(หมายเหตุ: ชุดคำถามนี้สามารถใช้กับผู้ใหญ่ที่สงสัยว่าเด็กเป็นหนึ่งใน “เมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาว” หรือไม่)
คำชี้แจง:
ให้วงกลมรอบๆคะแนนที่อยู่ท้ายคำถามแต่ละข้อ ที่คุณตอบว่า “ใช่”
แล้วรวมคะแนนทั้งหมดที่ได้มาพิจารณาตามเกณฑ์ข้างล่างนี้
คะแนน 12 – 15 => อาจจะใช่ “เด็กจากฟากฟ้า” (Star kid)
คะแนน 16 – 19 => เป็นไปได้มากว่าน่าจะใช่ “เด็กจากฟากฟ้า” (Star kid)
คะแนน 20 ขึ้นไป => ใช่ “เด็กจากฟากฟ้า” (Star kid) แน่นอน
1). ศรีษะของเด็กมีขนาดใหญ่กว่าศรีษะของเด็กทั่วๆไปในวัยและความสูงเดียวกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนบนหรือด้านหน้าของศรีษะ = 1 คะแนน
2). เด็กมีอุณหภูมิของร่างกายเฉลี่ยต่ำกว่า 97.6 F [หรือ 36.4 องศาเซลเซียส] = 1 คะแนน
3). ตอนที่เด็กเกิดมีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นหรือปรากฏให้เห็นในห้องคลอดด้วย
หรือมีแสงออร่าสว่างๆอยู่รอบๆตัวหรือรอบๆเตียงนอนของเด็ก = 2 คะแนน
4). เด็กเริ่มพูดได้ชัด ตอนอายุ 6 เดือน (พูดได้เร็วกว่าเด็กอื่นๆโดยเฉลี่ย อย่างน้อย 1 ปี
เพราะว่าปกติแล้วเด็กจะเริ่มพูดได้เมื่ออายุ 18 เดือน) = 1 คะแนน
5). เด็กเริ่มเดินได้เมื่ออายุได้ 6 เดือนกว่าๆ (เดินได้เร็วกว่าเด็กอื่นๆโดยเฉลี่ย
เพราะว่าปกติแล้วเด็กจะเริ่มเดินได้เมื่ออายุประมาณ 1 ขวบ) = 1 คะแนน
6). เมื่อเด็กเริ่มพูดได้แล้ว เขาจะพูดเป็นวลีหรือเป็นประโยคได้เลยทันที ไม่ใช่แค่พูดได้แบบทีละคำ = 1 คะแนน
7). ผู้คนจะสังเกตได้ว่า เด็กจะมีความคิดความอ่านโตกว่าอายุจริงอย่างมาก
ส่วนใหญ่จะเหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่อยู่ในร่างเด็กมากกว่า = 1 คะแนน
8). ในวัยเด็ก เด็กจะแสวงหาแต่อะไรที่ล้ำหน้ากว่ามาทำ และเขาจะเบื่อเกมต่างๆที่ท้าทายไม่พอ
ที่เด็กในวัยเดียวกันอยากจะเล่น = 1 คะแนน
9). เด็กจะพูดออกมาให้รู้ว่าเขาระลึกได้ว่าเขามี “พ่อแม่อื่น” ที่อยู่บนดวงดาวดวงใดดวงหนึ่งอีก
หรือแสดงออกถึงอาการอยากกลับบ้าน “ที่แท้จริง” ของเขาที่อยู่บนดวงดาวดวงใดดวงหนึ่งในจักรวาล = 2 คะแนน
10). สายตาของเด็ก จะดูเป็นผู้ใหญ่ และดูฉลาดหลักแหลม / รู้มากกว่าเด็กปกติธรรมดา = 1 คะแนน
11). ตลอดวัยเด็กของเขา เด็กจะโตเร็วมากกว่าเด็กปกติธรรมดามากๆ ทั้งทางด้านร่างกายและสติปัญญา = 1 คะแนน
12). เด็กจะมีความอ่อนไหว และรู้สึกท้อถอย หรือรู้สึกหดหู่ กับพฤติกรรมแบบชอบทำลาย,
ใจร้าย, โหดร้าย, รุนแรง หรือพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายของเด็กคนอื่นๆ
และเขาก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเด็กคนอื่นๆจึงเป็นแบบนั้น = 1 คะแนน
13). บางครั้ง เวลาที่เด็กผ่านไปตามท้องถนนที่มีหลอดไฟสีเหลืองๆประเภท (sodium-vapor-plasma) อยู่
