ข่าวบันเทิง

<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-Fo6qGDiBgr8/TjXvtckYWBI/AAAAAAAABqo/ecFhA1QaclA/s1600/DSC00010_resize.JPG_thumb.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="http://3.bp.blogspot.com/-Fo6qGDiBgr8/TjXvtckYWBI/AAAAAAAABqo/ecFhA1QaclA/s320/DSC00010_resize.JPG_thumb.jpg" width="320" /></a></div><div style="text-align: justify;">ดิฉันเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด ได้ฟังเรื่องผีๆ สางๆ มามากมายนับไม่ถ้วน ที่นั่นที่นี่ล้วนแต่มีผีดุทั้งนั้น ดุมากบ้างน้อยมาก แต่ส่วนมากน่ะไม่ได้เห็นด้วยตัวเองหรอกนะ...เขาเล่าว่าทั้งนั้นเลย!</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">แถวบ้านดิฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นชุมทางปีศาจแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ค่ะ</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">นั่นคือสี่แยกทางรถไฟ ถนนนครไชยศรีตัดกับถนนสวรรคโลก ด้านซ้ายไปสถานีรถไฟสามเสน ด้านขวาไปทางสวนจิตรลดา ไหนจะรถชนกันที่สี่แยก ไหนจะเกิดเรื่องรถไฟชนรถยนต์ บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">ที่น่ากลัวมากๆ คือรถไฟทับคนตายคาที่ซิคะ! สมัยก่อนเกิดเรื่องบ่อยมากแถวๆ สะพานดำข้ามคลองสามเสน ที่มีต้นทางจากแม่น้ำเจ้าพระยา ไหลเลียบวังศุโขทัยมาถึงวัดอัมพวัน, วัดสุคันธาราม...ไหลคดเคี้ยวไปไกลถึงถนนพระรามเก้าโน่นแน่ะค่ะ</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">มิน่าล่ะ ขนาดห่างจากย่านสามเสนมาไกลโขแล้ว ที่นี่ก็ยังมีชื่อสถานีรถไฟสามเสนเหมือนกัน!</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">เมื่อราว 2 ปีก่อนก็มีผู้ชายหนุ่มนุ่งกางเกงลายพราง สวมเสื้อคอกลมสีขี้ม้านั่งดื่มเบียร์ที่หน้าร้านในสถานีอยู่ดีๆ รถไฟขาขึ้นเปิดหวูดจากหัวลำโพงจะเข้าเทียบชานชาลาสามเสน ชายผู้นั้นก็วิ่งไปนอนหงายขวางทางรถไฟดื้อๆ</div><a name='more'></a><br /><div style="text-align: justify;">เสียงผู้คนร้องกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายระงมไปหมด รถไฟหยุดไม่ทันแน่ๆ ล้อเหล็กทับแขนขาขาดกระเด็นน่าสยดสยองสิ้นดี ขนาดการรถไฟกั้นทางข้ามแล้วนะคะเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ แต่ห้ามคนฆ่าตัวตายไม่สำเร็จแน่</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">ผีทางรถไฟแถวสะพานดำที่เคยซาไปก็กลับดังขึ้นมาใหม่ ตอนกลางคืนมีคนเห็นห้อยโหนโยนตัว หัวขาดขาขาดเป็นประจำ!</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">ซอยบ้านดิฉันอยู่ใกล้ๆ สี่แยก ตรงข้ามซอยเข้าวัดจอมสุดาราม หรือวัดไพรงามพอดี เป็นซอยเล็กจนทางกทม.ไม่ได้ตั้งชื่อให้ แต่พวกเราเรียกกันเองว่า <span style="color: #990000;">"ซอยวัดใจ"</span></div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">ความเล็กของซอยขนาดเข้าได้แต่มอเตอร์ไซค์ ถ้ารถตุ๊กตุ๊ก จะเข้าซอยนี้ต้องมีคนขับเก่งจริงๆ ค่ะ เพราะซ้ายขวาห่างรั้วสูงลิบไม่ถึงศอก ถ้ามีคนเดินอยู่ก็ต้องหยุดเดิน แนบตัวกับกำแพงรั้วเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเฉี่ยวชน</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">ต้องวัดใจกันว่ารถกับคนใครจะหยุดก่อนกัน? ถึงเรียกว่าซอยวัดใจไงคะ!</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">ไม่จำเป็นจริงๆ รถตุ๊กตุ๊ก ก็ไม่อยากเข้าหรอกค่ะ แม้ว่าทางแคบที่ว่าจะไม่เกินร้อยเมตร...ต่อจากนั้นก็เป็นทางกว้าง มีซอยเล็กๆ สำหรับคนเดินอยู่ทางซ้าย บ้านช่องแน่นหนา ผู้คนคึกคักพอสมควร</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">ซอยนี้มีคนเดินเข้า - ออกแทบไม่ขาดระยะ ส่วนหนึ่งใช้มอเตอร์ไซค์เป็นหาพนะ คนที่เดินก็เดินจนชินแล้ว ล้วนแต่คุ้นหน้ากันทั้งนั้น พูดไปอีกทีก็ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกค่ะ</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">อ้อ! ยกเว้นต้นโพธิ์ที่สุดซอย (ความจริงกลางซอย)</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">ถ้ามองไปตรงๆ ก็จะเห็นต้นโพธิ์ใหญ่ ขนาดไม่สูงนักอยู่สุดทางพอดี...แต่ไปถึงจะมีทางเลี้ยวแคบๆ สั้นๆ อยู่ทางซ้ายมือ แล้วเลี้ยวขวาออกไปอีกที เป็นต้นโพธิ์เก่าแก่หลายสิบปีแล้วค่ะ มีฐานปูนล้อมรอบ ชาวบ้านทั่วไปถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำซอย มีคนมาบนบานศาลกล่าวเป็นประจำ</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">ผ้าแพรสีต่างๆ สดใสเต็มโคนโพธิ์ มีทั้งพวงมาลัย ดอกไม้ ธูปเทียน ที่คนมาบนและแก้บน ร่ำลือกันมานานว่าเจ้าพ่อโพธิ์ให้หวยแม่น มีคนถูกหวยกันบ่อยๆ มาหลายปีดีดักแล้ว</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">ตอนกลางวันก็ดูสวยงามดีนะคะ หรือจะเป็นเพราะเห็นจนชินตาก็ไม่ทราบ แต่พอตกกลางคืนดูร่มครึ้ม ชวนให้วังเวงใจอย่างไรพิกล!</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">นอกจากให้หวยแม่น ยังมีเสียงลือว่าผีดุอีกต่างหาก!</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">บ้านดิฉันอยู่ก่อนถึงต้นโพธิ์ค่ะ พอเดินเข้าซอยพ้นทางแคบได้ไม่ไกลก็เห็นต้นโพธิ์โดดเด่น ไม่มองก็ต้องมองนะคะ...ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าบ้าน แต่ก็ไม่เคยเห็นอะไรผิดปกติสักครั้งเดียว</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">ตัวเองไม่กลัวผี ไม่เคยถูกผีหลอกสักครั้ง แต่ต้องขอออกตัวก่อนว่า...ถึงไม่เชื่อก็ไม่ลบหลู่นะคะ...ในที่สุดก็เจอดีเข้าจนได้!</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">เมื่อปลายปีนี้เอง ดิฉันเลิกงานตอนค่ำเพราะต้องเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนสิ้นปี นั่งรถสาย 14 จากประตูน้ำกลับบ้าน...พอเดินเข้าซอยรู้สึกเยือกเย็นชอบกล นึกได้ว่าเป็นหน้าหนาว แต่ผู้คนไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด คล้ายกับมีเราเดินเข้าซอยคนเดียว</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">มีรถมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มมาจากข้างหลัง ตอนนั้นใกล้จะพ้นทางแคบที่มีรั้วสูงๆ ขนาบทั้งสองข้างแล้ว ดิฉันแอบเข้าชิดซ้าย...รถคันนั้นก็แล่นหวือผ่านไป แต่ดิฉันยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">คุณพระช่วย! ไม่เห็นรถราสักคันเดียว มีแต่เสียงเท่านั้นเอง!</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">คงจะเกิดจากความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียมากกว่า หูฟั่นเฟือน! ประสาทหลอน! ไม่อยากคิดอะไรมาก รีบเดินเร็วขึ้นเพราะรำคาญเนื้อตัว อยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเต็มทีแล้ว</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">ไม่ช้าก็เห็นโพธิ์ใหญ่ต้นนั้นยืนทะมึนอยู่ในแสงไฟเยือกเย็น น่าแปลกที่เห็นใครนั่งกอดเข่าอยู่บนขอบปูนรอบโคนต้น ฟุบหน้านิ่งๆ คล้ายคนนั่งหลับ...อากาศก็ชักเย็นยะเยือกขึ้นทุกที</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">ขณะที่จะเลี้ยวเข้าบ้านก็มองดูอีกครั้ง ชั่วพริบตาเดียวร่างนั้นก็หายไปแล้ว...หายไปต่อหน้าต่อตาดื้อๆ เล่นเอาดิฉันขนลุกซ่าไปทั้งตัว...คราวนี้เชื่อสนิทแล้วค่ะว่าเจ้าพ่อโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์จริง อย่างน้อยก็ผีมีจริงๆ ไม่อยากหลอกตัวเองว่าตาฝาดแล้วค่ะ!</div>

ซอยวัดใจ

ดิฉันเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด ได้ฟังเรื่องผีๆ สางๆ มามากมายนับไม่ถ้วน ที่นั่นที่นี่ล้วนแต่มีผีดุทั้งนั้น ดุมากบ้างน้อยมาก แต่ส่วนมากน่ะไม่ได...

อ่านเพิ่มเติม »

ฟอสซิล 4 ล้านปี เก่ากว่า “ป้าลูซี” แย้งความเชื่อวิวัฒนาการคนกับลิง

นัก วิทย์พบโครงกระดูกต้นตระกูลคนที่เก่าแก่ที่สุด 4.4 ล้านปี ในเอธิโอเปียบ้านเดียวกันกับ “ลูซี” แย้งความเชื่อคนมาจากลิง นักวิจัยเผยไม่ใช่ทั้งคนและชิมแปนซี แต่มีลักษณะเข้าใกล้บรรพบุรุษร่วมคนกับลิงมากยิ่งขึ้นทุกที สอดคล้องทฤษฎีดาร์วิน<br /><br /><br /><br /><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-PaoIKScJsu4/TjLybDe4JBI/AAAAAAAAA_M/z6beR1Qz-CE/s1600/human2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="http://4.bp.blogspot.com/-PaoIKScJsu4/TjLybDe4JBI/AAAAAAAAA_M/z6beR1Qz-CE/s400/human2.jpg" width="313" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div>หน้า ปกวารสารไซน์ฉบับพิเศษของเดือน ต.ค. 52 ที่ตีพิมพ์ภาพโครงกระดูก "อาร์ดี" และภายในเล่มได้ตีพิมพ์งานวิจัยเกี่ยวกับการค้นพบโครงกระดูกสิ่งมีชีวิต ตระกูลคนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเป็นครั้งแรก (เอเอฟพี)<span style="font-size: 12pt;"><strong><span style="color: blue;"></span></strong></span><br /><br /><a name='more'></a><strong><br /><br /></strong><br /><br />ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติกว่า 10 ประเทศ เปิดเผยการค้นพบฟอสซิลโครงกระดูกสิ่งมีชีวิตในตระกูลคน (hominid) ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา โดยได้ตีพิมพ์รายงานผลการวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ถึง 11 ฉบับลงในวารสารไซน์ (<a href="http://www.sciencemag.org/">Science</a>) ฉบับพิเศษ เมื่อวันที่ 1 ต.ค.52 ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความตื่นเต้นอย่างมากแก่วงการนักวิทยาศาสตร์ทางด้านวิวัฒนาการของ มนุษย์และสิ่งมีชีวิต และได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนจำนวนมาก<br /><br /><br /><br />เอเอฟพีระบุว่า ฟอสซิลดังกล่าวถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2535 ในเขตประเทศเอธิโอเปีย และอีก 2 ปีต่อมานักวิจัยจึงสามารถจำแนกได้ว่า เป็นสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ในตระกูลคน โดยให้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า อาร์ดิพิเธคัส เรมิดัส (Ardipithecus ramidus) และมีชื่อเล่นว่า “อาร์ดี” (Ardi)<br /><br /><br /><br />โครงกระดูกดังกล่าว เป็นของสิ่งมีชีวิตเพศเมียที่คาดว่าเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ มีน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม สูงราว 1.2 เมตร และมีอายุเก่าแก่มากถึง 4.4 ล้านปี นับว่าเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบ<br /><br /><br /><br />อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ฟอสซิลสิ่งมีชีวิตตระกูลคนที่เก่าแก่ที่สุด และมีชื่อเสียงมากที่สุดคือ “ลูซี” (Lucy) ซึ่งจัดอยู่ในสปีชีส์ ออสเตรโลพิเธคัส อะฟาเรนซิส (Australopithecus afarensis) มีอายุ 3.2 ล้านปี พบครั้งแรกเมื่อปี 2517 ในเอธิโอเปียเช่นเดียวกัน แต่อยู่ห่างจากบริเวณที่พบ “อาร์ดี” ออกไปทางตอนเหนือ 72 กิโลเมตร<br /><br /><br /><br />ซี โอเวน เลิฟจอย (C. Owen Lovejoy) นักมานุษยวิทยาจากเคนท์สเตทยูนิเวอร์ซิตี (Kent State University) มลรัฐโอไฮโอ สหรัฐฯ หนึ่งในทีมวิจัยระบุในเอพีว่า ฟอสซิล “อาร์ดี” พลิกทฤษฎีวิวัฒนาการมนุษย์ที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ที่ว่ามนุษย์วิวัฒนาการมา จากบรรพบุรุษที่คล้ายชิมแปนซี แต่จากฟอสซิลของอาร์ดีบ่งชี้ว่า มนุษย์และชิมแปนซีแยกสายวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษร่วมกัน<span style="font-size: 12pt;"><strong><span style="color: blue;"><br /><br /></span></strong></span><br /><br /><span style="font-size: 12pt;"><strong><span style="color: blue;"><br /><br /></span></strong></span><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7hSzNJGVFxmPvXP79SZVRxGTuohsA6aGxPZbirNnbhHMVC1YTlr_YFHejAnb63SyJFnA1Ma4lHNexpZUg_5Tl-qv7Jq49uoPhSNjC3lU9qG8eup6BGkhrhJNEgUQjMAySf93a2OQlMd9Q/s1600/human1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="273" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7hSzNJGVFxmPvXP79SZVRxGTuohsA6aGxPZbirNnbhHMVC1YTlr_YFHejAnb63SyJFnA1Ma4lHNexpZUg_5Tl-qv7Jq49uoPhSNjC3lU9qG8eup6BGkhrhJNEgUQjMAySf93a2OQlMd9Q/s400/human1.jpg" width="400" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div><span style="font-size: 12pt;"><strong><span style="color: blue;"><br /><br /></span></strong></span><br /><br />(ซ้าย) ภาพโครงกระดูกของ "อาร์ดี" สิ่งมีชีวิตในตระกูลคนที่มีอายุเก่าแก่ 4.4 ล้านปี หรือเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา ซึ่งทีมนักวิจัยนานาชาติขุดพบในบริเวณประเทศเอธีโอเปีย ไกลออกไปจากบริเวณที่เคยพบ "ลูซี" ไม่มากนัก (ขวา) ภาพจำลองลักษณะของ "อาร์ดี" ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 4.4 ล้านปีก่อน ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์เห็นภาพวิวัฒนาการของคนกับลิงชัดเจนยิ่งขึ้น (ภาพประกอบจาก ไทม์)<br /><br /><div><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-FlXOV9eGGH4/TjLycD6qDSI/AAAAAAAAA_Q/M0aKdq9QD9k/s1600/human3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://4.bp.blogspot.com/-FlXOV9eGGH4/TjLycD6qDSI/AAAAAAAAA_Q/M0aKdq9QD9k/s320/human3.jpg" width="249" /></a></div><span style="font-size: 12pt;"><strong><span style="color: blue;"><br /><br /></span></strong></span><br /><br />ชิ้นส่วนโครงกระดูกส่วนเท้าของ "อาร์ดี" ฟอสซิลในตระกูลคนที่เก่าแก่ที่สุด อายุ 4.4 ล้านปี (เอเอฟพี)</div><div><br /><br /></div><div><br /><br /><br /><br />ด้าน ทิม ไวท์ (Tim White) ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยวิวัฒนาการมนุษย์ (Human Evolution Research Center) มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในเบิร์กเลย์ (University of California, Berkeley) และนักวิจัยอีกคนในทีมเปิดเผยว่า อาร์ดีไม่ใช่บรรพบุรุษร่วมที่ว่านั่น แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความใกล้ชิดกันมากที่สุด ซึ่งสายวิวัฒนาการของมนุษย์ยุคใหม่และลิงไม่มีหางในปัจจุบัน น่าจะแยกมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อราว 6-7 ล้านปีก่อน<br /><br /><br /><br />ทว่า อาร์ดีมีลักษณะพิเศษหลายอย่าง ที่ไม่พบในลิงไม่มีหางที่พบในแอฟริกาปัจจุบันนี้ ทำให้สรุปได้ว่าลิงไม่มีหางมีการวิวัฒนาการที่กว้างออกไป นับตั้งแต่เราได้มีบรรพบุรุษร่วมกันครั้งสุดท้าย และจากการศึกษา ฟอสซิลอาร์ดีพบว่า สิ่งมีชีวิตดังกล่าวอาศัยอยู่ในป่า และปีนต้นไม้ด้วยแขนขาทั้ง 4 ข้าง แต่พัฒนาการของแขนและขาบ่งชี้ว่า พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาอาศัยอยู่บนต้นไม้มากนัก และยังสามารถเดินบนพื้นดินด้วย 2 ขา และลำตัวตั้งตรงได้<br /><br /><br /><br />“ในฟอสซิลของอาร์ดิพิเธคัสไม่มีลักษณะพิเศษ ที่วิวัฒนาการไปไกลจากเส้นทางของออสเตรโลพิเธคัส ดังนั้น เมื่อเราพินิจจากหัวจรดเท้า เราจะเห็นภาพสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ทั้งชิมแปนซีหรือคน แต่เป็นอาร์ดิพิเธคัส” ไวท์ กล่าว ซึ่งชิมแปนซีมีฟันหน้าหยาบมากเพราะเป็นสัตว์กินพืช ขณะที่อาร์ดิพิเธคัสกินทั้งพืชและสัตว์ โดยมีฟันตัดและเขี้ยวเล็กกว่า และยังมีขนาดสมองใกล้เคียงชิมแปนซีแม้ว่าจะมีใบหน้าเล็กกว่า<br /><br /><br /><br />“ดาร์วินเคยกล่าวไว้ เราต้องมีความละเอียดถี่ถ้วน เป็นทางเดียวที่เราจะรู้ได้จริงๆ ว่าบรรพบุรุษร่วมสุดท้ายระหว่างคนกับลิงมีลักษณะอะไร และหาให้เจอ และฟอสซิลอายุ 4.4 ล้านปีที่เราพบ ก็เข้าใกล้สิ่งที่เราค้นหามากขึ้นทุกที และต้องขอบคุณดาร์วิน ที่เคยบอกไว้ว่า สายวิวัฒนาการของลิงและคนเป็นอิสระจากกัน ตั้งแต่แยกสายออกจากบรรพบุรุษร่วมสุดท้าย” ไวท์กล่าว<br /><br /><br /><br />“นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญที่สุดอีกครั้งหนึ่งของการศึกษาเรื่อง วิวัฒนาการมนุษย์ ซึ่งส่วนของโครงกระดูกที่สำคัญและสัมพันธุ์กันถูกรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ ทั้งกะโหลก มือ เท้า และส่วนสำคัญอื่นๆ ซึ่งมันอาจเป็นบรรพบุรุษของสกุลออสเตรโลพิเธคัส ที่เป็นบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตสกุลโฮโมก็เป็นได้” เดวิด พิลบีม (David Pilbeam) ภัณฑารักษ์ส่วนบรรพชีวินวิทยาของพิพิธภัณฑ์โบราณคดีและชาติพันธุ์วิทยา (Peabody Museum of Archaeology and Ethnology) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) กล่าวแสดงความเห็น ซึ่งเขามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในงานวิจัยโครงกระดูกอาร์ดี<span style="font-size: 12pt;">  </span> <br /><br /><br /><br /><br /><br /><span style="color: #0b5394;"> ที่มา :</span> <br /><br />____________________  <br /><br /><span style="color: #0b5394;"> เครดิต : </span>   <br /><br />________________________________ <br /><br /><div><script src="http://fastwebcounter.com/secure.php?s=http://allmysteryworld.blogspot.com/2011/07/4.html"><br /></script>  Pageviews </div></div>

