป้องกันภัยทางอากาศทั่วทั้งพื้นที่ชายฝั่งด้านแอตแลนติก

เขตดังกล่าวก็อยู่ในระหว่างการลาดตระเวน

โดยทั่วไปแล้วการเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วไม่จำเป็นแต่อย่างใด

เพราะพวกเขาเพียงแต่เปลี่ยนเส้นทางจากเส้นทางลาดตระเวนปกติและเส้นทางการฝึกบินเพื่อเข้ามาสกัดกั้น



ระยะ 40 ไมล์ทางด้านเหนือของตึกเวิลด์เทรด

ตามแม่น้ำฮัตสันมีเป้าหมายสำคัญอันดับ 1 ของสหรัฐที่จะก่อการร้ายได้

นั่นคือ อินเดียนพอยต์ และโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ 3 แห่ง

2 แห่งผลิตพลังงานตามปกติ โดยทั้ง 3 แห่งจะสามารถแผ่รังสีนิวเคลียร์ได้นานกว่า 65 ปี

อินเดียนพอยต์อยู่ห่างเพียง 24 ไมล์ทางด้านเหนือของเขตกรุงนิวยอร์ก

ซึ่งล้อมรอบไปด้วยประชาชนที่หนาแน่นที่สุดของสหรัฐบริเวณด้านตะวันออกเฉียงเหนือ

ทำไมเที่ยวบินเอเอ 11 ถึงบินผ่านเป้าหมายอันดับ 1 ในสหรัฐของการก่อการร้าย

โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่อินเดียนพอยต์โดยไม่พุ่งชน

อเมริกันชนด้วยกันเองบอกว่า คนในเหตุการณ์มากมายได้ยินเสียงระเบิดเป็นชุดๆ

เหมือนที่เขาใช้ถล่มตึก และตึกปกติแทบไม่มีโอกาสถล่มลงมาตรงๆ

เพราะหากเสียหายด้านขวาก็ต้องเอนถล่มลงมาด้านขวาเหมือนต้นไม้

แต่นี่ลงมาตรงๆ ซึ่งเหมือนกับมีระเบิดตัดฐานของตึก จึงถล่มลงมาตรงๆ ได้



ฝรั่งทำโพล ผลปรากฏว่า 42% จากคนอเมริกัน

เชื่อว่ารัฐบาลจัดทำขึ้น (ซะงั้น)



ตึกที่ 3 ที่อยู่ใกล้เคียงที่เก็บเอกสารสำคัญมากมายก็ถล่มตามลงมา ทั้งๆ

ที่ไม่โดนเครื่องบินชน และก็ถล่มลงมาตรงๆ

เหมือนโดนระเบิด พร้อมทั้งมีเสียงระเบิดเกิดขึ้น

และหากเป็นเพราะเกิดจากความเสียหายของตึก World Trade

ก็ต้องเสียหายเฉพาะด้านที่ติดกับตึก World Trade

หากจะถล่มก็ต้องเอียงถล่มมาทางด้านความเสียหายนั้น ไม่ใช่ถล่มลงมาตรงๆ

และที่สำคัญ แทบไม่น่าเป็นไปได้ที่ตึกนี้จะถล่มเพียงแค่สาเหตุนี้





อีกประการคือ ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Physic

และวิศวกรมากมายออกมาแสดงความคิดเห็นว่า

โอกาสที่ทั้ง 3 ตึกจะถล่มลงมาตรงๆ แบบนั้น ในเวลาสั้นๆ แบบนั้น

แถบจะไม่มีโอกาสเป็นไปได้





จากการคำนวณเวลาความเร็วของการถล่มของตึกสูงขนาดนี้ลงมากองกับพื้น

เท่ากับว่าเป็นความเร็วของการถล่มแบบ Free Fall

หรือแบบร่วงหล่นโดยไม่มีฐานรองรับเลย

เหมือนโดนระเบิดตัดฐาน ซึ่งหากเป็นเพราะไฟไหม้ ก็น่าจะค่อยๆ ถล่มทีละชั้น





ถ้าผู้ก่อการร้ายมีเป้าหมายที่จะโจมตีตึกเวิลด์เทรด

คุณคิดไหมว่าทำไมพวกเขาไม่รอเวลา 11.00 น.

ซึ่งในตึกจะมีคนมากกว่า 50,000 คนขึ้นไป

และแน่นอนว่าจะทำให้คนตายมากที่สุด

และการทำลายที่เป็นพื้นฐานก็ต้องพุ่งชนชั้นต่ำสุดเท่าที่ทำได้

ซึ่งน่าจะเป็นชั้นที่ 25 ถึง 30





วารสารวิศวะเพลิง หนังสือที่ได้รับการนับถือจากนักผจญเพลิงกว่า 125 ปี

ได้ตีพิมพ์การศึกษาของเพลิงหายนะ

โดยวิจารณ์สังคมวิศวโยธาอเมริกันและการสอบสวนของฟีมา

ว่าเหมือนกับเรื่องน่าขบขันครึ่งหนึ่ง



บรรณาธิการวิศวกรเพลิง วิลเลียม แมนนิง ได้เขียนไว้ในฉบับมกราคมว่า

โครงสร้างที่ถูกทำลายจากเครื่องบินและการระเบิดที่เกิดจาก

การจุดจากเชื้อเพลิงเครื่องบินไม่เพียงพอที่จะทำลายตัวมันเองลงมา

ทำไมถึงมีความเห็นไม่เหมือนกันในสังคมของวิศวกรเพลิงระดับสูง





ที่จริงแล้วหน่วยข่าวกรองของสหรัฐรู้ล่วงหน้าแล้วว่า

จะมีการจี้เครื่องบินโดยสาร แต่ไม่รู้จุดประสงค์ว่าจี้เพื่อชนตึก World Trade





เวลา 00.45 น. ของวันที่ 11 กันยายน ก่อนเกิดเหตุประมาณ 7 ชั่วโมง

วิลลี บราวน์ นายกเทศมนตรีซานฟรานซิสโก

ได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายรักษาความปลอดภัยสนามบิน

แจ้งให้ทราบว่าคนอเมริกันควรระมัดระวังการเดินทางทางอากาศ

ในวันที่ 11 กันยายน



วันนั้นนายกเทศมนตรีบราวน์มีกำหนดเดินทางจากซานฟรานซิสโกไปนิวยอร์ก



อะแฮ่ม...อย่าไปคิดอะไรมาก เพราะจนถึงบัดนี้คนอเมริกัน

จำนวนไม่น้อยยังเชื่อว่า รัฐบาลตัวเองหลอกลวงเรื่องส่งมนุษย์

อวกาศไปเหยียบดวงจันทร์



อาจเป็นได้ว่า อเมริกันชนเชื่อมั่นในตัวเองและรัฐบาลของเขา

รวมไปถึงความพร้อมของเครื่องไม้เครื่องมือมากเกินไป

จนไม่เผื่อในความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้



และเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น พวกเขาไม่เชื่อว่านั่นคือความผิดพลาด

แต่กลับมองว่าเป็นการตั้งใจ เป็นทฤษฎีสมคบคิดเพื่อบุกอิรัก













ที่มา : http://www.ryt9.com/s/tpd/1233756

____________________

เครดิต :

________________________________

แสดงความคิดเห็น

 
Top