ไฟถนนอาจจะดับได้ โดยเฉพาะเวลาที่เด็กมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ขึ้น = 2 คะแนน
14). เด็กแสดงให้เห็นว่า เขาสามารถสื่อสารทางโทรจิตได้ (Mental telepathy) = 1 คะแนน
15). เด็กสามารถบอกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคตได้อย่างถูกต้อง
หรือสามารถฝันเห็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริงได้ก่อนล่วงหน้าอย่างถูกต้อง มากกว่า 1 ครั้ง
(ญาณทัศนะ หรือ Precognition) = 1 คะแนน
16). เด็กสามารถทำให้วัตถุสิ่งของเคลื่อนที่ได้ โดยใช้พลังจิตเพ่งไปยังวัตถุนั้นๆ
เช่น เคยใช้กำหนดทิศทางของลูกบอลในเกม pinball หรือ ในกีฬาเบสบอล หรือโบลลิ่งบอล เป็นต้น = 1 คะแนน
17). เด็กสามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในต่างสถานที่ หรือในอดีต
หรือในอนาคตได้อย่างถูกต้อง (ตาทิพย์ หรือ clairvoyance/remote viewing) = 1 คะแนน
18). เด็กสามารถรับรู้ข้อมูลใหม่ๆได้อย่างทันทีทันใด ซึ่งดูเหมือนว่าจะได้รับข้อมูลโดยการ “ดาวน์โหลด”
ลงมาสู่จิตโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นในขณะที่ยังตื่นอยู่ หรือในขณะหลับก็ตาม = 1 คะแนน
(แต่ถ้าเด็กบอกว่า ได้รับข้อมูลมาจากผู้มาเยือนจากต่างดาว ให้คะแนน = 2)
19). เด็กมีความสามารถในการสื่อสารข้ามสายพันธุ์ ทั้งการรู้ว่าสัตว์เหล่านั้น (เช่น สุนัข, ปลาโลมา เป็นต้น)
กำลังคิดอะไรอยู่ และสามารถสื่อสารทางจิตกับสัตว์เหล่านั้นได้ และสัตว์เหล่านั้นก็ตอบสนองต่อข้อมูล
ที่สื่อสารไปนั้นด้วย = 1 คะแนน
20). เด็กสามารถรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับบุคคล, สถานที่, เหตุการณ์บางอย่างด้วยสัญชาตญาณ
ได้อย่างถูกต้อง (มีพลังจิต หรือ psychic) = 1 คะแนน
21). เด็กสามารถทำให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กโทนิกส์บางอย่างได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
เพราะเพียงแค่เด็กอยู่ที่นั่นด้วยเฉยๆเท่านั้น (เช่น ทีวีเปลี่ยนช่องเองได้, วิทยุเปิดขึ้นเองได้, นาฬิกาข้อมือตาย,
หลอดไฟเปิดหรือปิดเองได้ โดยไม่มีใครไปแตะต้องอะไรมันเลย เป็นต้น) = 1 คะแนน
22). เด็กยอมรับว่าเคยใช้พลังจิตทำให้พฤติกรรมของคนอื่นเปลี่ยนไป และมันก็ได้ผลด้วย
(เช่น ทำให้พ่อแม่ยอมนำขนมหวานชิ้นที่ 2 มาให้ เป็นต้น) = 1 คะแนน
23). เด็กบอกว่าเห็นผู้มาเยือนหลายคน ที่พ่อแม่และคนอื่นๆมองไม่เห็น หรือเด็กบอกว่ามองเห็นสิ่งต่างๆ
ที่สายตาปกติมองไม่เห็น แม้ว่าจะจ้องมองแล้วก็ตาม
(มองทะลุมิติได้ หรือ inter-dimensional viewing) = 1 คะแนน
24). เด็กสามารถมองเห็นรังสีออร่ารอบๆตัวคน หรือสัตว์ต่างๆได้ = 1 คะแนน
25). เด็กสามารถเห็นหรือรู้สึกถึง “สี”, “รูปแบบ”, หรือ “เนื้อสัมผัส” ในรังสีออร่าเหล่านั้นได้
ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกถึงสุขภาพ, สภาวะอารมณ์, สภาวะจิตใจ และอื่นๆของคนนั้นๆได้ = 1 คะแนน
26). เด็กสามารถใช้พลังจิตวินิจฉัยโรคได้ (มองเห็นด้วยพลังสัญชาตญาณ,
หรือด้วยการยกมือผ่านเหนือร่างกายของผู้ป่วย) และสามารถบอกตำแหน่งในร่างกายที่เกิดความเจ็บป่วย,
บาดเจ็บ, หรือเกิดโรคได้ = 1 คะแนน
27). เด็กสามารถใช้พลังภายใน (พลังจิต / พลังปราณ / พลังชี่ / พลังจักรวาล)
ส่งไปยังตำแหน่งของร่างกายคนหรือสัตว์ที่กำลังต้องการการเยียวยารักษาได้
แล้วคนหรือสัตว์นั้นๆ ก็มีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว = 1 คะแนน
28). เด็กสามารถทำให้ตัวเอง “หายตัว” ไปได้ ไม่ว่าจะด้วยการใช้พลังจิตย้ายตนเองไปที่อื่น
หรือใช้วิธีที่ธรรมดากว่านั้น เช่น ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบๆตัวไม่สังเกตว่าตัวเองกำลังอยู่ที่นั่นด้วย
แต่เมื่อเด็กเลิกทำแบบนั้น คนอื่นๆก็จะมองเห็นเขาทันที = 1 คะแนน
29). เด็กสามารถทำให้สิ่งของต่างๆ ย้ายตำแหน่งจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้
โดยที่ไม่ได้ไปแตะต้องสัมผัสอะไรมันเลย (Teleportation) หรือสามารถทำให้มันลอยขึ้นจากพื้น
และเคลื่อนไหวได้ (Telekenesis) โดยที่ใช้เพียงจิตและความตั้งใจเพียงอย่างเดียว = 2 คะแนน
30). เด็กสามารถลอยตัวขึ้นมาจากพื้นได้มากกว่า 1 ครั้งขึ้นไป (ไม่ว่าจะเป็นการลอยขึ้นเหนือพื้น
เพียงไม่กี่นิ้ว หรือว่าลอยขึ้นสูงมากๆก็ตาม) ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม = 2 คะแนน
31). เด็กแสดงอากัปกิริยา, ทำพิธีกรรม หรือพิธีการอะไรบางอย่างของตนเอง
แล้วสามารถเยียวยารักษาอาการเจ็บป่วยของมนุษย์, สัตว์, พืช หรือสถานที่ใดๆในโลกใบนี้ได้ = 1 คะแนน
(แต่ถ้าเด็กสามารถทำให้สัตว์, พืช, คน หรือบริเวณพื้นที่ใดๆที่ตายไปแล้วอย่างสมบูรณ์
กลับฟื้นคืนชีวิตมาใหม่อีกครั้งได้ ด้วยการเยียวยารักษานั้นๆ ให้คะแนน = 5)
32). เด็กสามารถย่นกาลเวลาได้ โดยทำให้เหตุการณ์บางอย่าง เช่น ทำให้การเดินทางโดยรถยนต์
ไปถึงจุดหมายเร็วขึ้น (เช่น จากปกติต้องใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง ให้เหลือเพียงครึ่งชั่วโมงได้ เป็นต้น
โดยที่ใช้ความเร็วเท่าเดิม) = 1 คะแนน
33). เด็กสามารถยืดกาลเวลาได้ เช่น หน้าปัดนาฬิกาโชว์ว่าเวลาเพิ่งผ่านไปเพียง 15 นาทีเท่านั้น
แต่ทุกๆคนกลับรู้สึกว่าเวลามันน่าจะผ่านไปแล้วตั้ง 1 ชั่วโมง เป็นต้น = 1 คะแนน
34). เด็กสามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่ที่เหตุการณ์บางอย่าง (เช่น แผ่นดินไหว, อุบัติเหตุทางรถยนต์, ไฟไหม้ เป็นต้น)
จะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วก็ได้เตือนให้คนอื่นๆได้รู้ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ = 1 คะแนน
