แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำระดับโลก เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งเร้นลับ

หลากหลายที่เกิดขึ้นในปัจจุบันยังต้องยอมรับว่าในโลกใบนี้

ยังมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอีกมากมายที่กฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์

ในยุคนาโนเทคโนโลยีไม่สามารถหาคำตอบได้….





มีคำถามว่า? เหตุใดสิ่งเร้นลับจึงผุดเกิดขึ้นมากมายในระยะนี้

คำถามนี้เคยมีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำให้คำอธิบายไว้ว่า

เป็นเพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนั่นเองทำให้เรารับรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน





เช่นดวงตาของเราได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีวัฒนาการน้อยกว่าดวงตาของหมึกยักษ์

เช่น หมึกพอล เสียอีก (แม้จะอำลาโลกไปแล้ว ) ดังนั้นเนื้อตาธรรมดา

ก็ยอมมองเห็นสรรพสิ่งได้เฉพาะบางสิ่งบางมิติหรือเห็นได้เพราะ

ผู้ที่มีความเจริญวิวัฒนาการมากกว่ายอมมองเห็นได้ดี





กับการปรากฏตัวของ “มนุษย์เงา” นั้นนับวันมีคนพบเห็นบ่อยครั้งขึ้นนั้น

มีคำอธิบายว่า น่าจะเกิดจากเหตุผล 2 ประการที่กล่าวมา ทั้งที่ผู้มาอย่างเร้นลับ

ยอมปรากฏตัวให้เห็น และการใช้กล้องถ่ายภาพเทคโนโลยีชั้นสูง

หรือแม้แต่กล้อง ธรรมดาที่เราใช้อยู่ทุกวัน ถ่ายภาพเอาไว้ได้









นักวิจัย ร็อด เลิฟเลสส์ อายุ 49 ปี ชาวแคนนาดา ผุ้เชียวชาญด้าน

ตามล่าหาความจริงต่อปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ มานาหลายปี

และเป็นหัวหน้ากลุ่มนักวิจัยที่เรียกตัวเองว่า “โกสต์ ออฟ เดอะ เกรท ไวท์ นอร์ธ”หรือกลุ่มปีศาจขาวแห่งทวีปอเมริกาเหนือกล่าวว่า





“ตามข้อเท็จจริงนั้น คนเราสามสามารถมองเห็นมนุษย์เงาได้บางโอกาส

เช่น ปรากฏการณ์แว่บเดียว ซึ่งมองด้วยหางตา”










นักวิจัย ร็อด อธิบายว่า “มันเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่คนเรามองเห็นอะไรแว่บๆ จากหางตา



จากบริเวรแสงสลัวมีแสงน้อย บางคนรู้สึกว่ามีแรงลมกระทบผิวหนัง (หรือการอาการเสียวสันหลังขนลุก) ทั้งๆที่ห้องอับลม”





“แต่เมื่อเร็วๆนี้ เราได้ รับรายงานว่า มีคนพบเห็นมนุษย์เงาอย่างจะๆเต็มตา

ได้พบเห็นหลายคนครั้งและหลายคน ปรากฏการณ์เช่นนี้ บอกให้รู้ว่า

เป็นความจงใจของมนุษย์เงาต้องการให้เราเห็นรูปร่างของพวกเขาด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้”







นักวิจัย ร็อด เปิดเผยการจับมนุษย์เงาด้วยกล้องถ่ายภาพว่า

“เราใช้กล้องถ่ายภาพระบบดิจิตอล และ จับภาพด้วยรังสีความร้อน

ทำให้ให้ได้ภาพมนุษย์เงาค่อนข้างชัดเจนมาก แต่ภาพที่เราได้มาสร้างความประหลาดใจแก่นักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง

เพราะสามารถแปรรูปเปลี่ยนสภาพไปตามระดับอุณหภูมิได้



ภาพที่ทีมงานของผมถ่ายมาได้ เป็นเงาดำที่ไม่มีรูปร่างแน่นอน

เป็นเงาดำล่องลอยไปเหมือนฟองอากาศ

หากมีช่องว่างในห้องเงาดำนั้นสามารถลอยลอดออกไปได้





โดยการแปรสภาพให้มีขนาดเล็กลงเพื่อลอดช่องว่างออกไปได้สะดวก”

ห้องทดลองที่ทีมงาน นักวิทยาศาสตร์ ร็อดล่อให้มนุษย์เข้ามาเพื่อถ่ายภาพเป็นหลักฐานนั้น



กรุด้วยกระดาษเคลือบสารตะกั่วสามารถป้องกันกำมันตภาพรังสีได้และกักกันมนุษย์เงาไว้ได้เช่นกัน















นักวิจัย ร็อด

“เราพบข้อมูลที่น่าสนใจอีกเช่น บริเวณที่ก่อตัวเป็นเงาดำ และแปรสภาพไปเรื่อยๆ

เหมือนกลุ่มควันไฟนั้น เมื่อวัดอุณหภูมิตรงจุดนั้น พบว่าต่ำกว่าอุณหภูมิบริเวณอื่นๆ

ในห้องเกือบ 10 องศา ข้อมูลนี้ตรงกับทฤษฎี การก่อตัวเป็นรูปร่างของดวงวิญญาณ

ต้องอาศัยการดูดซับพลังงานจากรอบ ๆ ตัวเข้ารวมกันเพื่อสร้างเป็นรูปร่างขึ้น

จึงทำให้อุณหภูมิ โดยรอบลดต่ำลงไปด้วย”