ฟอสซิล 4 ล้านปี เก่ากว่า “ป้าลูซี” แย้งความเชื่อวิวัฒนาการคนกับลิง

นัก วิทย์พบโครงกระดูกต้นตระกูลคนที่เก่าแก่ที่สุด 4.4 ล้านปี ในเอธิโอเปียบ้านเดียวกันกับ “ลูซี” แย้งความเชื่อคนมาจากลิง นักวิจัยเผยไม่ใช่ทั้ง...

อ่านเพิ่มเติม »

ไขปริศนาดาวอังคาร ตอนที่ 3

<div style="text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-7huPSp5slJI/TjLVMsUL88I/AAAAAAAAA8g/5Ov2fmiQ9kE/s1600/fom_p3_valmar.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="http://4.bp.blogspot.com/-7huPSp5slJI/TjLVMsUL88I/AAAAAAAAA8g/5Ov2fmiQ9kE/s400/fom_p3_valmar.jpg" width="400" /></a></div><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div>เมื่อวันที่ 6 เมษายน (1998) องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือที่รู้จักกันที่ในชื่อขององค์การนาซา ได้เผยแพร่ภาพถ่ายล่าสุดจากยานสำรวจดาวอังคารโกลบอลเซอร์เวเยอร์ (Mars Global Surveyor) ที่ถ่ายภาพใบหน้าลึกลับแถบไซโดเนียบนดาวอังคาร หลังจากที่ยานไวกิง 1 และ 2 ไปสำรวจและถ่ายไว้เมื่อ 22 ปีมาแล้ว และกลายเป็นปริศนาดำมืดมาตลอดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและอารยธรรมบนดาวอังคารว่ามีจริงหรือไม่<br /><br /><a name='more'></a><br /><br /><br /><br /><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-BAk5veI79xA/TjLVU6t4hpI/AAAAAAAAA9E/subAIWDs3xM/s1600/fom_p3_facelocation_small.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="http://4.bp.blogspot.com/-BAk5veI79xA/TjLVU6t4hpI/AAAAAAAAA9E/subAIWDs3xM/s400/fom_p3_facelocation_small.jpg" width="400" /></a></div><br /><br />ภาพดาวอังคารและตำแหน่งที่ยานไวกิง 1 และ 2ยานพาทไฟน์เดอร์ลงจอด และพื้นที่แถบไซโดเนีย(สี่เหลี่ยมสีฟ้า) ที่ปรากฏใบหน้าลึกลับและวัตถุทรงพีระมิดลึกลับ<br /><br /><br /><br /><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-pmwXFGXbrVE/TjLVPdla0RI/AAAAAAAAA8s/K6RXi5rpwV8/s1600/fom_p3_29oct.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="262" src="http://2.bp.blogspot.com/-pmwXFGXbrVE/TjLVPdla0RI/AAAAAAAAA8s/K6RXi5rpwV8/s320/fom_p3_29oct.jpg" width="320" /></a></div><br /><br /><div style="text-align: center;">ตำแหน่งของไซโดเนียบนทรงกลมดาวอังคาร</div><br /><br />ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ทั้ง 2 ขั้วความคิดต่างก็พยายามวิเคราะห์ภาพถ่ายแถบไซโดเนียใบนั้นโดยอาศัยคณิตศาสตร์ชั้นสูงและคอมพิวเตอร์เข้าช่วย แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ว่าความเป็นจริงคืออะไร เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีผลการวิเคราะห์ที่สนับสนุนฝ่ายตนอยู่<br /><br /><b>นาซาเปลืองตัวเพราะเหตุใบหน้าลึกลับ</b><br /><br /><br /><br />หาก<wbr></wbr>แนว<wbr></wbr>ความ<wbr></wbr>คิด<wbr></wbr>ที่<wbr></wbr>ว่า<wbr></wbr>ใบ<wbr></wbr>หน้า<wbr></wbr>ลึก<wbr></wbr>ลับ<wbr></wbr>นี้<wbr></wbr>เป็น<wbr></wbr>สถาปัตยกรรม ไม่<wbr></wbr>ใช่<wbr></wbr>เกิด<wbr></wbr>จาก<wbr></wbr>ธรรม<wbr></wbr>ชาติ เป็น<wbr></wbr>จริง<wbr></wbr>แล้ว<wbr></wbr>ละ<wbr></wbr>ก็ นั่น<wbr></wbr>หมาย<wbr></wbr>ความ<wbr></wbr>ว่า<wbr></wbr>เรื่อง<wbr></wbr>ชีวิต<wbr></wbr>นอก<wbr></wbr>พิภพ<wbr></wbr>ก็<wbr></wbr>ต้อง<wbr></wbr>เป็น<wbr></wbr>เรื่อง<wbr></wbr>จริง รวม<wbr></wbr>ทั้ง<wbr></wbr>ยัง<wbr></wbr>ต้อง<wbr></wbr>เป็น<wbr></wbr>ผู้<wbr></wbr>ที่<wbr></wbr>มี<wbr></wbr>อารยธรรม<wbr></wbr>อัน<wbr></wbr>สูง<wbr></wbr>ส่ง<wbr></wbr>อีก<wbr></wbr>ด้วย เพราะ<wbr></wbr>ใบ<wbr></wbr>หน้า<wbr></wbr>ลึก<wbr></wbr>ลับ<wbr></wbr>นั้น<wbr></wbr>มี<wbr></wbr>ขนาด<wbr></wbr>กว้าง<wbr></wbr>ราว 2 กม. ยาว 2.5 กม. และ<wbr></wbr>มี<wbr></wbr>ความ<wbr></wbr>สูง<wbr></wbr>ราว 400 เมตร หาก<wbr></wbr>ไม่<wbr></wbr>มี<wbr></wbr>วิทยา<wbr></wbr>การ<wbr></wbr>สูง<wbr></wbr>แล้ว<wbr></wbr>ก็<wbr></wbr>ไม่<wbr></wbr>อาจ<wbr></wbr>ที่<wbr></wbr>จะ<wbr></wbr>สร้าง<wbr></wbr>ได้<br /><br /><br /><br />ภาพ<wbr></wbr>ถ่าย<wbr></wbr>ที่<wbr></wbr>นา<wbr></wbr>ซา<wbr></wbr>นำ<wbr></wbr>มา<wbr></wbr>เผย<wbr></wbr>แพร่<wbr></wbr>เพราะ<wbr></wbr>ต้อง<wbr></wbr>การ<wbr></wbr>ให้<wbr></wbr>เห็น<wbr></wbr>เป็น<wbr></wbr>เรื่อง<wbr></wbr>ตลก<wbr></wbr>กลาย<wbr></wbr>เป็น<wbr></wbr>เรื่อง<wbr></wbr>ที่<wbr></wbr>ทำ<wbr></wbr>ให้<wbr></wbr>นา<wbr></wbr>ซา<wbr></wbr>ต้อง<wbr></wbr>เปลือง<wbr></wbr>ตัว เพราะ<wbr></wbr>หลัง<wbr></wbr>จาก<wbr></wbr>นั้น ผู้<wbr></wbr>ที่<wbr></wbr>สน<wbr></wbr>ใจ<wbr></wbr>ติด<wbr></wbr>ตาม<wbr></wbr>เรื่อง<wbr></wbr>สิ่ง<wbr></wbr>มี<wbr></wbr>ชีวิต<wbr></wbr>บน<wbr></wbr>ดาว<wbr></wbr>อังคาร<wbr></wbr>ต่าง<wbr></wbr>พยายาม<wbr></wbr>เรียก<wbr></wbr>ร้อง<wbr></wbr>ให้<wbr></wbr>นา<wbr></wbr>ซา<wbr></wbr>ถ่าย<wbr></wbr>ภาพ<wbr></wbr>ใบ<wbr></wbr>หน้า<wbr></wbr>ลึกลับ<wbr></wbr>นี้<wbr></wbr>มา<wbr></wbr>อีก<wbr></wbr>ครั้ง<wbr></wbr>ใน<wbr></wbr>โครง<wbr></wbr>การ<wbr></wbr>สำรวจ<wbr></wbr>ดาว<wbr></wbr>อังคาร<wbr></wbr>รุ่น<wbr></wbr>หลังๆ แต่<wbr></wbr>ตลอด<wbr></wbr>เวลา<wbr></wbr>ที่<wbr></wbr>ผ่าน<wbr></wbr>มา<wbr></wbr>นา<wbr></wbr>ซา<wbr></wbr>ไม่<wbr></wbr>เคย<wbr></wbr>ถ่าย<wbr></wbr>ภาพ<wbr></wbr>ใบ<wbr></wbr>หน้า<wbr></wbr>ลึกลับ<wbr></wbr>แถบ<wbr></wbr>ไซโดเนีย<wbr></wbr>นี้<wbr></wbr>อีก<wbr></wbr>แม้<wbr></wbr>แต่<wbr></wbr>ครั้ง<wbr></wbr>เดียว ใน<wbr></wbr>ปี ค.ศ. 1993 ยาน<wbr></wbr>มารส์<wbr></wbr>ออบเซอร์เวอร์ (Mars Observer) ซึ่ง<wbr></wbr>ถูก<wbr></wbr>กำหนด<wbr></wbr>แผน<wbr></wbr>การ<wbr></wbr>ไว้<wbr></wbr>ให้<wbr></wbr>ถ่าย<wbr></wbr>ภาพ<wbr></wbr>ใบ<wbr></wbr>หน้า<wbr></wbr>ลึกลับ<wbr></wbr>อีก<wbr></wbr>ครั้ง<wbr></wbr>ก็<wbr></wbr>ไม่<wbr></wbr>สามารถ<wbr></wbr>ถ่าย<wbr></wbr>ภาพ<wbr></wbr>ส่ง<wbr></wbr>กลับ<wbr></wbr>มา<wbr></wbr>ได้ ซึ่ง<wbr></wbr>ใน<wbr></wbr>ครั้ง<wbr></wbr>นั้น<wbr></wbr>นาซา<wbr></wbr>แถลง<wbr></wbr>ว่า<wbr></wbr>เกิด<wbr></wbr>จาก<wbr></wbr>ยาน<wbr></wbr>สูญ<wbr></wbr>เสีย<wbr></wbr>การ<wbr></wbr>ควบ<wbr></wbr>คุม<wbr></wbr>ใน<wbr></wbr>ช่วง<wbr></wbr>นั้น<wbr></wbr>พอ<wbr></wbr>ดี จึง<wbr></wbr>ไม่<wbr></wbr>สามารถ<wbr></wbr>ถ่าย<wbr></wbr>ภาพ<wbr></wbr>มา<wbr></wbr>ได้<wbr></wbr>ตาม<wbr></wbr>แผน<br /><br /><br /><br />ต่อ<wbr></wbr>มา<wbr></wbr>โครง<wbr></wbr>การ<wbr></wbr>ยาน<wbr></wbr>อวกาศ<wbr></wbr>พาท<wbr></wbr>ไฟน์เดอร์ (Mars Path Finder) ที่<wbr></wbr>ลง<wbr></wbr>สำรวจ<wbr></wbr>ดาว<wbr></wbr>อังคาร<wbr></wbr>เมื่อ<wbr></wbr>ปี ค.ศ. 1997 รวม<wbr></wbr>ทั้ง<wbr></wbr>ยาน<wbr></wbr>โกลบอล<wbr></wbr>เซอร์เวเยอร์<wbr></wbr>ที่<wbr></wbr>เดิน<wbr></wbr>ทาง<wbr></wbr>ถึง<wbr></wbr>ดาว<wbr></wbr>อังคาร<wbr></wbr>เมื่อ<wbr></wbr>เดือน<wbr></wbr>กันยายน ค.ศ. 1997 จากนั้น<wbr></wbr>ก็<wbr></wbr>โคจร<wbr></wbr>รอบ<wbr></wbr>ดาว<wbr></wbr>อังคาร<wbr></wbr>เพื่อ<wbr></wbr>ถ่าย<wbr></wbr>ภาพ<wbr></wbr>ทำ<wbr></wbr>แผน<wbr></wbr>มา<wbr></wbr>ตลอด ก็<wbr></wbr>ไม่<wbr></wbr>ได้<wbr></wbr>ถูก<wbr></wbr>กำหนด<wbr></wbr>ให้<wbr></wbr>ถ่าย<wbr></wbr>ภาพ<wbr></wbr>ใบ<wbr></wbr>หน้า<wbr></wbr>ลึก<wbr></wbr>ลับ<wbr></wbr>นี้<wbr></wbr>เลย<br /><br />นี่<wbr></wbr>เอง<wbr></wbr>ที่<wbr></wbr>ทำ<wbr></wbr>ให้<wbr></wbr>นา<wbr></wbr>ซา<wbr></wbr>ถูก<wbr></wbr>ระแวง<wbr></wbr>สงสัย<wbr></wbr>จาก<wbr></wbr>ผู้<wbr></wbr>สน<wbr></wbr>ใจ<wbr></wbr>เรื่อง<wbr></wbr>ดาว<wbr></wbr>อังคาร<wbr></wbr>ว่า<wbr></wbr>กำลัง<wbr></wbr>ปก<wbr></wbr>ปิด<wbr></wbr>ความ<wbr></wbr>ลับ<wbr></wbr>อะไร<wbr></wbr>เอา<wbr></wbr>ไว้ และ<wbr></wbr>ปก<wbr></wbr>ปิด<wbr></wbr>ไว้<wbr></wbr>เพื่อ<wbr></wbr>อะไร ประกอบ<wbr></wbr>กับ<wbr></wbr>เหตุ<wbr></wbr>การณ์<wbr></wbr>ที่<wbr></wbr>ยาน<wbr></wbr>ลึก<wbr></wbr>ลับ<wbr></wbr>ตก<wbr></wbr>แถบ<wbr></wbr>รอสเวลล์<wbr></wbr>อีก<wbr></wbr>ทั้ง<wbr></wbr>ยัง<wbr></wbr>มี<wbr></wbr>มนุษย์<wbr></wbr>ต่าง<wbr></wbr>ดาว<wbr></wbr>อยู่<wbr></wbr>ภาย<wbr></wbr>ใน<wbr></wbr>ยาน<wbr></wbr>อีก<wbr></wbr>ด้วย ซึ่ง<wbr></wbr>ผู้<wbr></wbr>สน<wbr></wbr>ใจ<wbr></wbr>เกี่ยว<wbr></wbr>กับ<wbr></wbr>เรื่อง<wbr></wbr>มนุษย์<wbr></wbr>ต่าง<wbr></wbr>ดาว<wbr></wbr>ส่วน<wbr></wbr>ใหญ่<wbr></wbr>เชื่อ<wbr></wbr>ว่า<wbr></wbr>เป็น<wbr></wbr>ยาน<wbr></wbr>ที่<wbr></wbr>มา<wbr></wbr>จาก<wbr></wbr>ต่าง<wbr></wbr>ดาว<wbr></wbr>จริง<wbr></wbr>เพราะ<wbr></wbr>มี<wbr></wbr>พยาน<wbr></wbr>และ<wbr></wbr>หลัก<wbr></wbr>ฐาน<wbr></wbr>มาก<wbr></wbr>มาย แต่<wbr></wbr>ทาง<wbr></wbr>การ<wbr></wbr>สหรัฐฯ<wbr></wbr>ก็<wbr></wbr>แถลง<wbr></wbr>ว่า<wbr></wbr>ไม่<wbr></wbr>มี<wbr></wbr>อะไร เป็น<wbr></wbr>เพียง<wbr></wbr>อุปกรณ์<wbr></wbr>ตรวจ<wbr></wbr>อากาศ<wbr></wbr>ธรรม<wbr></wbr>ดา จาก<wbr></wbr>กรณี<wbr></wbr>นี้<wbr></wbr>ก็<wbr></wbr>ยิ่ง<wbr></wbr>ทำ<wbr></wbr>ให้<wbr></wbr>นาซา<wbr></wbr>ถูก<wbr></wbr>ระแวง<wbr></wbr>และ<wbr></wbr>ถูก<wbr></wbr>โจม<wbr></wbr>ตี<wbr></wbr>มาก<wbr></wbr>ยิ่ง<wbr></wbr>ขึ้น<br /><br /><br /><br /><br /><br /><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><br /><tr><td style="text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-16nrpA-5LF8/TjLVQUxIb6I/AAAAAAAAA8w/XQmfgFw51Tw/s1600/fom_p3_atlo3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="212" src="http://3.bp.blogspot.com/-16nrpA-5LF8/TjLVQUxIb6I/AAAAAAAAA8w/XQmfgFw51Tw/s320/fom_p3_atlo3.jpg" width="320" /></a></td></tr><br /><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ขณะกำลังถูกประกอบ</span></td></tr><br /></tbody></table>แต่<wbr></wbr>เมื่อ<wbr></wbr>ต้น<wbr></wbr>เดือน<wbr></wbr>เมษายน นา<wbr></wbr>ซา<wbr></wbr>ก็<wbr></wbr>เปลี่ยน<wbr></wbr>แผน<wbr></wbr>โดย<wbr></wbr>กำหนด<wbr></wbr>ภาร<wbr></wbr>กิจ<wbr></wbr>ให้<wbr></wbr>ยาน<wbr></wbr>โกลบอล<wbr></wbr>เซอร์เวเยอร์<wbr></wbr>ซึ่ง<wbr></wbr>โคจร<wbr></wbr>รอบ<wbr></wbr>ดาว<wbr></wbr>อังคาร<wbr></wbr>เพื่อ<wbr></wbr>ถ่าย<wbr></wbr>ภาพ<wbr></wbr>มาก<wbr></wbr>ว่า 200 รอบ<wbr></wbr>แล้ว เข้า<wbr></wbr>ไป<wbr></wbr>ถ่าย<wbr></wbr>ภาพ<wbr></wbr>ใบ<wbr></wbr>หน้า<wbr></wbr>ลึก<wbr></wbr>ลับ<wbr></wbr>ใน<wbr></wbr>แถบ<wbr></wbr>ไซ<wbr></wbr>โดเนีย โดย<wbr></wbr>นา<wbr></wbr>ซา<wbr></wbr>แถลง<wbr></wbr>ว่า<wbr></wbr>ยาน<wbr></wbr>โก<wbr></wbr>ลบอล<wbr></wbr>เซอร์เว<wbr></wbr>เยอร์<wbr></wbr>ประสบ<wbr></wbr>ปัญหา<wbr></wbr>ด้าน<wbr></wbr>เทคนิค<wbr></wbr>เกี่ยว<wbr></wbr>กับ<wbr></wbr>แผง<wbr></wbr>เซลล์<wbr></wbr>สุริยะ<wbr></wbr>ที่<wbr></wbr>ลำ<wbr></wbr>ตัว<wbr></wbr>ยาน<wbr></wbr>อัน<wbr></wbr>เป็น<wbr></wbr>แหล่ง<wbr></wbr>ผลิต<wbr></wbr>พลัง<wbr></wbr>งาน<wbr></wbr>เลี้ยง<wbr></wbr>ยาน<wbr></wbr>อวกาศ ทำ<wbr></wbr>ให้<wbr></wbr>ต้อง<wbr></wbr>ปรับ<wbr></wbr>เส้น<wbr></wbr>ทาง<wbr></wbr>การ<wbr></wbr>โคจร<wbr></wbr>ใหม่ และ<wbr></wbr>ใน<wbr></wbr>การ<wbr></wbr>ปรับ<wbr></wbr>เส้น<wbr></wbr>ทาง<wbr></wbr>โคจร<wbr></wbr>ใหม่<wbr></wbr>นี้<wbr></wbr>ทำ<wbr></wbr>ให้<wbr></wbr>สามารถ<wbr></wbr>โคจร<wbr></wbr>ผ่าน<wbr></wbr>แถบ<wbr></wbr>ไซโดเนีย<wbr></wbr>และ<wbr></wbr>ถ่าย<wbr></wbr>ภาพ<wbr></wbr>ใบ<wbr></wbr>หน้า<wbr></wbr>ลึก<wbr></wbr>ลับ<wbr></wbr>มา<wbr></wbr>อีก<wbr></wbr>ครั้ง<wbr></wbr>หลัง<wbr></wbr>จาก<wbr></wbr>ที่<wbr></wbr>ยาน<wbr></wbr>ไวกิง<wbr></wbr>ถ่าย<wbr></wbr>ภาพ<wbr></wbr>ไว้<wbr></wbr>เมื่อ 22 ปี<wbr></wbr>มา<wbr></wbr>แล้ว<wbr></wbr>และ<wbr></wbr>ก่อ<wbr></wbr>ให้<wbr></wbr>เกิด<wbr></wbr>ข้อ<wbr></wbr>ถก<wbr></wbr>เถียง<wbr></wbr>ตลอด<wbr></wbr>มา เพื่อ<wbr></wbr>จะ<wbr></wbr>ได้<wbr></wbr>พิสูจน์<wbr></wbr>ความ<wbr></wbr>จริง<wbr></wbr>กัน<wbr></wbr>เสีย<wbr></wbr>ที<br /><br /><br /><br /><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><br /><tr><td style="text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-J_YTDIy4N4A/TjLVNcBbPiI/AAAAAAAAA8o/8AWhuErQNOU/s1600/fom_p3_mgs_groundtrack.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="258" src="http://3.bp.blogspot.com/-J_YTDIy4N4A/TjLVNcBbPiI/AAAAAAAAA8o/8AWhuErQNOU/s320/fom_p3_mgs_groundtrack.jpg" width="320" /></a></td></tr><br /><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;"><br /><br /></span><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">ภาพวาดแสดงยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ขณะกำลังสำรวจทำแผนที่ดาวอังคาร</span></td></tr><br /></tbody></table><br /><br />วันที่ 5 เมษายน ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ก็ได้ถ่ายภาพใบหน้าลึกลับบนดาวอังคารและส่งกลับมายังโลก และในวันรุ่งขึ้น นาซาก็ได้เผยแพร่ภาพดังกล่าวไปทั่วโลกทางอินเตอร์เนตทันที โดยนาซาให้เหตุผลว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก จึงเปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถนำข้อมูลภาพถ่ายใหม่นี้ไปวิเคราะห์เพื่อไขปริศนาได้ตามอัธยาศัย</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMPCz6ehVifMkc4ugFMtmF_8Y_lw-S73KysDrz0ljNuNVzRJ2gHK4lmxsXXQzSsiX7-gHYUYP77kgNekZxs52ZmXhMwhBGf-uayHP0EJJ6bU4yjfRysk8Whv9Ppf5XcWcVJbckfvxk0o_T/s1600/fom_p3_marsface3_mgs_medium.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMPCz6ehVifMkc4ugFMtmF_8Y_lw-S73KysDrz0ljNuNVzRJ2gHK4lmxsXXQzSsiX7-gHYUYP77kgNekZxs52ZmXhMwhBGf-uayHP0EJJ6bU4yjfRysk8Whv9Ppf5XcWcVJbckfvxk0o_T/s320/fom_p3_marsface3_mgs_medium.jpg" width="253" /></a></div><div><br /><br /></div>ภาพถ่าย “ใบหน้า” ล่าสุดจากยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ที่นาซานำมาเผยแพร่และสรุปว่าแท้ที่จริงแล้ว<br /><br />เป็นเนินเขาที่ถูกลมและน้ำกัดเซาะประกอบกับแสงและเงาขณะถ่าย ภาพที่ทำให้หลอกตาว่าเป็นใบหน้า<br /><br /><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div><div>จากข้อมูลภาพถ่ายใหม่ที่ถ่ายโดยยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ซึ่งกล้องถ่ายภาพมีคุณภาพสูงกว่ากล้องประจำยานไวกิงที่ใช้ถ่ายภาพใบหน้าเมื่อครั้งก่อนถึง 10 เท่า ทำให้พบว่า ใบหน้า นั้นแท้ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ใบหน้า หากแต่เป็นเนินเขาที่มีรูปทรงคล้ายใบหน้าเท่านั้นเอง เมื่อประกอบเข้ากับทิศทางแสงที่เหมาะสมก็เลยทำให้เห็นเป็นรูปใบหน้า<br /><br /><br /><br /><b>ความจริงเริ่มกระจ่าง?</b></div><div><b><br /><br /></b></div><div>หลังจากที่นาซาเผยแพร่ภาพใบหน้าดังกล่าวพร้อมทั้งสรุปว่า    เป็นเพียงเนินเขาธรรมดาที่ถูกลมและน้ำกัดเซาะจนคล้ายใบหน้า แทนที่ปริศนาจะคลี่คลาย แต่กลับกลายเป็นว่าภาพ ใบหน้า อันเป็นหลักฐานชิ้นใหม่นี้ทำให้ผู้ติดตามเรื่องดาวอังคารแบ่งออกเป็น 3 ขั้วความคิด นั่นคือ ส่วนหนึ่งเชื่อถามถ้อยแถลงของนาซา อีกส่วนหนึ่งยังแบ่งรับแบ่งสู้พร้อมทั้งขอเวลาวิเคราะห์ภาพอย่างละเอียดเสียก่อน และส่วนที่เหลือนั้นคือส่วนที่ยังเชื่ออย่างเหนียวแน่นว่าใบหน้าลึกลับนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างของอารยธรรมนอกพิภพ และส่วนหลังนี่เองที่วิพากษ์วิจารณ์นาซาหนักกว่าเดิมว่าเป็นการวางแผนอย่างแยบยลและใช้ภาพซึ่งถูกตกแต่งมาหลอกลวงประชาชนเพื่อยุติเรื่องใบหน้าลึกลับ และตัวองค์การนาซาเองต่างหากที่มีความลึกลับดำมืดอยู่ภายในหน่วยงาน กลายเป็นว่านาซามีแต่เรื่องเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง</div><div><br /><br /></div><div><br /><br />ทางด้านสมาคมค้นคว้าชีวิตบนดาวเคราะห์อื่น (Society for Planetary SETI Research) ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการค้นคว้าหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่ นักค้นคว้าหลายคน อย่างเช่น สแตนลีย์ แมคแดเนียล สมาชิกคนหนึ่งของสมาคมซึ่งเป็นบรรณาธิการร่วมของหนังสือชื่อ กรณีใบหน้าลึกลับ (Case for the Face) ซึ่งเพิ่งวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่นานมานี้ ได้แสดงความเห็นว่าจากหลักฐานภาพถ่ายของยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ก็ยังไม่ได้ทำให้ตนตัดสินใจว่าเรื่องใบหน้าลึกลับบนดาวอังคารเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือเป็นสถาปัตยกรรม ควรมีการสำรวจอย่างละเอียดเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับได้หากผลออกมาว่าใบหน้านั้นเป็นเพียงเนินเขาตามธรรมชาติ<br /><br /><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div><b><span style="color: blue;"><br /><br /></span></b><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgaZV7DWxLOAB2bW8m5VLuog7Wy5vhT4MNe4Y1QLPFi3B0AkAZfHlyIFYvBxAZZotx3KcYuUGkdO29l9H043Bcdw9edsZvDs5gbYqY1pmRaH5bvX_Rd7emJ8dyaVqm14djrzeIPkQY1GIMQ/s1600/fom_p3_McDaniel.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgaZV7DWxLOAB2bW8m5VLuog7Wy5vhT4MNe4Y1QLPFi3B0AkAZfHlyIFYvBxAZZotx3KcYuUGkdO29l9H043Bcdw9edsZvDs5gbYqY1pmRaH5bvX_Rd7emJ8dyaVqm14djrzeIPkQY1GIMQ/s1600/fom_p3_McDaniel.jpg" /></a><a href="http://2.bp.blogspot.com/-p1A_aPGiE68/TjLVRKSfi7I/AAAAAAAAA80/YRz2I0edVzQ/s1600/fom_p3_CaseForFace.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-p1A_aPGiE68/TjLVRKSfi7I/AAAAAAAAA80/YRz2I0edVzQ/s1600/fom_p3_CaseForFace.jpg" style="cursor: move;" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div>สแตนลีย์ แมคแดเนียล ผู้ค้นคว้าเรื่องใบหน้าลึกลับและเป็นบรรณาธิการร่วมของหนังสือ“กรณีใบหน้าลึกลับ” ที่เขียนวิเคราะห์เกี่ยวกับใบหน้าลึกลับบนดาวอังคาร</div><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div><div>ทางด้านมาร์ก คาร์ลอตโต และจอห์น แบรนเดนเบิร์ก ซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมเช่นกัน ทั้งสองเคยใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์วิเคราะห์ภาพถ่ายใบหน้าบนดาวอังคารภาพเก่าที่ถ่ายจากยานไวกิงและเชื่อว่าใบหน้านั้นเป็นสถาปัตยกรรม ทั้งสองให้ความเห็นว่าภาพถ่ายใหม่นี้ยังบอกอะไรไม่ได้ ต้องใช้เวลาวิเคราะห์ภาพถ่ายอย่างละเอียดอีกระยะหนึ่ง<br /><br /><b><span style="color: blue;"><br /><br /></span></b><br /><br /><span class="Apple-style-span" style="color: blue; font-size: large;"><b><br /><br /></b></span><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-aifVql0VQ3I/TjLVbD7cpgI/AAAAAAAAA9U/cn9it1R93pI/s1600/fom_p3_john_Brandengurg.