“เจมส์” ขอโทษแฟนคลับ รับคิดน้อยไปที่ไม่แยกกิจกรรมงานมีทติ้งให้ชัดเจนจนทำให้หลายคนเสียความรู้สึกคิดว่าโดนหลอก อ้างคิดว่าเป็นคนกันเองจึงไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ยันไม่ได้บังคับขายตรง แค่เป็น NETWORK MARKETING อีกทั้งเห็นว่าทำแล้วดีก็เลยอยากบอกต่อ ลั่นไม่มีใครรู้เห็นด้วยตนขอรับผิดเต็มๆ 


       
       เป็นเรื่องทีเดียว กับกรณีที่นักร้องหนุ่ม “เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์” โดนแฟนคลับโพสต์ตัดพ้อต่อว่า หลังตนเองเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรม “Follower ครบแสน ชวนแฟนกินข้าวกับเจมส์-เรืองศักดิ์” ของนักร้องหนุ่ม เมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่กลับพบว่าในงานดังกล่าวนั้น มีการแอบแฝงชักชวนให้เหล่าแฟนคลับได้สมัครเป็นสมาชิกขายตรงของบริษัทหนึ่ง ทำให้หนุ่มเจมส์ถูกมองว่าจัดงานมีทติ้งบังหน้า จนกลายเป็นเรื่องช็อกความรู้สึกของแฟนคลับ กระทั่งกลายเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้
       
       ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลาย ล่าสุดวันนี้(8 ต.ค.) หนุ่มเจมส์ได้ออกมาแถลงข่าวเคลียร์ประเด็นดังกล่าว ที่ โรงเรียนภาษาอังกฤษ BSC baptist student center ย่านพญาไท พร้อมออกตัวว่า วันนี้ตั้งใจอยากจะขอบคุณและขอโทษแฟนคลับสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมยันไม่ได้บังคับขายตรง แค่เป็น NETWORK MARKETING
       
       “ที่นัดทุกคนมาวันนี้เพราะมีประเด็นจะชี้แจงอยู่ 2 เรื่องสั้นๆ ไม่มีอะไรมาก ประเด็นแรกเป็นเรื่องของการขอบคุณแฟนๆ ฉลองฟอลโลว์เวอร์ครบ 1 แสน ก็มากินข้าวด้วยกัน แล้ววันนี้ก็เป็นการขออภัยกับความรู้สึกไม่สบายใจของแฟนคลับบางส่วน ซึ่งวันนี้ผมก็มีขอเท็จจริงจะมาเล่ามาบอกถึงแฟนคลับทุกคน”
       
       “หลังจากที่ผมมีคอนเสิร์ตแล้วปรากฏว่าทวิตเตอร์ผมมียอดคนติดตามเกิน 1 แสนคน ผมก็เลยจัดกิจกรรมขึ้น เราก็เลยคิดว่าเอ๊ะจะมีกิจกรรมอะไรที่จะให้แฟนๆ มารวมตัวกัน เพื่อเหมือนเป็นการฉลองใน 1 แสนแรก เราก็จัดกิจกรรมเป็นกินข้าวกับ เจมส์ เรืองศักดิ์ ก็สนุกสนานกันมาก บรรยากาศในงานก็จบลงด้วยดี ประเด็นที่สองเรื่องของความไม่สบายใจของแฟนคลับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างแคร์มาก”
       
       “เรื่องมันมีอยู่ว่าในวันที่ผมจัดกิจกรรม เราก็มีการร้องเพลง เล่นตลก เล่นมุขกัน ทุกคนก็ใกล้ชิดกันหมด เอาของรักที่เก็บสะสมมาโชว์ว่าเก็บอะไรบ้าง กิจกรรมก็ดำเนินกันไปจนจบ กินข้าว ร้องเพลง 2-3 เพลง แล้วก็ร่วมพูดคุยกัน เราก็พูดคุยกันถึงอัพเดทชีวิตก้าวต่อไปของผม ซึ่งในทุกๆ ปีผมก็จะมีการจัดกิจกรรมอย่างนี้กับแฟนคลับของผมอยู่แล้ว”
       
