หนังสือ เป็นสิ่งพิมพ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้อ่านง่ายและเข้าใจวัตถุประสงค์ของ ผู้เขียน หากแต่กระนั้นก็ยังมีหนังสือและตัวอักษรมากมายที่คนอ่านแล้วอึ้งอย่างแรงว่า มันต้องการสื่ออะไรว่ะเนี้ย เนื่องจากผู้เขียนเขียนด้วยอักษรเฉพาะคนตนเองพร้อมกับภาพแปลกๆ ที่สื่อเหมือนไม่เต็มใจนำเสนอ เหมือนว่าปิดบังความลับที่สำคัญเกี่ยวกับศาสนาหรือเวทมนต์อะไรสักอย่าง และนี้คือ 10 หนังสือที่นักวิจัยและนักอักษรศาสตร์ งง ที่สุดในประวัติศาสตร์ ว่ามันต้องการสื่ออะไรกันแน่?



10.Codex Seraphinianus











เป็นหนังสือที่ออกแบบและเขียนโดยศิลปิน(สถาปนิก)ชาวอิตาลีหลุยส์(Luigi Serafini) ในช่วงสามสิบเดือน 1976-1978 หนังสือยาวกว่า 360 หน้า(ขึ้นอยู่กับรุ่น) เป็นหนังสือรวมภาพประหลาดพร้อมกับภาษาที่ไม่เข้าใจ







หนังสือแบ่งออกเป็นสิบเอ็ดบท แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะปรากฏขึ้นเพื่ออธิบายโลกธรรมชาติเกี่ยวกับพืช สัตว์ และฟิสิกซ์ หากแต่สัตว์และพืชแต่ละอย่างมันไม่มีในโลก เช่นแรดสองหัว ม้า ช้างน้ำ แรด นก หอยทากหลากสีสัน คนต่างดาว ดอกไม้แปลก ต้นไม้เดินได้ พืชมีขา เป็นต้น ส่วนที่สอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ศาสตร์ แง่มุมต่างๆ ของชีวิตมนุษย์ เสื้อผ้า ประวัติ อาหาร สถาปัตยอื่นๆ กีฬาแปลกๆ ส่วนตัวอักษรที่ปรากฏ ดูเหมือนเป็นอักษรจอร์เจีย หรือกลุ่มภาษาเซมิติกเขียนจากขวาไปซ้าย





แต่จนบัดนี้อักษรและภาพเหล่านั้นก็ไม่มีใครตีแตกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 80 ว่ามันสื่อถึงอะไรและคนเขียนก็ยังคงปากแข็งเกี่ยวกับความหมายนี้ แต่ กระนั้น มีคนวิเคราะห์ว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีเจตนาให้ลึกลับซ่อนเงื่อนหากแต่ต้อง การสื่อถึงโลกจินตนาการของผู้เขียน และหนังสือเล่มนี้ได้เป็นงานศิลปะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและภาพที่มีชื่อ เสียงที่สุดคือคนเปลือยกายกลายร่างเป็นจระเข้(ภาพหน้าปกของหนังสือ)





หน้าอื่นๆ

















9.The Liber Linteus








Liber Linteus เป็นตัวอักษรโบราณของพวกอีทรัสคันซึ่งเป็นชนกลุ่มหนึ่งที่มีวัฒนธรรมเฉพาะ ของตนที่รุ่งเรืองในอิตาลี เมื่อ 700 ปีก่อนคริสตกาลก่อนที่โรมจะเรืองอำนาจ(และวัฒนธรรมของอิทรัสนั้นโรมก็นำมา ใช้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น การชนประทาน หรือสงคราม)