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-aifVql0VQ3I/TjLVbD7cpgI/AAAAAAAAA9U/cn9it1R93pI/s1600/fom_p3_john_Brandengurg.jpg" /></a><a href="http://1.bp.blogspot.com/-hilUe__1omk/TjLVeuKcTUI/AAAAAAAAA9Y/2N3AeOqN3BM/s1600/fom_p3_mark_carlotto.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-hilUe__1omk/TjLVeuKcTUI/AAAAAAAAA9Y/2N3AeOqN3BM/s1600/fom_p3_mark_carlotto.jpg" style="cursor: move;" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div>ดร. มาร์ก คาร์ลอตโต มาร์ก คาร์ลอตโต นักวิจัยหนุ่มผู้สนใจค้นคว้าเรื่องความลึกลับบนดาวอังคาร คาร์ลอดโตได้ใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวอังคารและมีความเห็นว่าเรื่องใบหน้าลึกลับน่าจะเป็นความจริง รวมทั้งเหตุที่ภาพถ่ายจากยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ดูแล้วไม่คล้ายใบหน้าเป็นเพราะทิศทางของแสงและดร. จอห์น แบรนเดนเบิร์ก</div><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div><div><br /><br /><br /><br />อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์หลายคนต่างก็ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับภาพถ่ายชุดใหม่นี้หลายประการ เช่น<br /><br /><br /><br />ประการแรก ภาพถ่ายใหม่นี้ถ่ายในตอนเช้าของเวลาบนดาวอังคาร ส่วนภาพถ่ายเดิมนั้นถ่ายเมื่อเวลาบ่าย ซึ่งทิศทางแสงผิดกัน เมื่อนาซาบอกว่าทิศทางแสงช่วยหลอกตาให้เห็นเนินเขาเป็นใบหน้าได้ ในทางตรงกันข้าม ทิศทางแสงก็อาจหลอกตาให้เห็นใบหน้าเป็นเนินเขาได้เช่นกัน<br /><br /><br /><br />ประการที่สอง ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ถ่ายภาพนี้จากมุมเอียง ไม่ได้โคจรไปถ่ายเหนือใบหน้าโดยตรง จึงเป็นไปได้ว่ามุมกล้องและทิศทางแสงอาจหลอกตาให้เห็นภาพใบหน้าเป็นอย่างอื่นไปได้<br /><br /><br /><br />ประการที่สาม ในช่วงที่ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ถ่ายภาพใบหน้าเป็นเวลาที่แถบไซโดเนียมีเมฆครึ้มและมีทัศนวิสัยที่ไม่ดีนัก ทำให้ภาพถ่ายที่ได้ขาดรายละเอียดไปมาก<br /><br /><br /><br /><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-Q9XSIE4qDMI/TjLVTPPsHNI/AAAAAAAAA9A/zQEaN2Hg8Ec/s1600/fom_p3_face_globalsurveyor_small.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="252" src="http://3.bp.blogspot.com/-Q9XSIE4qDMI/TjLVTPPsHNI/AAAAAAAAA9A/zQEaN2Hg8Ec/s400/fom_p3_face_globalsurveyor_small.jpg" width="400" /></a></div><br /><br />ภาพใบหน้าที่ถ่ายจากยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์เมื่อวันที่ 5 เมษายน ภาพซ้ายเป็นภาพขาวดำที่ยานส่งมา ดูไปแล้วจะเห็นว่าไม่คล้ายใบหน้าแต่เมื่อทดลองกลับภาพให้ขาวเป็นดำ เหมือนดูจากฟิล์มเนกาตีฟ (ภาพขวา) ปรากฏว่าภาพนี้กลับดูคล้ายใบหน้า มีส่วนที่เป็นตา จมูก และปาก (ภาพเล็กตรงกลาง) นี่แสดงให้เห็นว่าทิศทางของแสงมีส่วนช่วยให้วัตถุประหลาดสิ่งนี้ดูทั้งคล้ายและไม่คล้ายใบหน้า ดังนั้นผู้ที่มีแนวโน้มเชื่อไปทางอารยธรรมนอกพิภพจึงยังไม่ปักใจเชื่อภาพและคำแถลงของนาซานัก (คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขยาย)<br /><br /><span class="Apple-style-span" style="color: blue; font-size: large;"><b><br /><br /></b></span><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-pjnAc9M5jbU/TjLVXIk3_rI/AAAAAAAAA9M/GnB4fM02c0I/s1600/fom_p3_ho_face7_b.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="181" src="http://2.bp.blogspot.com/-pjnAc9M5jbU/TjLVXIk3_rI/AAAAAAAAA9M/GnB4fM02c0I/s400/fom_p3_ho_face7_b.jpg" width="400" /></a></div><br /><br />เปรียบเทียบภาพใบหน้า (ซ้าย) ภาพถ่ายจากยานไวกิงเมื่อกว่า 20 ปีมาแล้ว (กลาง) ภาพที่ถ่าย<br /><br />จากยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ และ (ขวา) ภาพกลางที่ถูกนำมากลับเป็นภาพเนกาตีฟ </div><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div>ประการที่สี่ วัตถุทรงพีระมิดในบริเวณใกล้เคียง เช่น ป้อมปราการ (The Fortress) พีระมิดดีและเอ็ม (D&M Pyramid) และเมือง (The City) ฯลฯ ยังไม่มีข้อยุติว่าเป็นวัตถุตามธรรมชาติหรือเป็นสถาปัตยกรรม หากสิ่งต่างๆเหล่านี้พิสูจน์ได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมจริง ใบหน้าลึกลับก็มีโอกาสที่จะเป็นสถาปัตยกรรมได้ด้วย<br /><br /><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/--fgwoHCmLis/TjLVR2Jr9VI/AAAAAAAAA84/ujbo43_Q4a0/s1600/fom_p3_compare1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="193" src="http://3.bp.blogspot.com/--fgwoHCmLis/TjLVR2Jr9VI/AAAAAAAAA84/ujbo43_Q4a0/s400/fom_p3_compare1.jpg" width="400" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-lMHrEXc3yBA/TjLVSnsxALI/AAAAAAAAA88/-r2-UA9XvPI/s1600/fom_p3_compare2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="196" src="http://1.bp.blogspot.com/-lMHrEXc3yBA/TjLVSnsxALI/AAAAAAAAA88/-r2-UA9XvPI/s400/fom_p3_compare2.jpg" width="400" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div><div>คาร์ลอตโตได้นำภาพถ่ายใบหน้าที่ถ่ายได้ใหม่มาเปรียบเทียบกับภาพรูปปั้นของโจฮันน์ เซบาสเตียนบาค นักดนตรีเอกในสมัยปลายศตวรรษที่ 17 โดยคำนวณทิศทางแสงและเงา และตำแหน่ง ให้เหมือนกับเมื่อยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ถ่ายภาพใบหน้าไว้ และพบว่าภาพซีกขวาของใบหน้าลึกลับ (ใบหน้าด้านขวามือของผู้อ่าน) ขาดราย-ละเอียดของแสงเงาอย่างที่ควรจะเป็น (ลองเปรียบเทียบกับภาพซีกขวาของรูปปั้น)คาร์ลอตโตสันนิษฐานว่าเป็นเพราะทัศนวิสัยของบรรยากาศในยามเช้าของฤดูหนาวบนดาวอังคาร และนี่เองที่ทำให้ภาพที่ได้มาใหม่นี้ดูไม่คล้ายใบหน้า</div><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-es5iTEwSaCQ/TjLVWZm5y1I/AAAAAAAAA9I/oGM-sUvNvE8/s1600/fom_p3_facesym.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-es5iTEwSaCQ/TjLVWZm5y1I/AAAAAAAAA9I/oGM-sUvNvE8/s1600/fom_p3_facesym.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div>คาร์ลอตโตทดลองเติมแสงและเงาที่ขาดหายใบในใบหน้าซีกขวาโดยให้มีสมมาตรกับใบหน้าซีกซ้ายก็พบว่าดูไปก็คล้ายใบหน้ามาก<br /><br /><div><br /><br /></div><div><b>ปริศนาที่ยังคงเป็นปริศนา</b><b><span style="color: blue;"><br /><br /></span></b><br /><br />ทางด้านผู้ที่เชื่ออย่างเหนียวแน่นว่าใบหน้าลึกลับนี้เป็นผลงานของอารยธรรมนอกพิภพก็กล่าวหานาซาว่านาซาแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าต้องการยุติเรื่องใบหน้าลึกลับบนดาวอังคารเพื่อปกปิดความจริงเกี่ยวกับเรื่องอารยธรรมนอกพิภพ โดยสังเกตได้จากการที่นาซารีบร้อนเผยแพร่ภาพและสรุปเรื่องอย่างรวดเร็วภายในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ได้รับสัญญาณภาพจากยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์โดยยังไม่มีการวิเคราะห์ภาพ นอกจากนี้ยังกล่าวหานาซาอีกด้วยว่าเมื่อครั้งที่ยานออปเซอร์เวอร์ที่สำรวจดาวอังคารเมื่อปี ค.ศ. 1993 แล้วไม่ได้ถ่ายภาพใบหน้าส่งกลับมายังโลกโดยอ้างว่ายานสูญเสียการควบคุมนั้น ที่จริงแล้วเป็นข้ออ้างของนาซาที่จะไม่ถ่ายภาพใบหน้ามามากกว่า</div><div><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-W_pc1gM30C4/TjLVaLv9hoI/AAAAAAAAA9Q/6fieuB8TlfI/s1600/fom_p3_jesus_mars_anim.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-W_pc1gM30C4/TjLVaLv9hoI/AAAAAAAAA9Q/6fieuB8TlfI/s1600/fom_p3_jesus_mars_anim.gif" /></a></div><div><br /><br /><br /><br />นักค้นคว้าเรื่องใบหน้าลึกลับบางรายถึงกับนำเรื่องฝบหน้าลึกลับบนดาวอังคารไปเกี่ยวโยง<br /><br />กับเรื่องปริศนาผ้าห่อศพแห่งเมืองตูริน (เรื่องผ้าห่อพระศพนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับผ้าห่อศพที่<br /><br />ถูกค้นพบที่เมืองตูรินเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วบนผ้ามีรอยประทับรูปเค้าหน้า</div><div>และร่างกายมนุษย์อยู่ ผ้าห่อศพผืนนี้ถูกเชื่อกันว่าเป็นผ้าที่ใช้ห่อศพพระเยซูหลังจากที่ถูกตรึงบน<br /><br />ไม้กางเขนแล้ว และรอยประทับของใบหน้านี้ก็คือใบหน้าของพระเยซูนั่นเอง </div><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div><div>แต่ต่อมานักวิทยาศาสตร์พิสูจน์อายุของผ้าแล้วลงความเห็นว่าอายุของผ้าไม่สอดคล้องกับยุค</div><div>สมัยของพระเยซู ดังนั้นผ้าห่อศพนี้จึงไม่ใช่ผ้าห่อศพของพระเยซู แต่เรื่องดังกล่าวก็ยัง<br /><br />มีผู้ที่เชื่ออยู่จนทักวันนี้ </div><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div>ดังนั้นแทนที่ปริศนาใบหน้าลึกลับบนดาวอังคารจะกระจ่าง ก็กลับกลายเป็นว่าใบหน้านั้นยิ่งลึกลับกว่าเก่า แต่อย่างไรก็ตาม ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ถูกกำหนดให้โคจรผ่านแถบไซโดเนียและถ่ายภาพใบหน้าอีก 2 ครั้งในเดือนเมษายนนี้ คงต้องรอดูกันต่อไปว่าภาพถ่ายในชุดหลังจะช่วยคลี่คลายปริศนาที่ดำมืดมากว่า 20 ปีได้หรือไม่<br /><br /><div><br /><br /></div><div><br /><br /><span style="color: #0b5394;"> ที่มา : </span>http://www.yupparaj.ac.th<br /><br />____________________  <br /><br /><span style="color: #0b5394;"> เครดิต : </span>   <br /><br />________________________________ <br /><br /><div><script src="http://fastwebcounter.com/secure.php?s=http://allmysteryworld.blogspot.com/2011/07/3.html"><br /></script>  Pageviews </div></div>