       “ก็เล่าว่าพี่เจมส์กำลังทำอะไรอยู่ แล้วชีวิตก้าวต่อไปของพี่เจมส์จะเป็นยังไง ขณะที่เล่าผมก็เล่าถึงเรื่องธุรกิจที่ผมทำอยู่ ก็มีความรู้สึกว่าเราทำธุรกิจนี้แล้วมันดีต่อชีวิตเรา คนแรกที่เรานึกถึง ก็นึกถึงแฟนคลับ ผมก็เลยมีการตั้งคำถามกับแฟนคลับต่อเลยว่า พี่เจมส์กำลังทำธุรกิจซึ่งเป็นธุรกิจเน็ตเวิร์คมาเก็ตติ้ง ไม่ใช่ขายตรงนะครับ” 
       
       “เรามีสิ่งดีๆ แล้วถ้ามันให้อย่างนี้กับน้องๆ ได้จริงๆ ถ้าใครสนใจที่จะฟัง ผมพูดช้าๆ ชัดๆ เลยว่าน้องๆ คนไหนสนใจที่จะฟังเราก็อยู่กันต่อ แล้วพี่เจมส์จะให้ข้อมูลว่า ธุรกิจนี้มันเป็นยังไง แต่ถ้ามีใครคนใดคนนึงไม่สนใจ หรือคิดว่าตัวเองยังไม่สะดวก ก็ไม่มีการบังคับใดๆ ทั้งสิ้น สามารถกลับได้ และทุกคนที่เดินออกไปจากที่นี่เวลานี้” 
       
       “บอกได้เลยถ้ามีการจัดมีทติ้งครั้งต่อไป เราก็มาร่วมสนุกสนานเฮฮากันอีก เรายังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม ไม่มีข้อแม้ ไม่มีการบีบบังคับ ไม่มีการสร้างเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ตอนนั้นผมเองก็มีความคาดคะเนในใจ ว่าน้องๆ คงจะเดินออกไปสักครึ่งนึง สัก 60-70 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็เหลือคนที่สนใจจริงๆ ผมก็จะให้ข้อมูลธุรกิจตัวที่ผมว่าเป็นยังไง มันให้อะไรได้บ้าง”
       
       “ปรากฏว่าเราคาดคะเนผิด พอผมพูดจบ บอกเลยว่าคำที่ผมพูด ผมพูดไป 3 รอบช้าๆ ชัดๆ และใช้เวลา แล้วก็หยุดกิจกรรมทั้งหมดของน้องๆ ประตูก็ไม่ได้มีการล็อคใดๆ ทั้งสิ้น ก็บอกว่าน้องๆ ว่านี่มันเป็นกิจกรรมคนละส่วนนะ กิจกรรมแฟนคลับก็กิจกรรมนึง กิจกรรมนี้ก็เป็นอีกเรื่องนึง น้องๆ คนไหนสนใจที่อยากฟังก็อยู่ ปรากฏว่าน้องๆ ก็นั่งอยู่กันเกือบครบ มีคนลุกออกไป 1-2 คนเท่านั้นเอง” 
       
       “ซึ่งผมเองก็คาดเดาว่า ทุกคนคงจะอยากฟังจริงๆ ทุกคนคงอยากรู้ว่าทันคืออะไร ผมก็เล่าถึงโปรเจ็กต์ที่ผมกำลังทำอยู่ ว่ามันเป็นยังไง แล้วมันให้อะไรกับน้องๆ บ้าง การเล่ามันมีอยู่ 2 ช่วง ช่วงแรกเล่าถึงการทำธุรกิจ มันให้อะไรได้บ้าง ใช้เวลา 5-10 นาที ผมก็พูดประโยคเดิมอีกครั้งนึง ถ้าน้องๆ ครับ ถ้าใครไม่สนใจไม่ต้องอึดอัดใจนะครับ ใครรู้สึกอึดอัดใจที่จะฟังสามารถกลับได้ตอนนี้เลย ไม่ต้องกลัวพี่เจมส์โกรธ อย่าอยู่ด้วยความเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้นเพราะยังไงพี่ก็ยังเป็นพี่ของน้องๆ เหมือนเดิม”
       