Liber Linteus เป็นเอกสารที่มีข้อความเกี่ยวข้องกับพวกเขาที่ยาวที่สุด เก่าแก่ที่สุดที่มีชื่อเสียง โดยมันทำมาจากผ้าลินิน สิ่งที่น่าสนใจหนังสือที่ว่านั้นเป็นมันทำหน้าที่คล้ายผ้าห่อศพคลุมชาวอี ทรัสคันที่ตายแล้วนำไปฝังหรือเก็บรักษาไม่ให้เน่าเหมือนมัมมี่เหมือน วัฒนธรรมการรักษาศพของอียิปต์ และตอนที่พบหนังสือนี้ก็มาพร้อมกับมัมมี่เช่นกัน มัมมี่ที่พบพร้อมตัวอักษรนี้คาดว่าเป็นเพศหญิงที่มียศสูงศักดิ์พอสมควร เนื่องจากเวบานั้นผ้ามีราคาแพงมากและศพที่ถูกห่อด้วยผ้านั้นผู้ทำต้องมีฐานะ ดีพอสมควร



อักษรของ Liber Linteus ประกอบด้วย 1,200 คำ 230 บรรทัดอ่านจากขวาไปซ้าย แม้จะมีแถวที่หายไปบ้างแต่ก็ถือว่าเกือบสมบูรณ์ เขียนด้วยหมึกดำและหมึกสีแดงที่ขีดเป็นเส้นๆ เสมือนกับว่าเป็นเครื่องหมายในการออกเสียง และ จนบัดนี้ไม่มีใครอ่านภาษาของพวกเขาออกได้ทั้งหมด ภาษาเขียนเหมือนอักษรกรีกแต่ไม่สามารถจัดเข้าพวกใดๆได้เลย แม้จะขุดพบหลักฐานเป็นจำนวนมากแต่ก็ไม่มีคีย์เวิร์ดในการช่วยแปลอักษรเหล่า นี้ได้ แต่กระนั้นนักวิชาการสันนิษฐานว่า Liber Linteus น่าจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับปฏิทินพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ ศาสนา เกี่ยวกับชาวพวกอีทรัสคัน ปัจจุบันหนังสือนี้ถูกเก็บรักษาอย่างดี(พร้อม
มัมมี่) ในห้องเย็นของพิพิธภัณฑ์ ซาเกร็บ โครเอเชีย



8.The Book of Soyga








The Book of Soyga เป็น หนังสือลาตินเวทมนต์ในศตวรรษที่ 16 ที่รู้จักกันดีโดยนักวิชาการจอห์นดี หรือด็อกเตอร์ดี หลังจากที่เขาตายหนังสือนี้ก็หายไป จนกระทั้งปี 1994 มีการค้นพบสองต้นฉบับที่เหลือ



จอห์น ดี( 1608-1609) เขาเป็นนักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ โหร นำทำนาย และที่ปรึกษาพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 แห่ง อังกฤษในยุคนี้ โหราศาสตร์ได้ถูกพัฒนาไปสู่ความซับซ้อนมากถึงขีดสุด และเป็นที่แพร่หลายในหมู่กษัตริย์และผู้นำทางศาสนา เขามีผลงานเด่นคือได้วางฤกษ์วันพระราชพิธีราชาภิเษกของพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ โดยวางให้อาทิตย์ ศุกร์ และพฤหัส ทำมุมดีต่อดาวกำเนิดของพระองค์ ส่งผลให้พระราชินีทรงครองราชย์ยาวนานถึง 44 ปี



จอห์น ดีเป็นโหรที่มีความเชี่ยวชาญหลายแขนงไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ และการแพทย์ ซึ่งในช่วงปั่นปลายเขาได้หันมาเล่นแร่แปรธาตุ ศึกษาพลังเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อกับภูตสวรรค์ หรือการอ้างว่าเขาสามารถสร้างหินนักปราชญ์(ศิลาอาถรรพ์) แปรธาตุตะกั่วให้เป็นทองคำ หลายคนจึงเชื่อว่าหนังสือ The Book of Soyga ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเหตุผลนี้ แต่อย่างไรก็ตามหนังสือเริ่มนี้ปัจจุบันยังไม่สามารถตีความได้หมด หลายคนพยายามไขความลับของหนังสือเริ่มนี้เพราะเชื่อว่ามันได้บรรจุความรู้ ที่เหนือธรรมชาติเอาไว้ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เนื่องจากคำบางคำนั้นไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันใช้ยังไง หรือมีรหัสมากมายที่ปรากฏในหนังสือ เช่น วงกลม วงเวทย์เวทย์ ตาราง และรูปปริศนามากมาย