35). ในบางครั้ง ตอนกลางคืน เด็กจะออกไปที่ไหนสักแห่งคนเดียวอย่างมีสติสัมปชัญญะ,
หรือไปด้วยกายทิพย์/ถอดจิตไป (โดยที่กายเนื้อยังนอนอยู่บนเตียง) แล้วกลับมาเล่าให้ฟังว่า
ได้ไปพบกับอะไรมาบ้าง = 1 คะแนน
(แต่ถ้าเด็กเล่าว่าได้ไปพบผู้มาเยือนจากต่างดาวมา ให้คะแนน = 2)
36). ในขณะตื่น เด็กสามารถถอดจิตออกไปยังที่ต่างๆๆได้ ซึ่งผู้คนที่อยู่รอบๆข้างเด็กจะสังเกตเห็นว่าเด็ก “นิ่งไป”
เหมือนถูกปิดสวิตซ์ แล้วหลังจากนั้น เด็กก็มีสติกลับมาเหมือนเดิม พร้อมกับประสบการณ์เกี่ยวกับสถานที่นั้นๆ = 1 คะแนน
37). เด็กสามารถรับการสื่อสารทางโทรจิตจากรูปธรรมชีวิตชั้นสูงทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกได้
และมีความตระหนักรู้ด้วยว่า ผู้ที่สื่อสารมานั้น สื่อสารมาจากดาวดวงไหน = 2 คะแนน
38). เด็กรายงานว่า มีผู้ที่มาจากดวงดาวดังกล่าวนั้นมาเยือนตน = 1 คะแนน
39). มีผู้ที่มาจากดวงดาวดังกล่าวนั้น มาเยือนพ่อแม่ของเด็กด้วย = 1 คะแนน
40). เด็กรายงานว่า ผู้มาเยือนที่มาจากดวงดาวดังกล่าวนั้น คือครอบครัวเดิมของตนเองก่อนหน้านี้ = 2 คะแนน
41). เด็กเคยมีประสบการณ์อย่างน้อย 1 ครั้ง ในการใช้จิตร่วมกันกับผู้มาเยือนจากดวงดาวดังกล่าว
(sharing mental space with a Star Visitor) ซึ่งต้องการที่จะขอยืมใช้ร่างกายและจิตของเด็ก
เพื่อหาประสบการณ์ของความเป็นมนุษย์โลก เป็นการชั่วคราว = 1 คะแนน
42). เด็กสามารถเรียกผู้มาเยือนจากต่างดาว หรือเรียกยานบิน (UFO) ของพวกเขา 1 รูปธรรม/ลำ หรือมากกว่านั้น
มาให้ดูได้ ซึ่งพอเรียกแล้วก็พบว่าพวกเขามาปรากฏให้เห็นจริงๆ = 1 คะแนน
43). เด็กมีความรู้สึกฝังอยู่ในใจลึกๆว่าตัวเองมีภารกิจที่สำคัญอะไรบางอย่างที่จะต้องทำบนโลกใบนี้
แม้ว่าในตอนนี้เด็กจะยังไม่รู้ชัดว่าภารกิจดังกล่าวนั้นคืออะไรก็ตาม = 1 คะแนน
44). เด็กดำเนินการอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา คล้ายผู้ใหญ่ เพื่อริเริ่มให้เกิดสิ่งดีๆขึ้นในสังคม
(เช่น ติดต่อกับวุฒิสมาชิก หรือรายการโทรทัศน์ด้วยตัวเอง เพื่อนำเสนอแผนที่จะทำให้ได้มาซึ่งความสันติสุข
ในสถานการณ์บางอย่าง เป็นต้น) หรือในกรณีที่เป็นผู้ใหญ่ อาจจะเพื่อเริ่มต้นทำกิจกรรมที่พิเศษบางอย่าง
เพื่อเยียวยาโลกใบนี้ก็ได้ = 1 คะแนน
45). เด็กมีปฏิกิริยาแบบไม่ธรรมดา คือมีความรู้สึกและความทรงจำที่เป็นบวกมากๆ กับภาพเหมือน
หรือภาพวาดของผู้มาเยือนจากต่างดาว ที่อยู่ในนิตยสาร หรือในทีวี หรือในภาพยนตร์ต่างๆ = 1 คะแนน
46). เด็กเมื่ออายุเลย 6 ขวบไปแล้ว แทบจะไม่เคยป่วยเป็นไข้หวัดแบบหนักๆ หรือโรคอื่นๆที่แพร่ระบาดอยู่ในห้องเรียน
หรือระแวกบ้านของตนเองเลย (มีภูมิคุ้มกันการติดเชื้อสูงขึ้น) และเด็กสามารถรักษาแผลที่ถูกของมีคมบาด,
แผลแตก, หรืออาการบาดเจ็บแบบอื่นๆได้อย่างรวดเร็วมาก