“นอกจากพลังงานจากความร้อนแล้วดวงวิญญาณยังต้องอาศัยคลื่นไฟฟ้า

เพื่อทำให้รูปร่างปรากฏชัดชัดยิ่งขึ้น ตรงนั้นทำให้นักวิทยาศาสตร์มีข้อสรุปตรงกันกับ

ทฤษฎี ของ ดร.อัลเบิร์ค ไอสไตน์ ในอดีตที่ว่า ภูตผีดวงวิญญาณมีสภาพเป็นสสารและพลังงาน

ที่ไม่มีรูปกลิ่นเสียง”

(ทฤษฎีนี้ตรงกับความเชื่อในพุทธศาสนาเกี่ยวกับหลักการวิปัสสนากรรมฐาน

หากบรรลุถึงฌานชั้นสูงได้ ก็สามารถทำให้ให้กายทิพย์หรือดวงจิต

ปรากฏเป็นกายหยาบหรือตัวตนได้)



นักวิทยาศาสตร์กล่าวอีกด้วยว่า

“ด้วยเหตุนี้เองเราจึงมองมนุษย์เงาด้วยตาเปล่าไม่เห็น

เพราะการก่อตัวเป็นรูปร่างไม่เข้มข้นพอ

และที่ไม่เข้มข้นก็มาจากเหตุผล

ได้รับพลังงานไม่เพียงพอนั้นเอง”





“มนุษย์เงามักปรากฏตัวในภาพลักษณ์ หากเป็นชายสวมชุดเสื้อคลุมยาว

สวมหมวกฟิดอร่า (หมวกปีกสักหลาดข้างบนเป็นแอ่ง) และไม่มีเงาส่วนเท้า

เพราะมนุษย์เงาเคลื่อนที่โดยการล่องลอยไปเหนือพื้น โดยสูงจากพื้น 5-7 นิ้ว”











ชิพ เบอร์เนตต์ 1 ในทีมงานวิจัยและได้ชื่อว่าเป็นนักวิจัยจับผีชาวอเมริกันที่มีเชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งกล่าวว่า

“ผมเคยพบด้วยตัวเองเป็นเงาร่างผู้ชายสวมหมวกฮู๊ต (หมวกฮู๊ตรับปริญญา) และร่างเงาที่ปรากฏขึ้นมานั้น

ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชายเหมือนหนัง ขาว ดำ ไม่มีสีอื่นๆ มาแซม”

ข้อมูลที่สำคัญยิ่ง แม้ปรากฏเป็นรูปทรงขอหัว เหมือนหัวคน แต่ใบหน้าไม่เคยมีใครเห็นชัดเจน

เป็นเงาสีดำที่มืดมากกว่าทุกส่วนก็ว่าได้ ซึ่งตรงนี้เรากำลังหาข้อมูลมาวิเคราะห์กันว่า

เหตุใดมนุษย์เงาจึงจงใจปกปิดใบหน้าของตัวเอง หรือเป็นเพราะว่า

เป็นสิ่งเร้นลับที่ไม่มีใบหน้าไม่มีรูปร่าง เพียงแต่เป็นพลังงานเข้าไปในเสื้อผ้าของคนเรา

แล้วดันให้โป่งพองเป็นรูปร่างเท่านั้น



นักวิจัย ร็อด และทีมงานได้ตั้ง ทฤษฎีเพื่ออธิบายความเป็นมาของมนุษย์เงา

ออกเป็น 3 ทฤษฎี

1. เป็นภูตผีดวงวิญญาณ

2. เป็นผู้อยู่ต่างมิติ และ

3.เป็นพลังงานรูปแบบที่ไร้ตัวตน ไร้สี ไร้กลิ่น หรืออาจเป็นมนุษย์ต่างดาวก็ได้







“ผมมีข้อสมมติฐานว่า หากดวงตาเนื้อของคนเรา วิวัฒนาการไปอีกสัก 5 แสนปี

เราอาจมองเห็นผู้ที่อยู่ต่างมิติได้ หรืออาจมองเห็นตัวเชื้อโรคได้”



“มนุษย์เงาต้องรับรู้ดีว่า มนุษย์โลกไม่อาจมองเห็นพวกตน ด้วยตาเปล่าได้

ดังนั้นการปรากฏตัวให้เห็นมนุษย์เงา ต้องเพิ่มความเข้มข้นของมวลสารที่ประกอบขึ้น

เป็นรูปร่างขณะเดียวกันก็ต้องแลกกับการสูญเสียพลังงานเพิ่มขึ้นไปด้วย”





“พวกเราต่างรู้กันว่า สสารดำรงอยู่ได้เพราะได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังงาน

นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ว่าเหตุใดมนุษย์เงาจึงไม่อาจปรากฏตัวให้เราเห็นอย่างชัดเจนได้

เพราะต้องใช้พลังงานมาก”





อย่างไรก็ตามนักวิจัย ร็อด ตั้งความหวังว่าเมื่อใดที่วงการวิทยาศาสตร์ของโลก

ได้พัฒนาถึงขั้นค้นพบ “สะพานแห่งมิติ” ถึงเวลานั้นดวงตาธรรมดาๆ ของมนุษย์ก็อาจสามารถมองเห็นผู้ที่อยู่ต่างมิติได้





“ผมให้เวลาอีกไม่เกิน 10 ปีแล้วเราจะรู้ว่า ที่แท้ผี ดวงวิญญาณ และมนุษย์เงา

คืออะไรกันแน่” นักวิจัยร็อด กล่าวทิ้งท้าย











ที่มา : แปลกทะลุโลก ฉบับ 578 20 ต.ค. –5 พ.ย. 53

____________________

เครดิต :

________________________________

แสดงความคิดเห็น

 
Top