เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาบ้านเราโดนหนังสือพิมพ์อังกฤษตีข่าวเรื่องการนำแฟชั่น นาซี ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าของฮิตเตอร์ที่ถูกทำเป็นการ์ตูนล้อเลียน เครื่องหมายสวัสดิกะ หรืออื่นๆ อีกมากมายมาขายเป็นเสื้อผ้าสวยงาม จนกระทั่งมีคนเฮโลกันด่าผู้ผลิตชุดและเสื้อผ้าเหล่านั้นกันมาก

     

        เพราะดูของเมืองนอกนั้น เรื่องราวเกี่ยวกับนาซีก็ยังขายได้ สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ แฟชั่นนาซีนั้นเท่ห์ดีนะครับ เอามาทำยังไงก็หล่อ ก็ดูอย่างชุดของฝ่ายชาร์ในการ์ตูนอมตะอย่างกันดั้มซิครับ ให้ใครมาดูก็ฟันธงลงไปเลยว่าเค้าโครง งานศิลป์ การออกแบบหุ่นยนต์ หรือชุดก็มาจากชุดทหารนาซีกันทั้งสิ้น แถมในปีนี้หนังอย่าง Iron Sky หนังร่วมทุนจากฟินแลนด์ เยอรมัน และออสเตรีย ได้สร้างความฮือฮาในฐานะหนังตลกที่เอาประเด็นในเรื่องของนาซีที่ไปยึดดวงจันทร์มาล้อเลียนกันและฉายกันรึ่มในยุโรป ก็ไม่เห็นจะมีใครพูดถึงว่าเป็นการสนับสนุนนาซีแต่อย่างไร

     

        บ้านเรานั้นหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยฮือฮาเท่าไหร่ อาจจะเพราะเราไม่ค่อยเก็ตไปกับมุกตลกหรือแม้แต่ประเด็นล้อเลียนเรื่องนาซี วิธีคิดของนาซี หรือแม้กระทั่งการปฏิบัติตัวของนาซีว่าบ้าเข้าขั้นขนาดไหน แถมมาเจอทหารปัจจุบันและทหารเกษียณในบ้านเรากำลังออกอาการบ้ายิ่งกว่า เรื่องประสาทๆของนาซีก็เลยกลายเป็นเรื่องชิดซ้ายกันไป






Die Glocke
     

        แต่ผลพวงจากภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อให้เกิดเป็นคำถามที่ว่า แท้ที่จริงแล้วเทคโนโลยีของนาซีนั้น มันเจ๋งถึงขนาดไปเยือนดวงจันทร์และตั้งอาณานิคมที่นั่นได้จริงหรือ เรื่องนี้พูดยากครับ แต่โปรเจคต์ที่นาซีคิดจะเดินทางไปในอวกาศนั้นมีจริงๆแน่นอน แถมยังคิดยานรูประฆังคว่ำที่ส่งรังสีฆ่าคนออกมาได้ด้วย(มันถูกเรียกว่า Die Glocke) แต่ทว่าเมื่อครั้งที่มีคนเห็นยานรูปร่างประหลาดนี้วิ่งบนฟ้าอย่างเป็นทางการนั้นเกิดขึ้นมากมายหลังปี 1945 ซึ่งเป็นปีที่สงครามโลกยุติลงและงานวิจัยเหล่านี้ถูกพาเข้ามาส่วนมากในสหรัฐ และส่วนน้อยในรัสเซีย

     

        ของรัสเซียนั้นไม่ได้มีเรื่องราวเปิดเผยต่อโลกนัก แต่ของสหรัฐสิครับที่มีหลักฐานที่ไม่ได้พาทีมงานผู้สร้างเทคโนโลยีนาซีผู้เกรียงไกรเหล่านั้นไม่ได้ไปอยู่ในดวงจันทร์แน่ๆ พวกเขาเหล่านั้นถูกคัดเลือกกันในนาม “โอเปอเรชั่น เปเปอร์คลิป (Operation Paperclip ) “ ซึ่งถูกควบคุมการปฏิบัติการโดยคณะกรรมการร่วมในเรื่องข้อมูลข่าวสาร(Joint Intelligence Objectives Agency หรือ JIOA) สหรัฐนั้นอ้างว่าพวกเขาต้องเอาแผนงาน แบบร่าง และเทคโนโลยี่รวมถึงนักวิทยาศาสตร์เหล่าออกมาเพื่อไม่ให้โลกเกิดสงครามอีก เพราะ สิ่งที่นาซีคิดค้นและเตรียมทำกันไว้นั้นสามารถจะทำให้ใครก็ตามที่ครอบครองมันไว้ยึดโลกได้สบาย

