สมัยผมเป็นเด็กเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ผมไปเรียนหนังสือต่อชั้น ม.ศ.1-3 อีกอำเภอหนึ่ง ได้เช่าอยู่รวมกับเพื่อน เดือนหนึ่งหรือมีวันหยุดติดต่อกันถึงจะกลับบ้าน เพราะระยะทางจากอำเภอไปบ้านของผมมันไกลกันมาก ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 6-7 ชั่วโมง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เทอมสุดท้ายของการเรียนหนังสือระดับชั้น ม.ศ.3 (สมัยนั้น) ของผม ทางโรงเรียนให้นักเรียนหยุดดูหนังสือ เพื่อเตรียมตัวสอบเทอมปลายเป็นเวลา 7 วัน ผมจึงถือโอกาสกลับไปดูหนังสือที่บ้าน
สมัยก่อนนานๆ ทีจะมีรถบรรทุกสิบล้อเข้าไปซื้อผลิตผลพืชไร่ของชาวบ้าน เฉพาะช่วงฤดูหนาวกับฤดูร้อนเท่านั้น หากเป็นฤดูฝนถนนจะใช้การไม่ได้
ผมอยู่บ้านดูหนังสือครบ 7 วันตามกำหนด วันสุดท้ายเป็นวันอาทิตย์ ผมจะต้องเดินทางกลับโรงเรียนเพื่อไปสอบ วันนั้นได้มีรถบรรทุกสิบล้อวิ่งผ่านเข้ามาแวะจอดรับซื้อพืชผลในหมู่บ้าน พ่อของผมถือโอกาสเข้าไปถามคนขับรถว่า...เย็นนี้จะผ่านมาทางนี้อีกหรือเปล่า? คนขับบอกว่าจะผ่านมา พ่อบอกว่าจะให้ลูกชายอาศัยรถเข้าเมืองด้วย
เวลาผ่านไปถึงเย็น รถสิบล้อคันนั้นยังไม่มา แต่รอไปเรื่อยๆ จนเวลา 4-5 ทุ่ม รถก็ยังไม่โผล่มา ใจคอชักจะไม่ดีเสียแล้ว ผมชักใจคอสับสนว้าวุ่น เพราะวันพรุ่งนี้จะหยุดเรียนไม่ได้ มันมีความสำคัญกับอนาคตของผมมาก
ประมาณสองยาม ผมตัดสินใจว่าจะต้องไปคืนนี้ให้ได้ แม้จะไปคนเดียวก็ต้องไป ผมขอร้องให้พ่อเดินไปส่งห่างจากหมู่บ้านราว 10 ก.ม. จากนั้นผมก็เดินทางต่อตามลำพังคนเดียว ไม่มีไฟฉายส่องทาง อาศัยแสงสลัวจากดวงจันทร์ส่องลงมาพอให้เห็นทางเดิน สัมภาระมีห่อหนังสือที่นำมาอ่าน และมีข้าวสารเหนียวใส่ถุงจำนวนหนึ่งสะพายบนบ่า
ถนนสมัยก่อนเป็นทางเกวียนอ้อมวกวน ผมจึงต้องใช้เส้นทางลัดที่ชาวบ้านใช้กันอยู่เดินผ่านทุ่งนา ข้ามลำห้วยและป่าละเมาะ ป่าทึบมีต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมไปตลอดทาง แม้ว่าทางลัดจะน่ากลัว เคยมีชาวบ้านโดนผีหลอกมาหลายรายก็ตาม
ผมจะต้องไปให้ถึงตอนเช้าทันเข้าห้องเรียนสอบ...