7.The Rohonc Codex







เป็น หนังสือลึกลับของฮังการีที่ไม่ทราบว่าเป็นหนังสืออะไรและใครเป็นคนเขียน ที่คาดว่าทำขึ้นเมื่อ ปี 1700(กระดาษทำขึ้นในปี 1530 แต่กระนั้นก็ไม่สามารถระบุได้แหล่งผลิตคือที่ไหน) มีทั้งหมด 448 หน้า ภาษาในหนังสือปัจจุบันไม่สามารถแปลได้ มันเป็นภาษาที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน นักวิชาการหลายคนมีความคิดเห็นมากมายว่า มันน่าจะเป็นภาษาโบราณจำพวกภาษาฮังการีโบราณ หรือไม่ก็ภาษาฮินดี(ภาษาฮินดีเป็นภาษาที่พูด ส่วนใหญ่ในประเทศอินเดียเหนือและกลาง) หรือภาษาโรมาเนีย แต่กระนั้นมันก็ขาดคุณสมบัติที่จะแปลภาษาดังกล่าวได้ ดังนั้นสิ่งที่คาดเดาได้ว่าหนังสือเรื่องนี้คืออะไรก็คงจะเป็นภาพประกอบใน เล่มเท่านั้น โดยภาพหนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 87 ภาพ ภาพเหล่านี้แสดงถึงภูมิประเทศ ฉากสภาพแวดล้อมของคนในศาสนาคริสเตียน คนในศาสนาฮินดูอยู่ร่วมกัน และมีสัญลักษณ์(อักษร) แปลกๆ อยู่บนภาพที่ บางอันรูปร่างเหมือนดวงอาทิตย์หรือพระจันทร์ นอกจากนี้ยังมีภาพการต่อสู้ของทหารด้วย ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้อยู่หอสมุด Hungarian Academy of Sciences ในฮังกา





6.Rongorongo








Rongorongo หรือรองโกรองโก้เป็นอักษรภาพที่ค้นพบเมื่อศตวรรษที่ 19 สลักในไม้กระดานปักหลุมศพของชาวเมืองราโนบนเกาะอิสเตอร์กลางมหาสมุทรแปซิฟิค ตัวอักษรต่างๆ มีรูปร่างเหมือนรูปมนุษย์ สัตว์(อารมณ์ไปทางไส้เดือน กิ่งกือ) พืช ศิลปวัตถุ รูปทรงเรขาคณิต แต่ จนบัดนี้ภาษานี้ก็ไม่มีใครหน้าไหนที่แปลออกและกลายเป็นภาษาลึกลับที่สุดใน โลกอีกอันดับ สาเหตุที่แปลไม่ได้เนื่องจากเกาะอิสเตอร์นั้นเป็นเกาะที่โดดเดี่ยวดังนั้น พวกเขาจึงมีภาษาเฉพาะโดยไม่มีอิทธิพลภาษาอื่นๆ มาเจือปน ทำให้นักโบราณคดีไม่สามารถหาคีย์ในการแปลได้ แต่กระนั้นก็มีการสันนิษฐานว่าบางที่รองโกรองโก้อาจไม่ใช่ภาษาอาจจะเป็นงาน ศิลปะไม่ก็ปฏิทินอะไรสักอย่าง และนอกจากภาษาแล้วนักโบราณคดียังไม่รู้เลยว่าชาวพื้นเมืองนี้อาศัยเกาะนี้ อย่างไรในเมื่อมันไม่มีอาหาร ไม่มีพื้นบ้าน หรือกระทั้งประวัติศาสตร์ก็ไม่มีใครกล่าวถึงพวกเขาเลยสักบท ส่วนใครอยากเห็นตัวอักษรชัดๆ ก็คลิปเว็บด้านบนได้เลย