ไขปริศนาดาวอังคาร ตอนที่ 3

เมื่อวันที่ 6 เมษายน (1998) องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือที่รู้จักกันที่ในชื่อขององค์การนาซา ได้เผยแพร่ภาพถ่ายล่าส...

อ่านเพิ่มเติม »

ไขปริศนาดาวอังคาร ตอนที่ 2

<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-rsxg2xJSmqI/TjLdtchlQ7I/AAAAAAAAA98/J0hvz3hzxdc/s1600/fom_p2_persp4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="268" src="http://3.bp.blogspot.com/-rsxg2xJSmqI/TjLdtchlQ7I/AAAAAAAAA98/J0hvz3hzxdc/s320/fom_p2_persp4.jpg" width="320" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-Rwnh3iz64dY/TjLdtVNxSwI/AAAAAAAAA-A/r36XwQMRJAU/s1600/fom_p2_persp1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="261" src="http://4.bp.blogspot.com/-Rwnh3iz64dY/TjLdtVNxSwI/AAAAAAAAA-A/r36XwQMRJAU/s320/fom_p2_persp1.jpg" width="320" /></a></div><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">ภาพ 3 มิติที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์จากการวิเคราะห์ของเดเมอร์ โอเลจาร์</div><div><br /><br />ในปี ค.ศ. 1988 เออรอล ทอรัน นักวิจัยชาวอเมริกันได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายพีระมิดดีและเอ็ม ทอรันมีความเห็นว่าโครงสร้างที่เห็นนั้นน่าจะเกิดจากการก่อสร้าง มิใช่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ จากนั้น ไรแลนด์ บาคแมนก็ทำการวิเคราะห์ซ้ำเช่นกันและมีความเห็นเช่นเดียวกับทอรัน แต่รายละเอียดนั้นแตกต่างกัน<br /><br /><a name='more'></a><br /><br /><br /><br />กล่าวคือ ทอรันวิเคราะห์พบว่าโครงสร้างของพีระมิดนี้สัดส่วนระหว่างด้านต่างๆมีความสัมพันธ์กับค่าคงที่ไพ (Pi มีค่าประมาณ 2.14) และค่าลอการิทึมฐานธรรมชาติ (natural logarithm เขียนแทนด้วย e มีค่า 2.71828) แต่บาคแมนกลับพบว่าสัดส่วนระหว่างด้านต่างๆนั้นมีความสัมพันธ์กับค่ากรณฑ์ที่ 2 ของ 2 ซึ่งมีค่าประมาณ 1.414</div><div><br /><br /></div><div><div style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhz7rs41c4Rjq4dQ_5cgT1XCjst0UQPyZ9FOp9iKnzmjYwYE38qQ7Xx9NCrFhlAkyEG5XIJE46EvpX11w66pVUvAYDf7VhXln7JGGJawFQOtRvyxHtQCl_A7wKCZoZkIPPtb96IBM7DW3f1/s1600/fom_p2_nai54.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhz7rs41c4Rjq4dQ_5cgT1XCjst0UQPyZ9FOp9iKnzmjYwYE38qQ7Xx9NCrFhlAkyEG5XIJE46EvpX11w66pVUvAYDf7VhXln7JGGJawFQOtRvyxHtQCl_A7wKCZoZkIPPtb96IBM7DW3f1/s320/fom_p2_nai54.jpg" width="320" /></a></div></div><div style="text-align: center;"><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-wy9AwqPCddc/TjLdreRcEaI/AAAAAAAAA9s/Stc7T95_HQo/s1600/fom_p2_nai5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://1.bp.blogspot.com/-wy9AwqPCddc/TjLdreRcEaI/AAAAAAAAA9s/Stc7T95_HQo/s320/fom_p2_nai5.jpg" width="298" /></a></div><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-TtiKoi7Q8Lk/TjLdrhL4jYI/AAAAAAAAA9w/vzdrKopxqYw/s1600/fom_p2_nai7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://1.bp.blogspot.com/-TtiKoi7Q8Lk/TjLdrhL4jYI/AAAAAAAAA9w/vzdrKopxqYw/s320/fom_p2_nai7.jpg" width="292" /></a></div><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-ZFxzf96hA3k/TjLdseSRt8I/AAAAAAAAA90/aF0yekz2CiE/s1600/fom_p2_nai8.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://2.bp.blogspot.com/-ZFxzf96hA3k/TjLdseSRt8I/AAAAAAAAA90/aF0yekz2CiE/s320/fom_p2_nai8.jpg" width="293" /></a></div><br /><br />พีระมิดดีและเอ็มมีสัณฐานทรงห้าเหลี่ยมและมีการวางตัวในแนวเหนือใต้อย่างเที่ยงตรงน่าประหลาด<br /><br /><br /><br /><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div><div><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-d3O3xDX-WKo/TjLduFisWlI/AAAAAAAAA-E/1iZVxL4JwOQ/s1600/fom_p2_relative.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://1.bp.blogspot.com/-d3O3xDX-WKo/TjLduFisWlI/AAAAAAAAA-E/1iZVxL4JwOQ/s320/fom_p2_relative.jpg" width="262" /></a></div><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhozzTBC63rkm0IZ_E4K_gCtLG7O27HQWJFQTRkFp8TmJAC5Cpc-rBmX_WWWSvGacmNEj5nYVDqPI1UKQlZoUanhnTCiysdgHKq7Es9WrLKSz5UYTvGXBQY5IYlQlH5OXQLL9LLhe27PZnq/s1600/fom_p2_sqrt4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhozzTBC63rkm0IZ_E4K_gCtLG7O27HQWJFQTRkFp8TmJAC5Cpc-rBmX_WWWSvGacmNEj5nYVDqPI1UKQlZoUanhnTCiysdgHKq7Es9WrLKSz5UYTvGXBQY5IYlQlH5OXQLL9LLhe27PZnq/s1600/fom_p2_sqrt4.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div>บาคแมนพบว่าสัดส่วนระหว่างด้านต่างๆของพีระมิดมีความสัมพันธ์กับค่ากรณฑ์ที่ 2 ของ 2 ซึ่งมีค่าประมาณ 1.414<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />จวบจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาเกือบ 20 ปีที่ภาพถ่ายประหลาดแถบไซโดเนียของดาวอังคารถูกนำมาวิเคราะห์ด้วยเทคนิคต่างๆเพื่อหาข้อสรุปว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นผลงานของธรรมชาติหรือเป็นสถาปัตยกรรมของสิ่งมีชีวิตนอกพิภพ ซึ่งน้ำหนักของการเป็นสถาปัตยกรรมนอกโลกก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าแนวคิดนั้นเป็นความจริง นั่นก็ย่อมแสดงว่ามีสิ่งมีชีวิตที่เราไม่รู้จักนี้ต้องมีอารยธรรมอันสูงส่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจสร้างสถาปัตยกรรมที่ใหญ่โตขนาดนั้นได้ รวมทั้งบางคนยังเชื่อว่าพีระมิดบนดาวอังคารมีส่วนสัมพันธ์กับพีระมิดในประเทศอียิปต์อีกด้วย เพราะไม่น่าเป็นไปได้ที่สิ่งก่อสร้างของ 2 โลกจะเหมือนกันได้โดยบังเอิญ และมนุษย์ก็สงสัยกันมานานแล้วว่าชาวอียิปต์โบราณสร้างสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไรทั้งๆที่ไม่น่าจะมีวิทยาการเพียงพอ คำตอบก็อาจจะอยู่ที่วิทยาการของชาวโลกอื่นนั่นเอง<br /><br /><br /><br /><br /><br /><div style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjWvArGLY49Y2wMaox1_lmuTaQtO-IpbRQuzKwoHWVOj6jPrVOiiPnAugHM_7rH42e6grqtCNbkB-2kvHPl0t1GMMKeFt7FetMkDG6J5YHkTwjmW3uOoRsF44Wk8GbzRZUtxV-zCCVizRQK/s1600/fom_p2_compare1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="96" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjWvArGLY49Y2wMaox1_lmuTaQtO-IpbRQuzKwoHWVOj6jPrVOiiPnAugHM_7rH42e6grqtCNbkB-2kvHPl0t1GMMKeFt7FetMkDG6J5YHkTwjmW3uOoRsF44Wk8GbzRZUtxV-zCCVizRQK/s400/fom_p2_compare1.jpg" width="400" /></a></div><br /><br />เปรียบเทียบภาพใบหน้ากับโครงสร้างทรงรีในเขตเมืองโดยไม่มีการปรับขนาดและทิศทางของภาพแต่อย่างใด จะเห็นว่าโครงสร้างทั้ง 2 แห่งนี้มีความคล้ายคลึงกันมาก ไม่ว่าจะเป็นขนาด ทิศทาง และรูปทรง จนน่าสงสัยว่าทั้ง 2 โครงสร้างนี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่</div><div><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-gXbUHGsdXcw/TjLdqf-IPjI/AAAAAAAAA9o/yO3kJabkh5Y/s1600/fom_p2_compare2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="96" src="http://4.bp.blogspot.com/-gXbUHGsdXcw/TjLdqf-IPjI/AAAAAAAAA9o/yO3kJabkh5Y/s400/fom_p2_compare2.jpg" width="400" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div><div>เปรียบเทียบโครงสร้างของพีระมิดกับป้อมปราการ โครงสร้างคู่นี้ก็มีความคล้ายคลึงกันทั้งขนาด ทิศทาง และรูปทรงเช่นเดียวกับของคู่ใบหน้าและโครงสร้างทรงรี</div><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div><div><br /><br /><br /><br />แต่จากข้อมูลในปัจจุบันก็เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าสภาพแวดล้อมบนดาวอังคารไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้<br /><br /><br /><br /><b>ถ้าเช่นนั้นอารยธรรมเหล่านี้มาจากที่ใด?</b><br /><br /><br /><br />นักวิเคราะห์ได้ตั้งสมมติฐานไว้หลายประการ แต่ที่น่าสนใจมีอยู่ 2 สมมติฐาน คือ<br /><br /><br /><br />สมมติฐานแรก มีอารยธรรมอันสูงส่งเจริญรุ่งเรืองอยู่บนดาวอังคารมานานหลายพันล้านปีแล้ว แต่ต่อมาสภาพแวดล้อมบนดาวอังคารเปลี่ยนแปลงไปจนชีวิตเหล่านั้นไม่อาจปรับตัวได้จึงสูญพันธุ์ไปจนหมด<br /><br /><br /><br />สมมติฐานที่สอง มีอารยธรรมอื่นที่มาจากนอกระบบสุริยะมาตั้งรกรากอยู่บนดาวอังคารเมื่อนานมาแล้วในยุคที่ดาวอังคารมีสภาพแวดล้อมเหมาะที่จะอาศัยอยู่ได้ ต่อมาเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จึงอพยพไปตั้งถิ่นฐานบนดาวดวงอื่นแทน เหลือทิ้งไว้แต่ซากแห่งความรุ่งเรืองในอดีต</div><div><br /><br /><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-Qu3d6V0hB6g/TjLdpg2N5AI/AAAAAAAAA9g/Xi0btgV6Sa4/s1600/fom_p2_mars5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="227" src="http://3.bp.blogspot.com/-Qu3d6V0hB6g/TjLdpg2N5AI/AAAAAAAAA9g/Xi0btgV6Sa4/s320/fom_p2_mars5.jpg" width="320" /></a></div><br /><br />ภาพวาดจินตนาการถึงสภาพของดาวอังคารในยุคที่มีผู้ที่เจริญด้วยวิทยาการอาศัยอยู่โดยมีพีระมิดเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม</div><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div><div>นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากที่มีการวิเคราะห์ภาพถ่ายแถบไซโดเนียและตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งองค์การนาซาเองก็กระวีกระวาดแถลงผลการค้นพบจุลินทรีย์ดาวอังคารจากก้อนอุกกาบาตดาวอังคารที่พบในโลก และยังมีโครงการสำรวจสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารในโอกาสต่อไปอีกโดยให้ยานพาทไฟน์เดอร์ไปนำร่องก่อน แต่กับเรื่องสถาปัตยกรรมอันใหญ่โตมโหฬารหลายแห่งบนดาวอังคารนี้องค์การนาซากลับวางเฉยจนผิดสังเกต ยิ่งไปกว่านั้น โครงการสำรวจดาวอังคารของยานมารส์ออปเซอร์เวอร์ (Mars Observer) ที่ถูกส่งไปโคจรรอบดาวอังคารเมื่อปี ค.ศ. 1993 ก็ไม่มีการถ่ายภาพใบหน้าและพีระมิดเหล่านี้มาเลยทั้งๆที่พื้นที่แถบไซโดเนียอยู่ในแผนการถ่ายภาพ แต่นาซากลับอ้างเหตุขัดข้องทางเทคนิคว่าในขณะยานโคจรเพื่อจะถ่ายภาพในแถบนั้นเกิดเสียการควบคุมพอดี จึงไม่ได้ถ่ายภาพไว้ รวมทั้งโครงการมารส์โกลบอลเซอร์เวเยอร์ (Mars Globol Servayor) และโครงการพาทไฟน์เดอร์ (Pathfinder) ก็ไม่มีแผนการที่จะถ่ายภาพแถบไซโดเนียเช่นกัน ยิ่งสร้างความสงสัยแก่ผู้สนใจติดตามข่าวการสำรวจดาวอังคาร ว่านาซากำลังเก็บงำความลับอะไรไว้เพราะแสดงอาการไม่สนใจจนผิดปกติ จนถึงกระทั่งมีการล่ารายชื่อเพื่อแสดงประชามติของมหาชนเพื่อกดดันให้นาซาบรรจุแผนการถ่ายภาพใบหน้า พีระมิด และบริเวณใกล้เคียงให้ได้</div><div><br /><br /><br /><br /><span style="color: #0b5394;"> ที่มา : </span>http://www.yupparaj.ac.th<br /><br />____________________  <br /><br /><span style="color: #0b5394;"> เครดิต : </span>   <br /><br />________________________________ <br /><br /><div><script src="http://fastwebcounter.com/secure.php?s=http://allmysteryworld.blogspot.com/2011/07/2.html"><br /></script>  Pageviews </div></div>

ไขปริศนาดาวอังคาร ตอนที่ 2

ภาพ 3 มิติที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์จากการวิเคราะห์ของเดเมอร์ โอเลจาร์ ในปี ค.ศ. 1988 เออรอล ทอรัน นักวิจัยชาวอเมริกันได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลภา...

อ่านเพิ่มเติม »