หรือเด็กบางคนก็อาจจะเป็นไปในทางตรงข้ามกัน นั่นคือ มีความไวต่อสิ่งปนเปื้อนที่อยู่ในสภาวะแวดล้อมอย่างมาก,
ความไวดังกล่าวนี้จะแสดงออกมาในรูปของอาการแพ้แบบต่างๆ
หรือบางคนก็อาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับการย่อยอาหารบางชนิด (เช่น นม เป็นต้น,
บางคนก็แพ้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากข้าวสาลีทั้งเมล็ด (whole-wheat products),
บางคนก็ขยะแขยงการรับประทานเนื้อสัตว์)
หรือไม่บางคนก็อาจจะเกิดความผิดปกติขึ้น (ที่เรียกว่าโรคแอสเพอร์เจอร์ (Asperger) และ “โรคสมาธิสั้น”
(Attention-Deficit Hyperactivity)) ซึ่งบ่งบอกให้ทราบว่าการเชื่อมต่อของระบบประสาทของพวกเขา
กับระบบประสาทของมนุษย์โลกทั่วไป มีความไม่สอดคล้องต้องกันอยู่ = 1 คะแนน
47). เด็กมีสีของม่านตา หรือรูปแบบของม่านตา หรือ รูปร่างลักษณะของตาดำ
หรือโครงร่างของดวงตาทั้งดวงไม่ปกติธรรมดา = 1 คะแนน
48). เด็กจะมีความสนใจในเรื่องของจิตวิญญาณ ตามวิถีแห่งธรรมชาติที่ไม่ได้ขึ้นกับลัทธิศาสนาใดๆ
ตั้งแต่ยังเยาว์วัย รวมถึงจะให้ความเคารพต่อดาวเคราะห์โลก ในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตและสิ่งที่มีจิตสำนึกชนิดหนึ่ง,
เคารพในความศักดิ์สิทธิ์ของทุกสรรพชีวิตไม่ว่าเล็กหรือใหญ่, และมีความตระหนักรู้ว่า
ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล = 1 คะแนน
49). เด็กจะมีความชอบและความสามารถในการนำคริสตัล, หินที่มีพลังงาน,
หรือวัสดุต่างๆที่มีพลัง และสามารถเพิ่มพลังจิตได้ มาใช้เพื่อการรักษาเยียวยาผู้ป่วยและอื่นๆ ได้อย่างถูกต้องเอง
โดยที่ไม่ต้องมีใครสอน = 1 คะแนน
50). เด็กจะบ่นอยู่เสมอว่าอยาก “กลับบ้าน” และมีความรู้สึกว่าเข้ากันไม่ได้กับความหยาบช้าของสังคมมนุษย์
และพฤติกรรมอันหยาบช้าของมนุษย์โลก = 1 คะแนน
51). เด็กจะถูกดึงดูดความสนใจอย่างแรงกล้าโดยเด็กจากฟากฟ้า (Star kid) คนอื่นๆ
และพวกเขาทุกๆคนก็จะถูกดึงดูดความสนใจโดยกันและกัน และก็จะรู้สึกชอบพอซึ่งกันและกันด้วย = 1 คะแนน
52). ข้อนี้ ให้เลือกให้คะแนนเพียงข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น ระหว่าง 2 ข้อย่อยต่อไปนี้:
a). เด็กเป็นเด็กที่เรียนเก่งในโรงเรียน, เข้าใจวิชาต่างๆที่เรียนได้ง่ายโดยไม่ต้องเรียนมาก
หรือโดยที่ไม่ต้องเรียนเลย แต่เด็กก็จะรู้สึกเบื่อหน่ายกับอัตราเร็วของวิธีการสอนในโรงเรียนส่วนใหญ่
และจะรู้สึกสบายกว่าถ้าได้เรียนในสภาวะแวดล้อมที่เหนือขั้นกว่าวัยของตัวเอง
(เช่น ถ้าเป็นเด็กประถมก็จะชอบไปเรียนในชั้นมัธยมมากกว่า, ถ้าเป็นเด็กมัธยมก็จะชอบไปเรียน
ในระดับวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยซะมากกว่า หรือเด็กอาจจะเบื่อโรงเรียนสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์
(Gifted School) เป็นต้น) = 1 คะแนน