5.The Beale Ciphers




เป็น ข้อความรหัสสามชุด ว่ากันว่ามันเป็นลายแทงสมบัติในการนำไปสู่ขุมสมบัติเงินทองและอัญมณีกว่า 40,000,000 ดอลลาร์ โดยสองชุดที่ว่าสามารถแปลได้คร่าวๆ ว่า เนื้อหาได้อธิบายถึงเนื้อหาสมบัติและรายชื่อของสมบัติของเจ้าของคือโทมัส เจฟเฟอร์สัน บีส( Thomas Jefferson Beale)ที่ซ่อนมันไว้ในสถานที่ลับในเบดฟอร์ด เวอรจีเนียเมื่อปี 1820 ก่อนที่เขาจะมอบรหัสลับนี้แก่เจ้าของโรงแรมท้องถิ่นชื่อโรเบิร์ต(Robert Morriss)เขา บอกว่าให้เปิดรหัสนี้หากเขาไม่กลับมา และขาก็หายสาบสูญไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย เจ้าของโรงแรมได้เปิดรหัสนี้ก็พบว่ามันเป็นรหัสตัวเลขแปลก ๆ เรียงกันโดย มีเลขหลักหนึ่ง หลักสิบ หลักร้อย เรียงเหมือนสลับกันเหมือนรหัสลับอะไรสักอย่าง เจ้าของโรงแรมพยายามไขปริศนานี้แต่ล้มเหลวเขาเลยได้ให้สามรหัสส่งต่อแก่ เพื่อนของเขาก่อนตาย และเพื่อนคนนั้นได้ใช้เวลาทั้งชีวิตในการพยายามถอดรหัสข้อความดังกล่าวนี้ จนสามารถแก้ปัญหาได้ส่วนหนึ่งคือบอกเนื้อหาและรายการสมบัติโดยวิธีไขโค รตง่าย(เขาบอกว่างั้น)โดยการใช้คำในประกาศอิสรภาพของอเมริกาเทียบตำแหน่งใน รหัสเท่านั้น หากแต่ส่วนสำคัญคือสถานที่ซ่อนจนบัดนี้ไม่สามารถไขได้ ต่อมารหัสนี้ถูกลงในหนังสือพิมพ์และแจกแผ่นพับเพื่อให้คนทั่วอเมริกามาช่วย กันไขรหัสนี้แต่จนบัดนี้ก็ไม่สามารถไขได้ ดังนั้นจึงมีคนมาสันนิษฐานว่ามันเป็นของปลอมแต่กระนั้นก็ไม่มีหลักฐานใด พิสูจน์เรื่องนี้



4.Kryptos












Artist Jim Sanborn's เป็นประติมากรรมที่ไม่ใช้เอกสาร หากแต่ทำมาจากหิน ไม้ และทองแดง ตัวตั้งอยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงใต้ของศูนย์บัญชาการใหม่ของ CIA สลักไว้ด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ 26 ตัวบวกเครื่องหมายคำถาม ตัวอักษรเหล่านั้นรวมกันทั้งหมดมีถึง 869 คำว่า คริปโตสเป็นภาษากรีก แปลว่า ซ่อนอยู่ ซึ่งแน่นอนว่า ตัวอักษรทั้ง 869 ตัวนั้นก็คือรหัสลับนั่นเอง



เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า วันหนึ่ง CIA เกิดอยากได้ประติมากรรมเจ๋งๆไว้ประดับหน่วยงานของตน จึงได้ขอให้ประติมากรคนหนึ่งที่มีชื่อว่า James Sanbornทำขึ้นมาให้ ทีนี้นาย Sanborn ก็เลยไปเรียนรู้วิชารหัสลับจาก Ed Scheidt ซึ่งเป็นถึงอดีตประธานหน่วยถอดรหัสของ CIA จนนำเทคนิคเหล่านั้นมาสร้างเป็นรหัสลับในประติมากรรมของเขานั่นเองครับ