ไขปริศนาดาวอังคาร ตอนที่ 1

<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div><div style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMPCz6ehVifMkc4ugFMtmF_8Y_lw-S73KysDrz0ljNuNVzRJ2gHK4lmxsXXQzSsiX7-gHYUYP77kgNekZxs52ZmXhMwhBGf-uayHP0EJJ6bU4yjfRysk8Whv9Ppf5XcWcVJbckfvxk0o_T/s1600/fom_p3_marsface3_mgs_medium.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMPCz6ehVifMkc4ugFMtmF_8Y_lw-S73KysDrz0ljNuNVzRJ2gHK4lmxsXXQzSsiX7-gHYUYP77kgNekZxs52ZmXhMwhBGf-uayHP0EJJ6bU4yjfRysk8Whv9Ppf5XcWcVJbckfvxk0o_T/s320/fom_p3_marsface3_mgs_medium.jpg" style="cursor: move;" width="253" /></a></div><br /><br />ในปี ค.ศ. 1976 เมื่อยานไวกิงได้ทำการโคจรสำรวจและถ่ายภาพดาวอังคารส่งกลับมายังโลกนั้น องค์การนาซาได้รับข้อมูลภาพกว่า 60,000 ภาพ และในภาพเหล่านั้นมีอยู่ภาพหนึ่งซึ่งเป็นภาพของดาวอังคารในแถบที่เรียกว่าไซโดเนีย (Cydonia) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของดาวอังคาร<br /><br /><div><a name='more'></a></div><div>ถ่ายจากระยะความสูงประมาณ 1,500 กม. ถ้าเทียบกับตำแหน่งที่ยานพาทไฟน์เดอร์ลงจอดก็จะอยู่เหนือขึ้นไปอีกนับพันกิโลเมตร ภาพนั้นเป็นภาพพื้นผิวดาวอังคารที่เต็มไปด้วยภูเขาและมีวัตถุประหลาดขนาดใหญ่ ดูแล้วคล้ายใบหน้าคน นักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซาได้เผยแพร่ภาพนี้แก่สาธารณชนเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องตลกที่บนดาวมีภูเขาที่สัณฐานละม้ายคล้ายใบหน้าคน แล้วก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เพราะภาพที่ส่งมาจากยานไวกิงมีจำนวนมากเหลือเกิน</div><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><br /><tr><td style="text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-VGV1zN4e7XA/TjLhfhkyRfI/AAAAAAAAA-4/BG_4-omnRBM/s1600/fom_p1_viking.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="203" src="http://4.bp.blogspot.com/-VGV1zN4e7XA/TjLhfhkyRfI/AAAAAAAAA-4/BG_4-omnRBM/s320/fom_p1_viking.jpg" width="320" /></a></td></tr><br /><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">ภาพการปล่อยจรวดซึ่งบรรจุยานไวกิง 2 เมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1975</span></td></tr><br /></tbody></table><div><br /><br />แต่ปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์บางส่วนรวมทั้งผู้ที่สนใจค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกพิภพกลับไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องตลก ตรงกันข้าม กลับมีความเห็นว่าภาพใบหน้าลึกลับบนดาวอังคารนั้นไม่น่าจะเกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่เป็นผลงานทางสถาปัตยกรรมมากกว่า ซึ่งนั่นก็หมายความว่าบนดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิตที่มีวิทยาการสูงอาศัยอยู่!</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjWyS5gXlHhIQJfrqPGj_6SsP62RMjEB4-JBU43J1xiZ61DdLVFl13U0nK-o8CqGiSys8aTsQYVXan0KQJHJsHJ2OhYBgPDf8Xa_6smkCnyAzc9harkFBSpto3XK7kLJh92AA1BJwcLLxOO/s1600/fom_p1_smileface.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjWyS5gXlHhIQJfrqPGj_6SsP62RMjEB4-JBU43J1xiZ61DdLVFl13U0nK-o8CqGiSys8aTsQYVXan0KQJHJsHJ2OhYBgPDf8Xa_6smkCnyAzc9harkFBSpto3XK7kLJh92AA1BJwcLLxOO/s320/fom_p1_smileface.jpg" width="320" /></a></div><div><br /><br />ภาพใบหน้ายิ้มบนดาวอังคาร ภาพนี้เกิดจากปล่องภูเขาไฟ ที่บังเอิญดูคล้ายหน้าคนยิ้ม<br /><br />นาซาเชื่อว่าภาพใบหน้าลึกลับก็คงเป็นเรื่องตลกทำนองเดียวกัน </div><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div>ในปี ค.ศ. 1979 วิศวกร 2 นายแห่งศูนย์อวกาศกอดดาร์ด สหรัฐอเมริกา คือ ดีเพียโตร (DiPietro) และมอลเลนนาร์ (Molenaar) ได้มาพบภาพดังกล่าวนี้อีกครั้งโดยบังเอิญ รวมทั้งยังพบภาพใบหน้าลึกลับที่ถ่ายด้วยทิศทางแสงอีกแบบหนึ่งที่ทำให้เห็นรายละเอียดได้มากขึ้น ทั้งสองจึงนำข้อมูลภาพถ่ายทั้ง 2 ภาพนี้ไปวิเคราะห์ ผลการวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์เห็นได้อย่างชัดเจนว่าวัตถุลึกลับนั้นเป็นรูปทรงใบหน้า รวมทั้งยังได้พบโครงสร้างที่มีลักษณะคล้ายพีระมิดเกาะกลุ่มกันอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของใบหน้าโดยอยู่ห่างออกไปราว 20 กิโลเมตรอีกด้วย ซึ่งต่อมาได้มีการตั้งชื่อสิ่งทีมีโครงสร้างคล้ายเป็นสถาปัตยกรรมนี้ กล่าวคือ ส่วนที่เป็นกลุ่มพีระมิดจะเรียกว่าเป็นเมือง (The City) ใกล้ๆกับเมืองเป็นโครงสร้างคล้ายพีระมิดห้าเหลี่ยมซึ่งเรียกว่า ป้อมปราการ (The Fortress) นอกจากนี้ยังมีพีระมิดที่อยู่ห่างออกไปอีก เรียกว่า พีระมิดดีและเอ็ม (D&M Pyramid) ซึ่งชื่อดีและเอ็มนี้มาจากชื่อของดีเพียโตรและมอลเลนนาร์นั่นเอง<br /><br /><div><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-zI8mQvOz0To/TjLheghnekI/AAAAAAAAA-0/b6xZ486mDOI/s1600/fom_p1_nai300.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-zI8mQvOz0To/TjLheghnekI/AAAAAAAAA-0/b6xZ486mDOI/s1600/fom_p1_nai300.jpg" /></a><a href="http://2.bp.blogspot.com/-Jt4I5hM4qZM/TjLheeh4MPI/AAAAAAAAA-w/FiJbl8Dxnd8/s1600/fom_p1_nai301.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-Jt4I5hM4qZM/TjLheeh4MPI/AAAAAAAAA-w/FiJbl8Dxnd8/s1600/fom_p1_nai301.jpg" style="cursor: move;" /></a></div><br /><br /><div>ภาพใบหน้าลึกลับบนดาวอังคาร 2 ภาพที่วิศวกรแห่งศูนย์อวกาศกอดดาร์ดค้นพบและนำมาศึกษา 2 ภาพนี้ถ่ายคนละเวลากันจึงเห็นทิศทางแสงแตกต่างกันและทำให้เห็นรายละเอียดได้ไม่เท่ากัน</div><div><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_UjyiAWNw5K4O9OjNlCW1ubmSLFfa5Ng48mA7vEPUhf4C99TA7nFrbXp0YkFKrH6-1HYwo8SbLEf6rkPFzoY_jAvuH-QS1cUV3p7vAyP-CmXPBr7FkuMfW01x_OG6Yofwxz1WRKgxjfMT/s1600/fom_p1_035a72small.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_UjyiAWNw5K4O9OjNlCW1ubmSLFfa5Ng48mA7vEPUhf4C99TA7nFrbXp0YkFKrH6-1HYwo8SbLEf6rkPFzoY_jAvuH-QS1cUV3p7vAyP-CmXPBr7FkuMfW01x_OG6Yofwxz1WRKgxjfMT/s400/fom_p1_035a72small.jpg" width="368" /></a></div><div><br /><br /></div><div>ภาพพื้นที่แถบไซโดเนีย จะเห็นวัตถุรูปทรงคล้ายสิ่งก่อสร้างหลายอย่างซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์บางส่วนเชื่อว่าน่าจะเคยมีสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมและวิทยาการอันสูงส่งอาศัยอยู่ </div><div><br /><br /></div><div>ต่อมาในปี ค.ศ. 1986 คาร์ลอตโต นักวิจัยชาวอเมริกันได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายจากยานไวกิงซ้ำอีก แต่ใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์ใหม่ๆในการวิเคราะห์ซึ่งต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วย คาร์ลอตโตใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบแฟรกทัล (fractal) และพบว่า ใบหน้า ที่เห็นนั้นมีความกว้างถึง 2 กม. ยาว 2.5 กม. และมีความสูงจากพื้นผิวดาวอังคารถึง 400 เมตร จากการวิเคราะห์ คาร์ลอตโตได้พบร่องรอยของ ฟัน ในปากของใบหน้าลึกลับด้วย รวมทั้งจากการวิเคราะห์โครงสร้างของใบหน้าพบว่าใบหน้าซีกซ้ายและขวาสมมาตรกัน นอกจากนี้ ยังพบร่องรอยซึ่งน่าจะเป็นส่วนที่เป็น ตาดำ ของใบหน้า นั่นแสดงว่าใบหน้านั้นไม่ใช่เกิดจากภูเขาที่โดนลมพายุพัดจนสึกกร่อนกอปรกับทิศทางแสงในการถ่ายภาพทำให้เห็นเป็นรูปร่างคล้ายใบหน้ามนุษย์อย่างที่นาซาเชื่อเป็นแน่ แต่เป็นสิ่งก่อสร้างของอารยธรรมบนโลกอื่น<br /><br /><br /><br /><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-ul8ONyRDMKQ/TjLhZE5qBuI/AAAAAAAAA-M/KC8oeDTci5o/s1600/fom_p1_mars1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="250" src="http://2.bp.blogspot.com/-ul8ONyRDMKQ/TjLhZE5qBuI/AAAAAAAAA-M/KC8oeDTci5o/s400/fom_p1_mars1.jpg" width="400" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-lB_XYljIjAU/TjLha8VgfnI/AAAAAAAAA-Y/D7mMU914xhM/s1600/fom_p1_nai32.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-lB_XYljIjAU/TjLha8VgfnI/AAAAAAAAA-Y/D7mMU914xhM/s1600/fom_p1_nai32.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both;">ภาพใบหน้าที่เห็นร่องรอยของตาดำ ฟัน รวมทั้งใบหน้ายังมีสมมาตรระหว่างซีกซ้ายกับซีกขว<span class="Apple-style-span" style="-webkit-border-horizontal-spacing: 2px; -webkit-border-vertical-spacing: 2px; color: #804040;">า</span></div><div class="separator" style="clear: both;"><span class="Apple-style-span" style="-webkit-border-horizontal-spacing: 2px; -webkit-border-vertical-spacing: 2px; color: #804040;"><br /><br /></span></div><div class="separator" style="clear: both;"><span class="Apple-style-span" style="-webkit-border-horizontal-spacing: 2px; -webkit-border-vertical-spacing: 2px; color: #804040;"><br /><br /></span></div>นอกจากนี้ คาร์ลอตโตยังเสนอวิธีวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายผิวดาวเคราะห์โดยใช้เทคนิคแฟรกทัลนี้เพื่อแยกแยะสิ่งที่เป็นสิ่งก่อสร้างและสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอีกด้วย ทั้งนี้ โดยมีสมมติฐานว่าสิ่งก่อสร้างนั้นจะมีลักษณะแตกต่างจากโครงสร้างตามธรรมชาติ เช่น มีเหลี่ยมมีมุม มีช่วงและจังหวะ มีสมมาตร ฯลฯ โครงสร้าง 2 ประเภทนี้เมื่อวิเคราะห์ด้วยเทคนิคแฟรกทัลแล้วจะให้ค่าการวิเคราะห์ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายแถบไซโดเนีย คาร์ลอตโตพบว่ามีอยู่ 4 ตำแหน่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ นั่นคือ ตำแหน่งที่เป็นใบหน้าลึกลับ เมือง พื้นที่ใกล้เมือง และป้อมปราการ ส่วนพีระมิดดีและเอ็มนั้นไม่พบสิ่งผิดสังเกต</div><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><br /><tr><td style="text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-Qlf4hZ6rgjI/TjLhePDagYI/AAAAAAAAA-s/BQTwMxkLRN4/s1600/fom_p1_nai178t.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="400" src="http://1.bp.blogspot.com/-Qlf4hZ6rgjI/TjLhePDagYI/AAAAAAAAA-s/BQTwMxkLRN4/s400/fom_p1_nai178t.jpg" width="348" /></a></td></tr><br /><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">พื้นที่ 4 จุดที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติตามการวิเคราะห์ของคาร์ลอตโต</span></td></tr><br /></tbody></table><br /><br /><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><br /><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhikwt2yK1_c-LdDH9K3_gGdtJHxX5wNJhBfhCGh_mR-IaaOuyqclTrsmhIeb-w-XlrnQWwidPt_lrCSKWIJHKNdtyK4-mMva-aNAY7-6VOVUmi_H6FhKMXVabrRBhXk67P8DdB2-KGPh7y/s1600/fom_p1_nai23t.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="383" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhikwt2yK1_c-LdDH9K3_gGdtJHxX5wNJhBfhCGh_mR-IaaOuyqclTrsmhIeb-w-XlrnQWwidPt_lrCSKWIJHKNdtyK4-mMva-aNAY7-6VOVUmi_H6FhKMXVabrRBhXk67P8DdB2-KGPh7y/s400/fom_p1_nai23t.jpg" width="400" /></a></td></tr><br /><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">ภาพขยายบริเวณเมือง</span></td></tr><br /></tbody></table><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div><div><br /><br /></div><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><br /><tr><td style="text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-4ab9CmTU-UA/TjLhbjyEQWI/AAAAAAAAA-c/heYReQ5zo-k/s1600/fom_p1_nai173.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="http://1.bp.blogspot.com/-4ab9CmTU-UA/TjLhbjyEQWI/AAAAAAAAA-c/heYReQ5zo-k/s320/fom_p1_nai173.jpg" width="320" /></a></td></tr><br /><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">ภาพ ก</span></td></tr><br /></tbody></table><br /><br /><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><br /><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjYQPKPnl9WK-hlolqvgwr_uFfcW1j070hS5KloIl57RiAM68IU3zai2RkZjCaWcsTpeP3By2g1Es_hIKBOemM-kt6rH7KzRWO_OHxcD3q6e_k_byhkEHfGAguUMCveTfWo7jLwvlSiXPb_/s1600/fom_p1_nai174.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjYQPKPnl9WK-hlolqvgwr_uFfcW1j070hS5KloIl57RiAM68IU3zai2RkZjCaWcsTpeP3By2g1Es_hIKBOemM-kt6rH7KzRWO_OHxcD3q6e_k_byhkEHfGAguUMCveTfWo7jLwvlSiXPb_/s320/fom_p1_nai174.jpg" width="320" /></a></td></tr><br /><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">ภาพ ข</span></td></tr><br /></tbody></table><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><br /><tr><td style="text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-TYZ41pIMx1A/TjLhc7Mq6KI/AAAAAAAAA-k/3vsipUXR7lw/s1600/fom_p1_nai175.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="http://1.bp.blogspot.com/-TYZ41pIMx1A/TjLhc7Mq6KI/AAAAAAAAA-k/3vsipUXR7lw/s320/fom_p1_nai175.jpg" width="320" /></a></td></tr><br /><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">ภาพ ค</span></td></tr><br /></tbody></table><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><br /><tr><td style="text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-p0k1QWHRdM4/TjLhdZoehnI/AAAAAAAAA-o/Twf5udjoJzk/s1600/fom_p1_nai176.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="http://1.bp.blogspot.com/-p0k1QWHRdM4/TjLhdZoehnI/AAAAAAAAA-o/Twf5udjoJzk/s320/fom_p1_nai176.jpg" width="320" /></a></td></tr><br /><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: small;">ภาพ ง<br /><br /><br /><br /></span></td></tr><br /></tbody></table>ภาพแสดงการใช้เทคนิคทางแฟรกทัลในการวิเคราะห์หาโครงสร้างที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ บนพื้นผิวดาวเคราะห์ ภาพ ก เป็นภาพถ่ายทางอากาศ ในภาพนี้มีรถถังซ่อนอยู่ 4 คัน ภาพ ข เป็นการนำภาพมาแปลงโดยใช้วิธีทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่าแฟรกทัล ภาพ ค เป็นการปรับภาพให้สอดคล้องกับตัวแบบทางคณิตศาสตร์ที่กำหนดเพื่อแยกแยะว่าสิ่งใดน่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติและสิ่งใดเป็นสิ่งก่อสร้าง และภาพ ง เป็นผลจากการวิเคราะห์ พบว่ามีสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่ 4 ตำแหน่ง ซึ่งก็คือตำแหน่งที่ซ่อนรถถังไว้นั่นเอง<br /><br /><div><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div><div class="separator" style="clear: both;"><br /><br /></div><br /><br /><br /><br /><span style="color: #0b5394;"> ที่มา :</span> http://www.yupparaj.ac.th<br /><br />____________________  <br /><br /><span style="color: #0b5394;"> เครดิต : </span>   <br /><br />________________________________ <br /><br /><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><br /></div><script src="http://fastwebcounter.com/secure.php?s=http://allmysteryworld.blogspot.com/2011/07/1_29.html"><br /></script>  Pageviews </div></div></div>

ไขปริศนาดาวอังคาร ตอนที่ 1

ในปี ค.ศ. 1976 เมื่อยานไวกิงได้ทำการโคจรสำรวจและถ่ายภาพดาวอังคารส่งกลับมายังโลกนั้น องค์การนาซาได้รับข้อมูลภาพกว่า 60,000 ภาพ และในภาพเหล่าน...

อ่านเพิ่มเติม »

หนังสือ 'ฉันเป็นทหารนาวิกโยธิน' ของ Hyun Bin มียอดสั่งซื้อล่วงหน้าดีเกินคาด

หนังสือ 'ฉันเป็นทหารนาวิกโยธิน' ของ Hyun Bin มียอดสั่งซื้อล่วงหน้าดีเกินคาด

อ่านเพิ่มเติม »

Sousuke Takaoka ถูกไล่ออกหลังวิจารณ์เรื่องกระแสเกาหลีฟีเวอร์

Sousuke Takaoka ถูกไล่ออกหลังวิจารณ์เรื่องกระแสเกาหลีฟีเวอร์

อ่านเพิ่มเติม »