b). เด็กถูกระบบการศึกษาในโรงเรียนเข้าใจผิด, หรือจัดประเภทผิดว่าป่วยเป็นโรค “สมาธิสั้น”
(Attention Deficit Disorder) หรือป่วยเป็นโรค “ความบกพร่องทางการเรียน” (Learning Disability)
เพราะว่าเด็กเบื่อหน่าย, เพราะมีความท้าทายไม่เพียงพอ หรือรู้สึกท้อถอยกับอัตราเร็วของการเรียนรู้
แบบเด็ก “ปกติ” ทั่วไป
หรือเด็กถูกจัดประเภทผิดว่าป่วยเป็น “โรคสมาธิสั้น” (Hyperactivity Disorder)
เพราะว่าเด็กรู้สึกหงุดหงิดกระสับกระส่าย เพราะความเบื่อหน่ายห้องเรียน
หรือเพราะว่าความคิดของพวกเขากำลังพุ่งตรงไปยังเรื่องที่ท้าทายกว่า
หรือเพราะว่าเด็กจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ตนกำลังสนใจอย่างมาก และมุ่งมั่นนานเกินกว่าที่เด็ก “ปกติ” เขาทำกัน
หรือเด็กถูกจัดประเภทผิดว่าป่วยเป็นโรค “ความบกพร่องทางการเรียน” (Learning Disability)
เพราะว่าเขามองเห็น และชี้ให้เห็นความสัมพันธ์กันระหว่างวิชาที่กำลังถูกสอนอยู่ กับวิชาอื่นๆ
(เช่น ความสัมพันธ์ของวิชาประวัติศาสตร์-คณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์-ศิลปะ เป็นต้น)
ในขณะที่ครูผู้สอนต้องการได้ยินแต่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาวิชาที่ตนเองกำลังสอนอยู่เท่านั้น = 1 คะแนน
53). เด็กเคยมีประสบการณ์ของการ “ถูกประทับร่าง” (Walk-In)
หรือบุคลิกลักษณะดั้งเดิม ถูกแทนที่ด้วยบุคลิกลักษณะใหม่ (ที่มาจากนอกโลก)
ซึ่งเข้าสวมในร่างเดิมแล้วดำเนินชีวิตต่อไป ความทรงจำเก่าๆทั้งหลายจะยังคงมีอยู่
แต่บุคลิกลักษณะและความสามารถต่างๆเปลี่ยนไปเป็นคนละคน = 1 คะแนน
54). เด็กมีสนามพลังชีวะแม่เหล็กไฟฟ้า-โฟตอน (bioelectromagnetic-photic field)
รอบๆร่างกายที่กว้างใหญ่กว่าปกติมากๆ (เช่น กว้างกว่า 3 ฟิต หรือกว้างกว่า 1 เมตร เป็นต้น)
ซึ่งวัดความกว้างนี้ได้โดยการใช้ดาวซิ่งร็อด (dowsing rods) = 1 คะแนน
หากพบว่ามีเด็กหรือผู้ใหญ่คนไหนที่ได้คะแนนมากกว่า 12 คะแนนขึ้นไป
กรุณาแนะนำให้ผู้ปกครองของเขาติดต่อกับ Dr.Richard Boylan ผู้อำนวยการโครงการสตาร์คิด
(Star Kids Project) เพื่อสอบถามข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ Star Kids หรือ Star Seeds
และหลักสูตรฝึกอบรมสำหรับพวกเขาและครอบครัว-เพื่อนฝูงของพวกเขา
เพื่อให้พวกเขามีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้
และเพื่อให้พวกเขาสามารถเติบโตขึ้นมาได้
ด้วยความสะดวกสบายใจ พร้อมกับความสามารถที่เหนือกว่าของพวกเขา
และเพื่อให้พวกเขาได้พบกับ Star Kids คนอื่นๆและครอบครัว Star Kids อื่นๆด้วย
และเพื่อทำให้พวกเขาได้ระลึกรู้ถึงภารกิจของการเป็น Star Kid/Star Seeds ของพวกเขาเอง
ที่มา : http://board.palungjit.com
____________________
เครดิต : Chayutt
________________________________
แสดงความคิดเห็น