       “ผมก็บอกว่าอันนี้เป็นอาชีพที่พี่เจมส์ได้ลงมือทำ เป็นอาชีพที่พี่เจมส์คัดเลือกคัดสรรค์แล้ว และวันนี้ที่กล้าเชิญชวนน้องๆ เพราะรู้แล้วว่าทำแล้วมันดียังไง ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีก็คงไม่กล้าเอามาพูดตรงนี้ ผมจะพูดชัดเจนมาก ปรากฏว่า พอพูดครั้งที่2 ก็ยังไม่มีใครลุกออกไปมากสักเท่าไหร่ จะมีฟังแล้วลุกไปบ้าง 1-2 คน จนจบ ผมเล่าจนจบทั้งหมดของโปรเจกต์ โดยที่ไม่มีการบีบบังคับใดๆ” 
       
       “ไม่มีว่าฟังจนจบแล้วเรียกเก็บเงิน บังคับให้เขียนใบสมัครใดๆ ไม่มีตรงจุดนี้แม้แต่นิดเดียว ไม่มีการสร้างเงื่อนไขใดๆ แก่น้องๆ แฟนคลับ เพียงแต่ผมบอกว่าใครอยากรู้เพิ่มเติมเดี๋ยวเราไปกันต่อ ผมจะให้ข้อมูลที่มากกว่านี้ เวลาช่วงนั้น 3 ทุ่มกว่าแล้ว ก็มองว่ามันดึกจนเกินไปแล้ว ฟังครั้งแรกก็คงจะไม่ได้ข้อมูลทั้งหมด ก็บอกน้องๆ ว่าถ้าอยากจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม เดี๋ยวพี่เจมส์จะนัดน้องๆ มาคุยกันต่อว่าลึกๆ แล้วมันเป็นยังไง จบก็มีการถ่ายรูปกัน ทุกคนเฮฮาปาร์ตี้สนุกสนาน มีกอดกัน ทุกคนก็มากอดพี่เจมส์กันคนละที”
       
       “เวลาผ่านไป 2 วันผมก็ได้รับฟีดแบ็คดีมากเกี่ยวกับกิจกรรมในช่วงแรก มีความรู้สึกปลื้มใจประทับใจ ผมได้เห็นหน้าแฟนคลับที่ไม่ได้เจอกันเลยครั้งแรกก็มี ผมรู้สึกประทับใจที่ได้เจอ ก็เป็นอะไรที่เซอร์ไพร์สมากสำหรับผม สุดท้ายแล้วพอผ่านไป 3 วัน เกิดความรู้สึกไม่สบายใจของน้องบางกลุ่มเกิดขึ้น”
       
       “ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณก่อน จริงๆ แล้วก็มีน้องๆ กลุ่มใหญ่ที่เขามีความเข้าใจแต่น้องๆ กลุ่มที่ไม่สบายใจ ผมรู้สึกแคร์ทุกคน ผมประกาศตรงนี้เลยว่าผมแคร์ความรู้สึกทุกคน ก็เห็นมีความระบายความในใจผ่านกระทู้ในเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งวันนี้ที่ผมออกมาพูด ก็อยากจะขออภัยความรู้สึกของน้องๆ หรือแฟนคลับที่ไม่สบายใจทุกคน”
       
       “ผมขออภัยจากหัวใจของผมจริงๆ ว่าผมคิดไปเอง ว่ากิจกรรม 2 กิจกรรมนี้ ผมมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนแล้ว ผมคิดไปเองว่ามันชัดเจนแล้ว แต่จริงๆ แล้วมันอาจจะชัดเจนไม่เพียงพอ ก็เลยทำให้เกิดความไม่สบายใจของน้องๆ หลายฝ่ายจากเหตุการณ์นี้ ผมขออภัยจริงๆ กับน้องๆ ที่มาโพสต์ ซึ่งอาจจะนั่งฟังด้วยความรู้สึกที่เกรงใจผม ไม่กล้าลุกออกไปอะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นเหตุผลของแต่ละคน”
       