“นาตาลี” เอือมข่าว “ขวัญ-หมวดบีม” บอกตนพูดความจริงไม่ชอบแอ๊บ

“นาตาลี” ไม่หวั่นหลัง “หมวดบีม” ให้สัมภาษณ์ว่ายังคบหากับ “ขวัญ” พร้อมกับยืนยันว่าไม่เคยโทรไประบายเรื่องขวัญให้นาตาลีฟัง บอกเป็นแบบนี้ก็ดีจะได้รู้จักคนๆ หนึ่งมากขึ้น สุดเอือมเรื่องนี้บอกตนพูดความจริง และคนส่วนใหญ่ก็เชื่อในสิ่งที่ตนพูด เพราะคนสมัยนี้ไม่ชอบคนแอ๊บ<br /><img border="0" height="816" src="http://pics.manager.co.th/Images/554000009692601.JPEG" width="550" /><br />หลังจากที่มีข่าวว่า “ขวัญ อุษามณี ไวทยานนท์” เกิดอาการหึงหวง “หมวดบีม” ร้อยตรีบุญญฤทธิ์ พจนประพันธ์ จนไปมีเรื่องปะทะคารมณ์กับ “นาตาลี เดวิส” จนนาตาลีออกยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง พร้อมทั้งแฉว่า หมวดบีมได้โทรมาคุยกับตนโดยกล่าวขอโทษและบอกว่าได้เลิกกับขวัญไปแล้วเพราะทนความหึงหวงไม่ไหว แต่ต่อมาหมวดบีมกลับออกมาให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า ยังคบหาดูใจขวัญอยู่ เล่นเอานาตาลีหน้าแหกยอมรับว่าฉุน<br /><br />“เขาออกมาพูดอย่างนั้นยิ่งดีทำให้รู้ว่า กว่าที่เราจะรู้จักคนคนหนึ่งได้ต้องใช้เวลาหลายปี ไม่เป็นไรสบายมาก จริงๆ มีความสุขเพราะรู้สึกดีที่ออกมาพูดความจริง ไม่ต้องมานั่งสร้างเรื่องโกหกใส่กัน ก่อนหน้านี้เราสัมภาษณ์ถึงผู้ชายดีมากมาตลอดรวมถึงผู้หญิงด้วย พอเขาพูดอย่างนี้ก็เฉยๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไรชิลล์ๆ ตอนแรกที่รู้ข่าวก็มีฉุนนิดหน่อย ก็ขึ้นนิดนึงนะ แต่แม่ก็บอกว่าช่างเขา เพราะเราก็จะได้รู้จักคนๆ หนึ่งว่านิสัยเป็นยังไง นี่เขาก็เงียบไปแล้ว จริงๆ ก็ไม่ได้คุยกันบ่อยอยู่แล้ว นานๆ จะคุยอัพเดทชีวิตกัน แต่พออย่างนี้ก็ไม่เป็นไร แย่ไหมเท่าทุน เป็นศูนย์แล้วกัน”<br /><br />“กับขวัญถ้าต้องเจอหรือว่าร่วมงานกันก็สบายมากค่ะ ได้อยู่แล้ว เพราะเราพูดเรื่องจริงไม่ต้องมานั่งกลัวว่าเจอได้หรือเปล่า ไม่ต้องคิดว่าเกิดสัมภาษณ์คู่กันแล้วจะทำไง เราก็พูดของเราเหมือนเดิม เอาจริงๆ เรื่องนี้คนค่อนข้างเชื่อเราเยอะนะ จากที่ดูหลายๆ ที่ ไม่ใช่แค่คนใกล้ตัวนะ ดูจากกระแสในอินเตอร์เน็ตว่าคนไปทางไหนมากกว่ากัน เดี๋ยวนี้คนเขาเปลี่ยนแล้ว เขาไม่ชอบคนแอ๊บๆ แล้ว ชอบคนตรงๆ ตรงแต่ไม่ใช่หยาบคาย ตรงแต่มีความจริงใจให้คนอื่นชอบก็ชอบแหล่ะ (ถือว่าสาปส่งเลยมั้ย)ไม่เป็นไร เราเรื่อยๆ เป็นคนไม่ค่อยโกรธอารมณ์เสีย อาจจะปรี๊ดช่วงแรกแป๊บนึง แต่เดี๋ยวก็ช่างมัน ปล่อยไป”<br /><br />เผยหลังเกิดเรื่องก็ไม่ได้ติดต่อกับ “หมวดบีม” อีกเลย ลั่นทำงานอยู่ในวงการเดียวกันไม่อยากมีปัญหากับใคร<br />“ไม่คุยค่ะ ถ้ามีเรื่องอะไรต้องคุย คงเป็นเขาที่ต้องมาคุยกับเรา เพราะเราก็ไม่ได้คุยอะไรอยู่แล้ว เบอร์เขาเราก็ยังมีปกติ ไม่ได้ลบทิ้ง กับเรื่องนี้พี่เอิ๊น(อธิเบศร์ ตรีสุขี) ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็บอกช่างเขา เพราะเขารู้แต่แรกแล้ว วันที่คุยโทรศัพท์กับผู้หญิง พี่เอิ๊นก็นั่งอยู่ข้างๆ เขาก็รู้ตั้งแต่วันนั้นว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นยังไง เขาก็เชื่อเราอยู่แล้ว เขาก็บอกช่างมันเถอะ เพราะเราทำงานอยู่ตรงนี้อย่าไปมีปัญหาอะไรกับใคร ไม่อยากจะไปสู้อะไรกับใคร หลักฐานอะไรก็พอมีนะแต่ไม่เอาดีกว่าขี้เกียจ รำคาญ เห็นแต่ละทีแล้วอืม…”<br /><br />ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์

“นาตาลี” เอือมข่าว “ขวัญ-หมวดบีม” บอกตนพูดความจริงไม่ชอบแอ๊บ

“นาตาลี” ไม่หวั่นหลัง “หมวดบีม” ให้สัมภาษณ์ว่ายังคบหากับ “ขวัญ” พร้อมกับยืนยันว่าไม่เคยโทรไประบายเรื่องขวัญให้นาตาลีฟัง บอกเป็นแบบนี้ก็ดีจะไ...

อ่านเพิ่มเติม »

“เมย์” รับหน้าที่ปลอบใจ “อั้ม-เมย์ พิชนาฏ” เตือนคบผู้ชายให้ดูดีๆ

“เมย์ เฟื่องอารมณ์” เผยเพื่อนๆ ในแก๊งไม่ว่าจะเป็น อั้ม พัชราภา , ตอง ภัครมัย , เมย์ พิชนาฏ ต่างทยอยกันโสดเพราะต่างเพิ่งเลิกกับแฟน มีแค่ตนคนเดียวที่ยังคบหากับแฟนหนุ่ม บอกมีหน้าที่ปลอบใจเพื่อนๆ และคอยตักเตือนเรื่องผู้ชายที่จะเข้ามาจีบ <br /><img border="0" height="600" src="http://pics.manager.co.th/Images/554000009702901.JPEG" width="450" /><br />หลังจากที่เพื่อนๆ ในแก๊งมีข่าวเลิกรากับแฟนไปทีละคนสองคน ไม่ว่าจะเป็นสาว “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” ที่เลิกกับแฟนหนุ่ม “โน้ต วิเศษ รังษีสิงห์พิพัฒน์” และอีกไม่นาน “เมย์ พิชญ์นาฏ สาขากร” ก็ออกมาประกาศว่าโสดไปอีกคน จะเหลือก็แต่ “เมย์ เฟื่องอารมณ์” ถึงจะยังคบหากับ “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” แต่ก็เลื่อนแผนแต่งงานมาแล้วหลายรอบ เจอเมย์ในงาน Horo Live ศึกชิงเจ้าหมอดู Season 2 เจ้าตัวก็เลยเปิดเผยถึงเรื่องดวงความรักของตัวเองว่า...<br /><br />“เรื่องหมดดู ก็มีคนดูตรงบ้างไม่ตรงบ้าง เมื่อกี้เขายังไม่ทายเรื่องแต่งงานมากเลย ทายไว้นิดเดียวเอง ก็เลยไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ที่หมอดูทักว่าจะไม่ได้แต่งานเลยเนี่ย จริงๆ แล้วมีหมดดูทักไว้เยอะมาก ตั้งแต่เมย์ยังเด็กๆ อายุ 20 เลยนะว่า ถ้าได้แต่งก็จะได้แต่งช้า แต่ถ้าได้แต่งเร็วลูกของเราก็จะไม่ดี หรือไม่ก็จะมีเกณฑ์หย่าร้าง อย่าเพิ่งรีบแต่ง ตอนนั้นเราก็ยังไม่คิดอะไร แต่พอเราอายุมากขึ้น ก็กลับมาย้อยดูว่า มันก็จริงนะ เพราะเหมือนดวงของเมย์ ถ้าจะแต่งก็ต้องแต่งช้าเลย ยิ่งช้ายิ่งดี เพราะเป็นดวงที่ไม่เหมือนคนอื่น”<br /><br />เผยเข้าใจความรู้สึกของคู่รักมาราธอน “เอ๊ะ ศศิกานต์-เจมส์ เรืองศักดิ์”<br />“เข้าใจความรู้สึกของเขาทั้งสองคนเลยว่า คบมา 12 ปีแล้วเลิก เพราะคู่ของเมย์กับพี่หนุ่มก็คบมาสิบกว่าปี รู้สึกเข้าใจเลยว่า คนสองคนที่เขาตัดสินใจที่จะยุติความสัมพันธ์กัน เพราะมันเป็นการตัดสินใจที่ใหญ่หลวงมากเลย แล้วอีกอย่างเขาก็ทำอะไรร่วมกันมาเยอะ พอรู้ข่าวก็หดหู่เหมือนกัน”<br /><br />“ส่วนตัวเราก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะคู่เราก็คู่เรา แต่อย่างคู่เมย์ก็มีปัญหากันมาก็เยอะ เจออะไรมาก็เยอะ ผ่านมาก็เยอะ ตอนนี้คู่ของเมย์ก็ยังโอเคอยู่ แต่เรื่องของอนาคตเนี่ยจะเป็นอย่างไรก็ไม่คิดหวั่นไหวคะ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอแล้ว คนก็ถามเยอะว่าทำไมไม่แต่งงาน เพราะก็เห็นว่าคบกันมานาน ถามว่ากดดันไหม ก็บอกว่ากดดันนะ ก็เขาใจว่าทุกคนอยากให้แต่ง แต่ก็ต้องรอให้อะไรๆ มันลงตัวก่อน ก็จะแต่งค่ะ”<br /><br />“เป็นอะไรไม่รู้ตอนนี้แปลกๆ เพื่อนๆ จะโสดหมดเลยมันไม่น่าเชื่อเลย เรียงกันมาเลยตั้งแต่อั้ม แต่อั้มก็ยังไม่เท่าไหร่ ส่วนตองเขาโสดอยู่แล้ว พอมาเป็นน้องเมย์ พิชญ์นาฏ ก็ไม่น่าเลิกเพราะมันเร็วมาก ก็เห็นยังรักกันอยู่ดีๆ เลิกกันได้ไง สรุปตอนนี้เหลือเมย์คนเดียว ทุกคนก็หันมามองเมย์ เมย์ก็เลยบอกไปว่ายังไม่เลิก”<br /><br />“ช่วงนี้ก็จะปลอบๆ กันค่ะ เพราะเราผ่านประสบการณ์ความรักมาก็หลายปีแล้ว เรามีอะไรก็จะบอกเขา เราก็บอกเขาว่า พยายามอย่าคิดมากเลย ถ้ามีโอกาสก็ค่อยๆ หา ค่อยๆ เลือกไป เราก็คอยเป็นที่ปรึกษาให้ แต่ทุกคนก็ยังหันมามองเราแล้วก็บอกว่า ไม่เหมือนเธอ เธอมีความสุข แต่ก็อย่างว่าพอโสดก็ต้องมีผู้ชายเข้ามาทุกคนเนอะ แต่ว่าเราก็คอยบอกว่าให้ดูดีๆ นะ ค่อยๆ ดูค่อยๆ เลือก แต่ถ้าดูแล้วยังไม่ดีเราก็เตือนๆ เขาไป”<br /><br />ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์

“เมย์” รับหน้าที่ปลอบใจ “อั้ม-เมย์ พิชนาฏ” เตือนคบผู้ชายให้ดูดีๆ

“เมย์ เฟื่องอารมณ์” เผยเพื่อนๆ ในแก๊งไม่ว่าจะเป็น อั้ม พัชราภา , ตอง ภัครมัย , เมย์ พิชนาฏ ต่างทยอยกันโสดเพราะต่างเพิ่งเลิกกับแฟน มีแค่ตนคนเ...

อ่านเพิ่มเติม »

4minute ปล่อย ‘Freestyle’ เพลงประกอบเกมส์ออนไลน์ ออกมาแล้ว

4minute ปล่อย ‘Freestyle’ เพลงประกอบเกมส์ออนไลน์ ออกมาแล้ว

อ่านเพิ่มเติม »

AZIATIX ปล่อยมิวสิควีดีโอ ‘Slippin Away’ ออกมาแล้ว

AZIATIX ปล่อยมิวสิควีดีโอ ‘Slippin Away’ ออกมาแล้ว

อ่านเพิ่มเติม »

“โบวี่” รับตอนห่าง “ไมค์” ต่างคนต่างคุยกับคนอื่น แต่ไม่เวิร์คเลยกลับมาคบกันใหม่

“โบวี่” รับตอนห่าง “ไมค์” ต่างคนต่างไปคุยกับคนอื่นแต่ก็ยังคบกันอยู่ แต่สุดท้ายไม่เวิร์คก็เลยกลับมาคบกันแค่สองคนทยอยเลิกคุยกับคนอื่นๆ สุดแฮบปี้ควงกันไปเที่ยวเสม็ด 2 ต่อ 2 ส่วนไมค์เคยจีบ “ผิง พิมพาภรณ์” หรือไม่ให้ไปถามฝ่ายชายเอาเอง<br /><br /><table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="color: #666666; font-family: Tahoma; font-size: x-small;"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 500px;"><tbody><tr><td align="center" valign="Top" width="500"><img border="0" height="359" src="http://pics.manager.co.th/Images/554000009692704.JPEG" width="500" /></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table><br />หลังจากที่เบรกความสัมพันธ์กันไปพักหนึ่ง สำหรับคู่ของดาราสาว “โบวี่ อัฐมา ชีวนิจพันธ์” กับวีเจหนุ่ม “ไมค์ ไมเคิล หว่อง” แต่ตอนนี้ทั้งคู่ก็กลับมาหวนคืนดีกันอีกรอบแล้ว แถมยังหวานกว่าเก่า เพราะเพิ่งควงไปสานสัมพันธ์กันแบบหวานชื่นสองต่อสองกันที่เกาะเสม็ด บอกงานนี้ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เพราะมีกิจกรรมทำร่วมกันตลอดทั้งวัน แต่ยังไม่ฟันธงว่ากลับมาเป็นแฟน เพราะอยากให้ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า<br /><br />“ความรักช่วงนี้ก็โอเคค่ะ เพิ่งไปเสม็ดกันมา เพราะว่าว่าง 2 วันก็เลยไปเที่ยวเสม็ดกัน สนุกมากค่ะ ครั้งนี้ไปขี่เอทีวี ไปพายเรือคายัค แอดเวนเจอร์ทั้งวัน คือเที่ยวคุ้มมากค่ะ ก็ไปกันสองคนค่ะ ดีค่ะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน แล้วก็ได้ผ่อนคลาย เพราะช่วงนี้โบทำงาน 7 วันติดกันมา 2 - 3 เดือนแล้วไม่มีเวลาเลย พอมันมีโอกาสได้ไปก็ดีค่ะ สำหรับความสัมพันธ์ไมค์บอกว่าจะเต็มที่จะดูแลเหมือนแฟน แต่สำหรับโบก็บอกเขาว่าใจเย็นๆ ดีกว่า ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”<br /><br />“เหมือนกับทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมดเลย เราก็เพิ่งให้สัมภาษณ์ไป มันหลายๆ อย่าง ก็ใจเย็นๆ กันดีกว่า ณ ตอนนี้ก็แฮปปี้ดีชิลล์ไม่ได้ซีเรียสอะไรค่ะ แต่จะใช้เวลานานแค่ไหน โบไม่ได้กำหนดตรงนั้นค่ะ แค่มีความสุขอยู่กับปัจจุบันก็โอเคแล้วค่ะ”<br /><br />ปัดไม่รู้ช่วงที่ห่างกัน “ไมค์” ไปคบกับ “ผิง พิมพาภรณ์ ลีนุตพงษ์” จริงหรือเปล่า แต่สำหรับตนก็มีไปคุยกับหนุ่มอื่นเหมือนกัน แต่ตอนนี้เริ่มถอยห่างออกมาแล้ว<br />“ข่าวไมค์กับผิงคือเป็นข่าวช่วงก่อนหน้านี้ที่ห่างๆ กัน มันก็เป็นช่วงที่ต่างคนต่างก็ไปคุยกับคนอื่น(หัวเราะ) แต่เราก็ไม่ได้ปิดบังกันนะคะ โบไม่ขอพูดว่าไมค์คุยกับใคร แล้วโบก็ไม่ขอบอกแล้วกันว่าโบคุยกับใคร แต่เราสองคนคุยกันว่าเราคุยอะไรกับใคร เพราะมันเป็นช่วงที่คุยได้น่ะค่ะ แต่สุดท้ายไมค์ก็มาคุยกับโบว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันไม่เวิร์ค คือเราสองคนก็ลองกลับมาคุยกันใหม่ด้วย แต่ในขณะเดียวกันเราสองคนก็ยังไปคุยกับคนอื่นด้วย เขาก็บอกว่ามันไม่น่าจะเวิร์ค ก็ต้องเลือกเอาว่าจะเลิกไปเลย หรือจะกลับมาคุยกันแค่สองคน เขาบอกว่าเขาอยากกลับมาคุยกันแค่สองคนมากกว่า”<br /><br />“แต่ส่วนตัวโบก็เคยเจอกับผิงบ้างค่ะ แต่นานมากแล้วตั้งแต่โบเพิ่งเข้าวงการ แต่เขาคงไม่เคยเจอโบ แต่เรื่องผิงเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าโบก็ยังไม่รู้นะคะ ไปถามไมค์เองดีกว่า เพราะไมค์คุยกี่คนโบก็ไม่รู้ แล้วโบคุยกี่คนโบก็ไม่บอก(หัวเราะ) ก็เหมือนกับเปิดโอกาสให้ตัวเองลองศึกษาคนอื่นดูมากกว่า แต่สำหรับโบตอนนี้ก็หยุดกับคนที่คุยๆ ไปแล้ว มันต้องค่อยๆ พูดค่ะ(หัวเราะ) แต่โบไม่ใช่คนเจ้าชู้นะ แล้วโบก็เคลียร์กับไมค์แล้วว่าเดทก็คือเดท ลองคุยดู โบก็วางตัวเป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่ว่าอะไรก็ไม่รู้ไปหมด มันอยู่ที่การวางตัวค่ะ คบก็คือคบ ถ้าคบก็คบแค่สองคนจบ”<br /><br />ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์

“โบวี่” รับตอนห่าง “ไมค์” ต่างคนต่างคุยกับคนอื่น แต่ไม่เวิร์คเลยกลับมาคบกันใหม่

“โบวี่” รับตอนห่าง “ไมค์” ต่างคนต่างไปคุยกับคนอื่นแต่ก็ยังคบกันอยู่ แต่สุดท้ายไม่เวิร์คก็เลยกลับมาคบกันแค่สองคนทยอยเลิกคุยกับคนอื่นๆ สุดแฮบป...