     

        แอนดรูว์ วอล์คเกอร์ ผู้สื่อข่าวของบีบีซีทำรายงานเรื่องนี้ว่า ในช่วงท้ายของสงครามนั้นสหรัฐส่งหน่วยรบพิเศษชิงบุกเข้าไปถึงสถาบันวิจัยของนาซีซึ่งอยู่ในเขตยึดครองของโซเวียตก่อนนิดเดียว…และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสงครามเย็นในโลกนี้

     

        เดือนพฤษภาคม 1945 หน่วยทหารของสตาลินเข้ายึดห้องแล็บของสถาบันวิจัย ไคเซอร์ วิลเฮล์ม (Kaiser Wilhelm Institute )ในเบอร์ลิน ที่นั่นพวกเขาได้จรวดและต้นแบบของการทำระเบิดนิวเคลียร์ไปจนกระทั่งรัสเซียสามารถตั้งไข่ในเรื่องนี้ได้สำเร็จ แต่รายงานหลายฉบับกล่าวเหมือนกันว่า นั่นเป็นขนมจานเล็กๆที่หน่วยรบพิเศษของสหรัฐได้ทิ้งไว้ให้ดีใจเล่นๆ เพราะแท้ที่จริงของหัวกระทิที่ทรงพลานุภาพมากกว่านั้นได้ถูกเอาไปเรียบร้อยแล้วก่อนที่นาซีจะยอมแพ้อย่างไปทางการ

     

        เพราะที่ทีเด็ดจริงๆกลับอยู่ที่โรงงานผลิต จรวด V2 ที่นอร์ดเฮาเซนซึ่งอยู่ในฮาร์ซ เมาเท่นในตอนกลางของเยอรมันก็โดนซึ่งสหรัฐแอบฉกไปก่อนที่โซเวียตจะเข้าครองครอง ว่ากันว่าสิ่งที่สหรัฐเอามานั้นมีตั้งแต่ต้นร่างของจรวดที่มีความเร็วเหนือเสียง แก๊ซทำลายประสาท จรวดมิซายล์ที่ยิ่งได้แม่นยำที่สุด (จรวดมิสซายล์ครุยส์ถูกสร้างบนพื้นฐานของจรวด V1 )เทคโนโลยี่การพรางตัว (ฮอร์เทน โฮ 229 ถูกพัฒนาและส่งแบบต้นร่างให้บริษัทนอร์ทอร์ป และในเวลาต่อมามันก็กลายร่างเป็นเครื่องบินสเตลท์ ) และอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพประเภทอื่นๆอีกมากมาย แต่ว่ากันว่าเรื่องราวเหล่านี้ถูกเปิดเผยออกมาแค่นิดเดียว เพราะมันยังมีอีกกว่า 1500 โปรเจคต์ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในคลังลับสุดยอดของสหรัฐ

     

        นายพล ฮิวจ์ คเนอร์( Major-General Hugh Knerr ) นายทหารคนสำคัญของสหรัฐเปิดเผยเรื่องนี้ภายหลังว่า เป็นเรื่องจริงที่พวกเขาชิงอะไรต่อมิอะไรมาก่อนโซเวียต ประเด็นหลักที่กองทัพสหรัฐชี้แจงก็คือ เพื่อไม่ให้เทคโนโลยีและบุคคลเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของโซเวียตที่คงคิดแต่เรื่องทำสงคราม และสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้พวกเขาก้าวไกลมาได้กว่าที่คาดไว้นับสิบๆปี






พี่น้องนักวิทยาศาสตร์ตระกูล ฟอน บราวน์ และพรรคพวกกับการดูแลของทหารสหรัฐ


     

        แม้ว่ก่อนหน้านี้ธานาธิบดี เฮนรี่ ทรูแมน จะออกหนังสืออย่างเป็นทางการว่า บรรดานักวิทยาศาสตร์หรือสต๊าฟฟ์ทีมงานในเรื่องของเทคโนโลยีกองทัพที่ถูกจับเป็นเชลยได้นั้น หากถ้าตรวจพบว่าเป็นพวกฝักใฝ่ในนาซีหรือเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับหน่วย SS ก็ให้ตัดออกและส่งไปขึ้นศาลตามที่ควรจะเป็น แต่เมื่อได้ความว่าผู้นำในเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยี่เหล่านี้มีชื่อว่า เวิร์นแฮร์ ฟอน บราวน์ (Wernher von Braun) แม้ว่าเขาจะเป็นนาซีเข้ากระดูกก็ตาม แต่เขาก็สำคัญเกินกว่าจะส่งไปประหาร ฟอน บราวน์ต้องเข้าไปในสหรัฐให้ได้