       “บางคนที่อาจจะไม่คาดคิดว่าจะมาได้ยินข้อมูลของธุรกิจ ซึ่งผมต้องขออภัยในความรอบคอบของผมที่น้อยเกินไปหน่อย ก็เป็นประสบการณ์กับผมว่า ถ้าผมจะเล่าเรื่องธุรกิจครั้งต่อไป ผมจะมีความชัดเจนยิ่งกว่านี้ อาจจะแยกออกเป็นคนละวัน หรืออะไรก็ตามที ก็กราบขออภัยทุกคนก็อยากจะบอกว่าผมแคร์ความรู้สึกของทุกคนนะครับ”
       
       “ส่วนในกระทู้เขียนว่าผมมาร้องแค่ 2-3 เพลง อย่างที่บอกว่าเราจัดเป็นการเลี้ยงพูดคุยสังสรรค์ น้องๆ จะรู้เลยว่ากิจกรรมที่ผ่านๆ มาไม่ได้ใกล้ชิดผมได้มากขนาดนี้ก็จะเน้นทอล์คโชว์เล่นมุขไปตามโต๊ะต่างๆ คุยกันเป็นชั่วโมงครับ เล่นเกมบนเวที มีการร้องเพลงแค่ไม่กี่เพลงเพราะเราไม่ได้จัดงานคอนเสิร์ต เราไม่ได้เตรียมทุกๆ อย่างมาเพื่อจัดคอนเสิร์ต”
       
       “อีกอย่างเราไม่อยากให้มองว่ากิจกรรมนี้เป็นเรื่องของการร้องเพลง เราอยากให้มองว่าเป็นเรื่องของกิจกรรมเอ็กคูลซีฟ ที่ทุกคนสามารถใกล้ชิดผมได้มากกว่าเห็นผมบนเวที ก็ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วนธุรกิจใช้เวลาประมาณชั่วโมงเดียว ถ้าจะเทียบอัตราส่วนก็จะใช้เวลาในช่วงแรกมากกว่า ผมไม่อยากให้มันยาวมาก เราเคยมีประสบการณ์ว่าจัดนานเกินแล้วมันดึกมาก น้องๆ กลับบ้านลำบาก”
       
       ยอมรับว่าไม่ได้แจ้งแฟนคลับก่อนว่าจะจัดกิจกรรมเป็น 2 ช่วง ช่วงสุดท้ายเป็นเรื่องของธุรกิจ ทำให้บางคนเข้าใจว่าตัวเองโดนหลอกไป
       
       “อันนี้เป็นสิ่งที่ผมจะขออภัยว่าผมคิดไปเอง ว่าน้องๆ คือคนกันเอง พอเรามองอย่างนั้น เราก็จะสร้างเส้นแบ่งขึ้น เราก็จะบอกน้องๆ ในงาน ใครไม่อยู่ก็คือไม่อยู่ ใครอยู่ก็อยู่ต่อ อันนี้คือสิ่งที่ผมอยากจะขออภัย ผมรอบคอบน้อยไปนิดนึง เรารู้สึกว่าคนกันเอง ทำอะไรก็บอกกันเดี๋ยวนั้น ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอ”
       
       “ทำให้บางคนคิดว่าโดนหลอกไป ก็นี่แหละเป็นสิ่งที่เป็นบทเรียน เป็นประสบการณ์ มันยังมีความรู้สึก มันยังมีอะไรที่มากกว่าคำว่าเป็นกันเอง คนกันเอง ซึ่งมันละเอียดอ่อนมากกว่านั้น ก็ดีครับ มันทำให้ผมได้มีสติ เวลาที่มีอะไรแบบนี้ครั้งต่อไปผมจะได้รอบคอบมากกว่านี้”
       
       ส่วนที่มีแฟนคลับรายหนึ่งโพสต์ข้อความเชิงเสียความรู้สึก “เจมส์” อธิบายว่า…
       
       “ผมต้องบอกก่อนว่า วันนี้จากข้อความที่ไม่สบายใจของน้องท่านนึง ผมต้องขอบคุณน้องคนนี้มาก ที่ทำให้ผมได้สติอะไรหลายๆ อย่าง พอจบงานนั้นไป ผมจะให้น้องที่ทำงานกับผมอยู่โทร.ไปหาคนที่มาในวันนั้น แล้วสอบถามอย่างชัดเจนว่า วันนั้นอยู่ฟังจนจบไหม ถ้าอยู่ฟังจนจบกิจกรรมสุดท้าย อยากได้เพิ่มเติมไหม ผมก็ถามกันอย่างชัดเจนว่าถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถมาบอกพี่เจมส์ได้ จะทำหรือไม่ทำ ชอบหรือไม่ชอบ เราก็ยังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม”
       
       บอกว่าถ้าไม่มาก็จะได้รับความเพิกเฉยจาก “เจมส์” แล้วเจมส์ก็ทำไม่สนใจสักเท่าไหร่?
       