ยอมรับว่ายามที่เดินกลางคืนคนเดียว มันวิเวกวังเวงน่าหวาดกลัว มองไปรอบๆ ตัวมีแต่ความเงียบและมืดห้อมล้อมไปทั่ว...ตลอดทางที่เดินไม่มีอะไรผิดปกติให้เห็น
ผมเดินผ่านหมู่บ้านโพธิ์ชัย อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม เลยไปประมาณ 15 กิโลเมตร และผมรู้ดีว่าต้องเดินผ่านป่าช้า ใจเริ่มเต้นตุ้บตั้บ เกิดความกลัวผีขึ้นมาเสียกลางคัน ผมตัดสินใจสลัดความกลัวผีที่ผุดขึ้นมาในสมอง เร่งฝีเท้าเดินมุ่งหน้าต่อไป
ผมคาดว่าช่วงนั้นเป็นเวลาประมาณตี 4 เศษ ขณะที่เดินไปตามถนนผ่านป่าช้ามาถึงครึ่งทาง ผมเหลือบเข้าไปในป่าช้า เห็นกองไฟกองหนึ่งลุกแดงโชติยามที่มีลมพัดมา ห่างจากถนนราว 10 กว่าเมตร คิดว่าคงจะมีการเผาศพกันแน่ แล้วผมก็ได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนและนั่งล้อมรอบกองไฟ เกิดความอุ่นใจขึ้นมาว่าจะได้เพื่อนบ้าง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ขอความช่วยเหลือ หูผมแว่วเสียงพวกเขาคุยกัน แต่จับใจความไม่ได้ว่าพูดคุยอะไรกันบ้าง
ใจคอผมไม่ค่อยจะดี ทำอะไรไม่ถูกเลยตอนนั้น กลัวว่าสิ่งที่เห็นจะไม่ใช่คน กลัวว่าจะเป็นผี! ขาแข้งมันสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจให้อยากจะมองเข้าไปในป่าช้า ผมคอยแต่จ้องมองดูคนกลุ่มนั้นนานหลายนาที
ก่อนที่ภาพของคนกลุ่มนั้นที่ยืนๆ นั่งๆ อยู่รอบกองไฟเผาศพ ค่อยๆ ทยอยเดินผละ...เลือนหายไปทีละคนไปต่อหน้าต่อตาผม
เกิดมาไม่เคยเห็นผีมาก่อนเลย! ไม่รู้ว่าผีมีตัวตนอย่างไร เพียงแต่ได้ยินเขาเล่าถึงความน่าเกลียดน่ากลัวของผีให้ฟัง เพิ่งจะเห็นผีในป่าช้าเป็นครั้งแรกในชีวิตนี่แหละ
ผมยืนขาแขนสั่น ตัวเย็นอยู่นานเท่าไรไม่รู้ มารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกัน ผมสลัดอาการมึนงงและความสับสนที่ผุดขึ้นมาภาพที่เห็นในป่าช้าทิ้ง ขณะเดียวกัน ชาวบ้านกลุ่มที่คุยกันมามีด้วยกันหลายคนทั้งชายและหญิง ล้วนวัยกลางคนต่างหาบสัมภาระเดินผ่านไป ครั้นผมตั้งสติได้รีบเดินตามหลังชาวบ้านกลุ่มนั้นไป...ผมมีเพื่อนเดินไปด้วยกันแล้ว
ทราบว่าชาวบ้านกลุ่มนี้นำพืชผลไปขายในอำเภอที่ผมเรียนอยู่ และชาวบ้านยังบอกว่า ใครก็ตามที่เดินผ่านป่าช้าตอนกลางคืนมักจะโดนผีหลอก พวกเขายังเจอผีหลอนหลอกมาแล้วหลายครั้งจนชาชิน ทุกวันนี้ไม่กลัวผีในป่าช้าหลอกอีกแล้ว!
ผมไปถึงบ้านเช่าราว 7 โมงเช้า อาบน้ำแต่งตัว ไม่ต้องกินข้าวเพราะกลัวจะสาย แล้วเข้าห้องเรียนไม่ทัน รีบรุดเดินทางไปโรงเรียนทันทีและทันเวลาสอบตามกำหนด
นั่นเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผม และผมจดจำคืนวันนั้นได้ดี ทั้งเชื่อว่า "ผีมีจริง" จนตราบถึงทุกวันนี้ แม้ว่าเวลาจะผ่านมา 30 ปีแล้วก็ตามครับ
แสดงความคิดเห็น
Click to see the code!
To insert emoticon you must added at least one space before the code.