     

        ประธานาธิบดีทรูแมนลงนามในการตั้งแผนงานและหน่วยที่จะมารันโปรเจคต์คลิปนี้ในเดือนสิงหาคม คศ. 1945 ในวันที่ 18 พฤศจิกายนปีเดียวกันกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เยอรมันชุดแรกก็เดินทางมาถึงสหรัฐอเมริกา และภายในเดือนธันวาคม พวกเขาก็ถูกบรรจุอยู่ในฝ่ายวิจัยและพัฒนาอาวุธของกองทัพอย่างเป็นทางการ

   





        รายละเอียดในการทำงานของโปรเจคต์เปเปอร์คลิปนั้นถูกเปิดเผยว่า คณะทำงานนักวิทยาศาสตร์เยอรมันในกลุ่มของ ฟอน บราวนั้นมีมากกว่า 700 คนที่ถูกพาเข้ามาในสหรัฐแบบเงียบๆ พร้อมกับทำการฟอกประวัติให้คนเหล่านี้อย่างเรียบร้อย

     

        บีบีซีบอกว่า คนอื่นจะเป็นใครไม่ทราบได้ แต่อย่างน้อยที่เห็นๆ มีคนที่เป็นนาซีร้อยเปอร์เซนต์และมีส่วนในความตายของเชลยศึกคนกว่า 20000 คนจนควรจะได้รับโทษในฐานะอาชญากรสงครามถูกสหรัฐอเมริกาฟอกประวัติและให้ทำงานให้กับรัฐบาลหน้าตาเฉย อาทิเช่น อาเธอร์ รูดอล์ฟ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยที่นอดร์ดเฮาเซน เขาถูกระบุจากรายงานของสัมพันธมิตรว่าเป็นนาซีร้อยเปอร์เซนต์และอยู่ในกลุ่มโคตรอันตราย อีกคนที่เป็นหัวกระทิก็คือ เคิร์ท เดอบุส นักวิจัยผู้วางโปรเจคต์ทำลายระบบรักษาความปลอดภัยของสัมพันธมิตร เป็นนาซีและเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวดเช่นกัน อีกคนที่แอนดรูว์ วอล์คเกอร์ บอกก็คือ ฮูเพิร์ด สตรักโฮลด์ เป็นผู้นำในการทดลองเรื่องแช่แข็งมนุษย์และการที่มีสภาพอยู่ในห้องที่มีความดันต่ำ มีเชลยศึกที่ตายในการทดลองของเขาเพียบไปหมด แต่ทั้งหมดที่ว่านี้กลายเป็นเป็นไอคอนของนาซ่าในเรื่องของการสร้างจรวดและการบุกอวกาศอย่างไม่น่าเชื่อจนเป็นบุคคลสำคัญของนาซ่าในเวลาถัดมา

     

        แต่สหรัฐบอกภายหลังว่า คนเหล่านี้เปลี่ยนทัศนะคติทางการเมืองไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

     

        โปรเจคต์สะสางงานวิจัยของนาซีและประเมินว่าจะผลิตได้จริงนั้นสิ้นสุดเอาเมื่อปี 1962 บุคคลากรเกือบทั้งหมดถูกส่งไปอยู่ตามหน่วยงานต่างๆครอบคลุมทั้งในเรื่อง จรวด อาวุธ ยา พลังงาน การสืบราชการลับ การพัฒนาขีดความสามารถของมนุษย์ ฯลฯ

     

        ถึงขนาดนี้ผลจากงานวิจัยของนาซีอีกมากมายที่ยังถูกเก็บไว้เป็นความลับสุดยอดและยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา หนึ่งในความลับสุดยอดเหล่านั้นอาจะเป็นเรื่องของการที่นาซีกลุ่มหนึ่งไปอยู่บริเวณด้านมืดของพระจันทร์ก็ได้นะครับ

















ที่มา :http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9550000068625

____________________

เครดิต : ต่อพงษ์

________________________________

แสดงความคิดเห็น

 
Top