       “ก็เป็นน้องคนเดิมนั่นแหละครับ ที่ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปรากฏว่าก็สนใจจะมา แล้วนัดกับผมไว้ตอน 1 ทุ่ม ปรากฏว่าน้องมาเลท และด้วยผมเองมีภารกิจค่อนข้างเยอะ ระหว่างที่น้องมาเลท ผมก็คุยกับคนอื่นอยู่ น้องเขาก็นั่งรอ น้องก็สั่งน้ำสั่งอาหารอะไรที่ผมไม่ได้สังเกต ผมก็นั่งคุยกับน้อง แล้วอธิบายเพิ่มเติมเรื่องราวว่าเป็นยังไง ใช้เวลานั่งคุยกันประมาณ 1-2 ชั่วโมงกว่า”
       
       “ระหว่างที่ผมคุยก็ยังมีอีกทีมที่รอผมอยู่ แล้วเป็นทีมที่รอผมมานานมากแล้ว พอผมคุยจบ ผมทิ้งประโยคสุดท้ายกับน้องว่า น้องครับวันนี้ฟังข้อมูลพี่เจมส์แล้วสนใจไหม น้องก็เหมือนก็บอกว่าไม่สนใจ เราก็บอกว่าไม่เป็นไรนะ เราก็ยังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม เดี๋ยวนัดครั้งหน้าเดี๋ยวพี่จะนัดน้องมาทานข้าวอีก เดี๋ยวพี่เจมส์ต้องไปแล้ว เพราะต้องไปสอนอีกทีมนึง”
       
       “ในระหว่างที่น้องเขานั่งอยู่ ก็มีน้องทีมงานของผมดูแลเขามาตั้งแต่ต้น ทีมผมเองใหญ่มาก เวลาที่เราไปทานอาหารร่วมกัน เราจะไม่มีใครคนใดคนนึงเลี้ยง ใครสั่งอะไรก็จะจ่ายกันเอง วันนั้นน้องเขาก็นั่งอยู่ด้วย เขาก็นั่งโต๊ะเขา ผมก็สั่งน้ำแดง 1 แก้วราคา 39 บาท แล้วผมก็ฝากไปบอกน้องทีมงานผมว่า ฝากจ่ายน้ำให้พี่เจมส์ด้วยนะ อันนี้ผมอาจจะมองข้ามไปว่า มันเป็นความรู้สึกของน้องเขา ว่าทำไมไม่ดูแลคนทั้งโต๊ะ ผมไม่รู้ว่าจะมันจะเป็นความผิดพลาดอะไร มันก็เป็นธรรมเนียมการปฎิบัติของเราอยู่แล้ว ผมก็วางเงินไว้ 100 บาท แล้วบอกว่างั้นบ๊ายบาย พี่เจมส์ไปก่อนนะ แล้วผมก็ไปด้วยความเร่งรีบ”
       
       ตั้งใจหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจะโทร.ไปปรับความเข้าใจกับแฟนคลับคนดังกล่าว
       
       “กะว่าหลังเหตุการณ์นี้ผมจะโทร.ไปหาน้อง อันไหนที่น้องไม่สบายใจกับผม ผมก็จะอธิบายว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง ผมทราบมาว่าน้องเขาก็คงจะรู้สึกนิดนึง เพราะน้องได้เตรียมเรื่องของแผ่นซีดี หนังสือมาให้พี่เจมส์เซ็น ผมก็โอ้…เสียดายจัง เพราะไม่อย่างนั้นถ้าน้องหยิบขึ้นมาสักนิดนึง ผมก็จะได้เซ็นให้น้องเขาอย่างดีเลย”
       