อ่านเพิ่มเติม »

หนังสือ ที่ลึกลับที่สุดในโลก ( Voynich manuscript )

<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiDeaVDYoH29ZJwmog-GWFmxHWmvvrbOjOfzmxskQqYpxdYVwkEOj2z0kIe7cAD0eZ99QCbxlA_guD4md6x4j4sKDvdm2bymj5oBUf3Pp2XG5LSIxv5-oB98sV1CO04Q4LNJeoLscJ1ycx5/s1600/463520121_f643263e17.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiDeaVDYoH29ZJwmog-GWFmxHWmvvrbOjOfzmxskQqYpxdYVwkEOj2z0kIe7cAD0eZ99QCbxlA_guD4md6x4j4sKDvdm2bymj5oBUf3Pp2XG5LSIxv5-oB98sV1CO04Q4LNJeoLscJ1ycx5/s400/463520121_f643263e17.jpg" width="288" /></a></div><br /><br /><br /><br /><br />Voynich manuscript เป็นหนังสือ ที่ลึกลับที่สุดในโลก เนื่องจากภาษาที่ใช้ได้มีการเข้ารหัส ที่ยังไม่สามารถถอดความได้ มันถูกเขียนด้วยปากกาขนนก มีขนาด 6 x 9 นิ้ว หนา 11/2นิ้ว มีอยู่ 240 หน้า แต่บางหน้าขาดหายไป ปกสมุดทำจากหนังลูกวัวสีครีม ไม่มีการระบุชื่อผู้เขียน ชื่อเรื่องหรือปีที่เขียนใด<br /><br /><div><br /><a name='more'></a><br /><br /><div><br />ถูกเก็บรักษาอยู่ที่ห้องสมุดเบนเนคเก้ (Beinecke Rare Bood & Manuscript Library) ภายในเล่มประกอบไปด้วย ทั้งภาพและอักษรในสมุดมีความเฉพาะ เป็นตัวอักษรที่ไม่เคยพบเห็นในที่ใด ๆ ในโลกมาก่อนและ แทบทุกหน้ามีวาดภาพประกอบ มีทั้ง พืชพันธุ์ แปลก ๆ ภาพผู้หญิงเปลือย เชื่อมด้วยท่อที่ดูคล้ายเส้นโลหิต มีภาพคล้ายแผนผังเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ที่มองจากกล้องโทรทัศน์ และภาพคล้ายเซลล์ สิ่งมีชีวิตที่มองผ่านกล้องจุลทรรศน์</div><br /><div><br /><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><a href="http://2.bp.blogspot.com/-XTJTJ1-b5aA/TjA4D9CQeuI/AAAAAAAAA7k/WTuNLx1Q8pg/s1600/Voynich.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="396" src="http://2.bp.blogspot.com/-XTJTJ1-b5aA/TjA4D9CQeuI/AAAAAAAAA7k/WTuNLx1Q8pg/s400/Voynich.png" width="400" /></a></div><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />Voynich manuscript ถูกบันทึกออกได้เป็น 5 ส่วนคือ<br /><br /><div><br /><br /></div><br /><div><br /><br /><br />ส่วน พฤกษศาสตร์ มีสาระประมาณ ครึ่งหนึ่งของสมุด ราว 130 หน้า แต่ละหน้าจะมีภาพวาดของพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่งพร้อมกับตัวอักษรกำลังอยู่ข้าง ๆ ซึ่งน่าจะเป็นรายละเอียดของพันธุ์ไม้นั้น ๆ และอักษรบนแต่ละหน้านั้นก็เป็นชื่อพันธุ์ไม้</div><br /><div><br /><br /><br />ส่วน ดาราศาสตร์ และจักรวาล ภาพส่วนใหญ่จะวาดในลักษณะของทรงกลม มีพระอาทิตย์ พระจันทร์และกลุ่มดาวต่าง ๆ แต่บางภาพมีองค์ประกอบแปลก ๆ เช่น ภาพแผนภูมิจักรราศี มีภาพผู้หญิงเปลือยถือดวงดาวล้อมรอบจักรราศีอยู่ บางหน้าก็สามารถคลี่ออกมาได้อีกเป็น 6 หน้า มี ภาพวาดหน้าผังดาราศาสตร์ ภาพคล้าย กาแลคซี่ แอนโดรมีดา ที่มองจากกล้องเทเลสโคป ส่วนนี้มี 26 หน้า</div><br /><div><br /><br /><br />ส่วน ชีววิทยา มีภาพวาดที่ดูคล้ายอวัยวะในร่างกาย ซึ่งมีลักษณะค่อนข้างแปลก มีภาพผู้หญิงเปลือยอยู่ในสระที่มีท่อเชื่อมโยงคล้ายเส้นเลือด ผู้หญิงบางคนก็สวมมงกุฎ ส่วนนี้มี 4 หน้า กับ 28 ภาพวาด</div><br /><div><br /><br /><br />ส่วน เภสัชศาสตร์ มีความคล้ายกับส่วนพฤกษศาสตร์ ส่วนนี้มีภาพคล้ายภาชนะที่ใช้ในร้านขายยายุค ศตวรรษที่ 15 และมีตัวอักษรเขียนกำกับที่ตัวภาชนะ ส่วนนี้มี 34 หน้า</div><br /><div><br /><br /><br />ส่วน สูตร คาดว่าเกี่ยวกับสูตรยาเพราะมีการเขียนด้วยย่อหน้าสั้น ๆ ถึง 324 ย่อหน้า แต่ถ้านับรวมกับส่วนที่ขาดหายไปแล้ว มีมากถึง 360-365 ย่อหน้า ทุกย่อหน้าเริ่มต้นด้วยรูปดอกจัน แต่มีผู้สันนิษฐานว่าส่วนนี้อาจเป็นปฏิทินแบบพิศดาร มีการระบุเหตุการณ์ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไว้ด้วย ส่วนนี้มี 23 </div><br /><div><br /><br /></div><br /><div><br />หน้าหน้าสุดท้ายคือหน้า ที่คาดกันว่าเป็นบันทึกกุญแจไขปริศนาอักษร อีก 1 หน้า ที่ใช้ในสมุดบันทึกเล่มนี้ทั้งหมด<br /><br /><span class="Apple-style-span" style="color: #33ccff; font-family: 'Trebuchet MS', Tahoma, Arial; font-size: 17px; font-weight: bold; line-height: 19px;"><br /><br /></span><br /><br /><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody><br /><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj90CxYBLu3_GdqhmLdiCDkGYqcXJX3_rGZk1qY8ECkfnNbal0maw3NzRjvxtHJ_UjSiXvqESzOVpn7zpCn1ijGJyjJyOYgTz1Y3gaB3EoSGc5IcrH_3Y2gw9Zp-ZII8h612Y1eLdpenScT/s1600/68r.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="190" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj90CxYBLu3_GdqhmLdiCDkGYqcXJX3_rGZk1qY8ECkfnNbal0maw3NzRjvxtHJ_UjSiXvqESzOVpn7zpCn1ijGJyjJyOYgTz1Y3gaB3EoSGc5IcrH_3Y2gw9Zp-ZII8h612Y1eLdpenScT/s400/68r.jpg" width="400" /></a></td></tr><br /><tr><td class="tr-caption">รูปตัวอย่าง ในส่วนดาราศาสตร์</td></tr><br /></tbody></table><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><a href="http://1.bp.blogspot.com/-yR6Qe5jDmok/TjA3-GJFZgI/AAAAAAAAA7M/FLrhwQ6jR3k/s1600/463573592_1006f36d42.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="http://1.bp.blogspot.com/-yR6Qe5jDmok/TjA3-GJFZgI/AAAAAAAAA7M/FLrhwQ6jR3k/s200/463573592_1006f36d42.jpg" width="143" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEXC7DthxzzpCyH6VsXLQH27RhJtlEGpfqChxBW1htt5u4RGMZRPga5s9u5JW86dM8RINzETjAUt-7kKMRIq-NJz7YCvBe5VcLZhKP8FsROvdH9mgTsAh-_zlCHv0y0yhxL_z2GL3bfpkI/s1600/463578497_e45b3b4801.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEXC7DthxzzpCyH6VsXLQH27RhJtlEGpfqChxBW1htt5u4RGMZRPga5s9u5JW86dM8RINzETjAUt-7kKMRIq-NJz7YCvBe5VcLZhKP8FsROvdH9mgTsAh-_zlCHv0y0yhxL_z2GL3bfpkI/s200/463578497_e45b3b4801.jpg" width="165" /></a></div><br /><br /><br /><div style="text-align: center;"><br />รูปตัวอย่างในส่วน เภสัชศาสตร์</div><br /><div style="text-align: center;"><br /><br /></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><a href="http://4.bp.blogspot.com/-kPiEXBrxiqY/TjA4BMXsvFI/AAAAAAAAA7c/-1hjq3h0jZI/s1600/F34r.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="http://4.bp.blogspot.com/-kPiEXBrxiqY/TjA4BMXsvFI/AAAAAAAAA7c/-1hjq3h0jZI/s200/F34r.jpg" width="153" /></a><a href="http://4.bp.blogspot.com/-WsfJPANIo6k/TjA39YTomuI/AAAAAAAAA7I/lA6yPM0jysk/s1600/463571684_a4f421c54d.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="http://4.bp.blogspot.com/-WsfJPANIo6k/TjA39YTomuI/AAAAAAAAA7I/lA6yPM0jysk/s200/463571684_a4f421c54d.jpg" width="143" /></a></div><br /><br /><br /><div style="text-align: center;"><br />รูปตัวอย่างในส่วน พฤกษศาสตร์</div><br /><div style="text-align: center;"><br /><br /></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><a href="http://3.bp.blogspot.com/-fvPp2vmBBvE/TjA38XiXtgI/AAAAAAAAA7E/cILrGrNQpfg/s1600/463567556_1e7bd0655d.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="http://3.bp.blogspot.com/-fvPp2vmBBvE/TjA38XiXtgI/AAAAAAAAA7E/cILrGrNQpfg/s200/463567556_1e7bd0655d.jpg" width="148" /></a><a href="http://3.bp.blogspot.com/-rbTAGWGWv7U/TjA4B-Qog9I/AAAAAAAAA7g/rlCKnz14U5w/s1600/F75r.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="http://3.bp.blogspot.com/-rbTAGWGWv7U/TjA4B-Qog9I/AAAAAAAAA7g/rlCKnz14U5w/s200/F75r.jpg" width="151" /></a></div><br /><br /><br /><div style="text-align: center;"><br />รูปตัวอย่างในส่วนชีววิทยา</div><br /><div style="text-align: center;"><br /><br /></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj93ZzJ0Dkus2VmIfsOikaHZtP2yNh6oqCcOLmWVMFeMu16cya4jDtFQDTXiEgRL-uiRtluqylE1qbQ4AP_2254bq3EONgaWJ3XQb6ORYz0JaXcCbyBePJFcFbWBbJo4tzAlpMfu1thcZJo/s1600/463582457_8bb4a6486e.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj93ZzJ0Dkus2VmIfsOikaHZtP2yNh6oqCcOLmWVMFeMu16cya4jDtFQDTXiEgRL-uiRtluqylE1qbQ4AP_2254bq3EONgaWJ3XQb6ORYz0JaXcCbyBePJFcFbWBbJo4tzAlpMfu1thcZJo/s200/463582457_8bb4a6486e.jpg" width="141" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgW8PJZqpYFVRA7mBfXw0tUMh6_M0XDmOSZ9rwKvbqiFR48vyF-RgfF8CP-bM0qxYtF5tQ2vin2X8f17yTFEUNTLodWBlIQ8D2BqUWEF-pRTCGIjvv_03Vu9Xp8c_E85r72unUGDBQmdo0U/s1600/463583616_94d882b042.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgW8PJZqpYFVRA7mBfXw0tUMh6_M0XDmOSZ9rwKvbqiFR48vyF-RgfF8CP-bM0qxYtF5tQ2vin2X8f17yTFEUNTLodWBlIQ8D2BqUWEF-pRTCGIjvv_03Vu9Xp8c_E85r72unUGDBQmdo0U/s200/463583616_94d882b042.jpg" width="141" /></a></div><br /><br /><br /><div style="text-align: center;"><br />รูปตัวอย่างในส่วนสูตร</div><br /><span class="Apple-style-span" style="color: #33ccff; font-family: 'Trebuchet MS', Tahoma, Arial; font-size: 17px; font-weight: bold; line-height: 19px;"><br /><br /></span><br /><br /><span class="Apple-style-span" style="color: #33ccff; font-family: 'Trebuchet MS', Tahoma, Arial; font-size: 17px; font-weight: bold; line-height: 19px;"><br /><br /></span><br /><br /><br /><br /><span style="color: #0b5394;"> ที่มา : </span>wowboom<br /><br />____________________  <br /><br /><span style="color: #0b5394;"> เครดิต : </span>   <br /><br />________________________________ </div><br /><div><br /><script src="http://fastwebcounter.com/secure.php?s=http://allmysteryworld.blogspot.com/2011/07/voynich-manuscript.html"><br /></script>  Pageviews</div><br /><br /></div><br /></div>

หนังสือ ที่ลึกลับที่สุดในโลก ( Voynich manuscript )

Voynich manuscript เป็นหนังสือ ที่ลึกลับที่สุดในโลก เนื่องจากภาษาที่ใช้ได้มีการเข้ารหัส ที่ยังไม่สามารถถอดความได้ มันถูกเขียนด้วยปากกาขนนก ม...

อ่านเพิ่มเติม »

ข่าวบันเทิง

ภาพโฟโต้สติกเกอร์ของ Dara และ Bom เมื่อครั้งอดีต

Super Junior ปล่อยตัวอย่างมิวสิควีดีโอ ‘Mr. Simple’ ออกมาแล้ว

SHINee ปล่อย ‘JULIETTE’ เวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นออกมาแล้ว

Junsu ปล่อยเพลงประกอบละคร “Scene of a Woman” ออกมาแล้ว

2PM ปล่อยมิวสิควีดีโอ “I’m Your Man” ออกมาแล้ว

Park Si Yeon ถ่ายแแบบเครื่องประดับลง Cosmopolitan

ซอยวัดใจ

ฟอสซิล 4 ล้านปี เก่ากว่า “ป้าลูซี” แย้งความเชื่อวิวัฒนาการคนกับลิง

ไขปริศนาดาวอังคาร ตอนที่ 3

ไขปริศนาดาวอังคาร ตอนที่ 2

ไขปริศนาดาวอังคาร ตอนที่ 1

หนังสือ 'ฉันเป็นทหารนาวิกโยธิน' ของ Hyun Bin มียอดสั่งซื้อล่วงหน้าดีเกินคาด

Sousuke Takaoka ถูกไล่ออกหลังวิจารณ์เรื่องกระแสเกาหลีฟีเวอร์

“นาตาลี” เอือมข่าว “ขวัญ-หมวดบีม” บอกตนพูดความจริงไม่ชอบแอ๊บ

“เมย์” รับหน้าที่ปลอบใจ “อั้ม-เมย์ พิชนาฏ” เตือนคบผู้ชายให้ดูดีๆ

4minute ปล่อย ‘Freestyle’ เพลงประกอบเกมส์ออนไลน์ ออกมาแล้ว

AZIATIX ปล่อยมิวสิควีดีโอ ‘Slippin Away’ ออกมาแล้ว

“โบวี่” รับตอนห่าง “ไมค์” ต่างคนต่างคุยกับคนอื่น แต่ไม่เวิร์คเลยกลับมาคบกันใหม่

หนังสือ ที่ลึกลับที่สุดในโลก ( Voynich manuscript )

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก

ข่าวบันเทิง

เทคโนโลยี2

ข่าวบันเทิง

ข่าวต่างประเทศ

สุขภาพ

ข่าวต่างประเทศ4

เรื่องย่อละคร

ข่าวบันเทิง8