       “อย่างที่บอกว่าเราแยกกิจกรรมออกอย่างชัดเจน ก็เข้าใจว่าวันนี้เรามาคุยเรื่องธุรกิจโดยเฉพาะกันแล้ว เราก็มีความเข้าใจไปเอง ว่าที่น้องมาเพราะน้องมีความสนใจธุรกิจร่วมกับผม เราเลยไม่ได้ไปถามเรื่องราวอะไรอย่างนี้มาก ต้องขออภัยน้องจริงๆ อย่าโทษหัวใจพี่เลยดีกว่า ให้โทษสมองพี่ดีกว่า วันนั้นมันอาจจะมีอะไรหลายๆ อย่างเยอะ ทำให้มองข้ามบางจุดไป”
       
       รู้สึกยังไงกับคำว่าลวงแฟนคลับมาทำธุรกิจ?
       “ถ้าคำว่าลวงหมายถึงว่า ผมพยายามไปสอดแทรกอะไร มีหลายๆ อย่างเกี่ยวกับธุรกิจในกิจกรรม อยู่ในงานเลี้ยงฉลองปาร์ตี้แฟนคลับอันนี้คงไม่ดี แต่นี่ผมบอกเลยว่า ผมแบ่งแยก 2 กิจกรรมนี้อย่างชัดเจนมากครับ ผมมีคำถามคั่นกลางอย่างชัดเจน” 
       
       “ซึ่งสิ่งที่ผมจะขออภัยมากที่สุดเลยก็คือ เป็นเพราะว่าผมคิดไปเอง คาดเดาสถานการณ์ไปเอง ว่าคนที่มาคือคนกันเอง เป็นแฟนๆ เป็นคนกันเอง ก็คงจะไม่มีอะไรมาก เหมือนเราชวนเพื่อนไปบ้านแหละครับ เปิดตู้เย็นกินอะไรได้เลย ผมเข้าใจว่าน้องๆ เราก็คนกันเองทั้งนั้น เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ผมแคร์แฟนคลับทุกคน วันนี้ใครที่ต่อว่าต่อต้าน ผมก็ยังรู้สึกแคร์ทุกคนครับ ถ้าเป็นไปได้ผมก็จะขออภัยกับแฟนคลับคนนั้นๆ”
       
       เมื่อถามว่าเรื่องนี้กระทบภาพลักษณ์หรือไม่? เจ้าตัวก็บอกว่า ถ้าให้เลือกระหว่างความสัมพันธ์กับแฟนคลับ กับเรื่องที่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอเสื่อมเสียชื่อเสียงเพื่อรักษาแฟนคลับมากกว่า
       
       “วันนี้ถ้าให้ผมเลือกระหว่างความสัมพันธ์กับแฟนคลับกับเรื่องที่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง วันนี้ผมไม่เลือกเสื่อมเสียชื่อเสียงมากกว่า ผมขอรักษาความสัมพันธ์กับแฟนคลับที่ผมมี ถามว่าวันนี้กลัวไหม ผมไม่ได้กังวลเรื่องชื่อเสียงครับ วันนี้สิ่งที่ผมแคร์ที่สุดคือผมแคร์เรื่องของความรู้สึกแฟนคลับมากกว่า บอกเลยว่าผมเหมือนเดิม ผมยังเป็นเหมือนเดิม”
       
       “ผมต้องมีอาชีพผมเป็นนักร้อง แล้วผมก็ทำอาชีพอื่น อาชีพผมเป็นอาชีพไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดกฎหมาย เป็นอาชีพที่ผมเลือกแล้วว่าดี น้องๆ กลุ่มใหญ่ที่ชื่นชมที่ผมเป็นนักร้องทุกคนก็ยังเหมือนเดิม หรือว่าน้องๆ ในกลุ่มใหญ่ที่อยากจะร่วมอาชีพกับผม ชื่นชอบผม อยากประสบความสำเร็จไปกับผม ผมก็ยินดีจะดูแลน้องๆ ไปทุกแบบ”
       
       “ในผลกระทบระยะสั้นมันก็คงจะมีอย่างที่เห็น แต่ผมก็ชัดเจนครับ ผมไม่เลือกนิ่งเงียบให้กระแสมันจางๆ ไปเอง ผมไม่เลือกอย่างนั้น ผมเลือกที่จะมาให้ข้อเท็จจริง ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง มันเกิดจากความผิดพลาดของผมคนเดียว ผมยอมรับผิดคนเดียวครับ วันนี้ต่อให้ไม่ไปพูดกับน้องแฟนคลับในวันนั้น ผมก็ทำธุรกิจนี้ได้ มันก็สำเร็จไปในแนวทางของมัน”
       
       “จากเหตุการณ์นี้มันทำให้ผมได้เห็นหัวใจของหลายๆ คน มันซาบซึ้งมากกับทุกคนที่เขารู้จักตัวเรา ผมอยู่วงการนี้มา 18 ปีเต็มหลายๆ คนเห็นผม ผมก็คงจะมีอะไรดีๆ อยู่บ้าง ฉะนั้นคนที่เขาเข้าใจ และรู้จักเราจริงๆ ก็รู้ว่าเราเป็นยังไง ก็ไม่เป็นไร มันเป็นความคิดเห็นความรู้สึกของน้องๆ เราก็มีความตั้งใจจริงมาให้น้องๆ”
       
       กับคำถามที่ว่าจะมุ่งตรงไปในธุรกิจนี้เลยรึเปล่า? เจ้าตัวก็ออกตัวว่า…
       “ผมไม่อยากให้เวทีนี้เป็นการพูดถึงธุรกิจมาก เดี๋ยวจะมีคนไปตีความ ว่าที่ผมจัดแถลงข่าวเป็นเรื่องของธุรกิจอีกเอาเป็นว่าถ้าหากว่า มองว่ามันไม่ดีพอที่จะตัดสินใจมาทำ ผมคงไมกล้าพูดถึงขนาดนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรผมเป็นคนที่ตั้งใจ และทำจริง ถ้าใครสนใจถามตามมาอีกรอบ เอาธุรกิจเพียวๆ ได้เลย ผมศึกษามาอย่างถ่องแท้ และเข้าใจจริงๆ กับมัน”
       
       ลั่นยังไงก็จะโทร.ไปหาแฟนคลับ 200 คนที่มาร่วมงานในวันนั้น…“ผมคิดว่าผมจะโทร.นะครับ ผมจะอัพเดทและถามเขาด้วยความสมัครใจว่า วันนั้นน้องได้อยู่ฟังจนครบรึเปล่า ผมไม่อยากให้ใครคนใดคนนึงที่สนใจแล้วพลาดโอกาส”
       
       “และผมยังร้องเพลงอยู่แน่นอน ปีหน้าก็คงจะมีอะไรดีๆ ที่มาเซอร์ไพร์สแฟนๆ กันอีกเหมือนที่ปีนี้ มีคอนเสิร์ต ผมจะบอกให้ว่าการร้องเพลงหลังจากที่ผ่านอะไรแบบนี้แล้ว ผมคิดว่ามันจะมีอะไรซาบซึ้งมีอะไรตื่นเต้นมากกว่านี้อีก ผมเป็นศิลปินอิสระ ทางค่ายต่างๆ เองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมใดๆ ที่ผมจัด มีแค่ยืมเพลงของบางค่ายมาร้องก็มีเท่านั้น เป็นกิจกรรมส่วนตัว ผมขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีใครมามีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นใดๆ เจมส์ เรืองศักดิ์ รับเต็มๆ”
       
       สุดท้ายเจ้าตัวได้เคลียร์ กรณีถูกมองว่าใช้ชื่อเสียงมาหาผลประโยชน์จากแฟนคลับ ว่า…
       “มันมองได้หลายมุม ผมมองว่าวันนี้ผมเพียงแค่อยากจะนำเสนอสิ่งนี้ ก็เล่าประสบการณ์ เล่าเรื่องราวในชีวิตให้คนที่ผมรักฟัง แล้วก็ถามว่าสนใจจะฟังไหม ไม่สนใจก็ไม่ต้องฟัง ผมมีคนที่รักอยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าผมเจอสิ่งดีผมควรจะบอกใครก่อนล่ะครับ ผมก็คงบอกคนที่รักผมให้เขาฟังก่อน”



ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์

แสดงความคิดเห็น

 
Top