ปัจจุบันเจ้าประติมากรรมชิ้นนี้เป็นที่สนใจของคนที่หลงใหลในการถอดรหัสไป ทั่วโลก ซึ่งรหัสลับใน Kryptos นั้นถูกไขออกได้เพียงแค่สามในสี่ส่วนเท่านั้นในปี 1999 คนแรกที่ออกมาพูดอย่างเปิดเผยก็คือ นาย James Gillogly นัก วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ นายคนนี้เขาใช้เทคนิคในการถอดรหัสกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขียนขึ้นเองช่วย ในการไขความลับของรหัสออกมาได้ถึงสามส่วน หลังจากนั้น CIA ก็ออกมาอ้างว่าไขรหัสได้แล้วสามส่วนเหมือนกันตั้งแต่ปี 98 ส่วน NSA ก็ออกมาบอกว่าไขได้แล้วตั้งแต่ปี 92 แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีใครสามารถถอดรหัสส่วนสุดท้าย 97-98 ตัวออกมาได้อยู่ดี และคุณสามารถดูรายละเอียดที่ว่าได้ที่ลิงค์ข้างบน



3.The Urantia Book 






เป็นหนังสือปรัชญา และจิตวิญญาณที่ไม่มีชื่อผู้เขียน โดยเนื้อหากล่าวถึง พระเจ้า พระเยซู จักรวาล วิทยาศาสตร์ ประวัติ และโชคชะตา ที่เผยแพร่ในชิคาโก อิลลินอยด์ ประเทศสหรัฐอเมริการะหว่าง 1925-1955 มีการถกเถียงมากในเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้(มีการแปลเป็นภาษาอื่นๆ กว่า 11 ภาษา) โดยคำนำของหนังสือได้แนะนำดาวเคราะห์หนึ่งชื่อโลก(โดยใช้ชื่อดาวว่า Urantia) และนำเสนอแนวคิดในการฝึกพลังจิตวิญญาณขั้นสูง ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับพระเจ้า ไปจนถึงบอกอนาคตโลก หนังสือเล่มนี้ยาวถึง 2,097หน้า หนังสือไม่ระบุผู้เขียนหากแต่หนังสือบอกว่าเครดิตทั้งหมดมาจากคำสั่งของฟ้า สาเหตุเนื่องมาจากในปี 1925 นายวิลเลี่ยม แซดเลอร์ (William Sadler) ได้ นิมิต(หรือหลับลึก)อ้างว่าเขาติดต่อกับพระเจ้าได้ เขาเปร่งเสียงพูดที่มีความยาวและเขาได้ให้นักชวเลขจดคำพูดของเขาไว้ ซึ่งคำพูดของเหล่านั้นได้แพทย์ตกตะลึงให้กับทางการแพทย์เพราะว่าแต่ละคำนั้น เหนือธรรมชาติมากๆ ก็ว่าได้ ว่ากันว่าหนังสือเล่มนี้ใช้ศัพท์ซับซ้อนและมีรายละเอียดมาก นักวิชาการทางศาสนาพยายามแปลหนังสือและสัญลักษณ์ทางศาสนาแต่สุดท้ายก็ยังคง เป็นปริศนาต่อไป

2.The Gnostic Gospels



บันทึกของคัมภีร์นอสติก (Gnostic gospels) เป็นหนังสือที่เก็บความรู้หรือคำสอนของพระเยซูที่เขียนขึ้นเมื่อ 2nd –4th หากแต่หนังสือ(gospels แบบว่าพระวรสาร)นี้ไม่ได้ถูกรับเลือกเป็นพระคัมภีร์ ไม่ได้รับการยอมรับหรือบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ กอสเปล(และอีกหลายเล่ม)นี้ถูกเรียกว่าเป็น ‘งานเขียนที่ผิดพลาด’ (pseudepigrapha) บ้าง หรือเรียกว่า ‘สิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้’ และ ถูกหาว่าเป็นหนังสือนอกรีตจนถูกทำลายไปจนหายไปหลายศตวรรษ ก่อนที่ถูกค้นพบเมื่อปี 1945(สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด) โดยเกษตรกรในประเทศอียิปต์ หากมันไม่เหมือนหนังสือในอันดับอื่นๆ เพราะนักวิชาการทั่วๆไปเข้าใจในเรื่อง Gospels และ ได้แปลเป็นที่เรียบร้อยในหลายแบบ ยกเว้นแต่สิ่งที่ค้นพบนั้นจะมีเนื้อหาทีลึกลับซุกซ่อนอยู่ บางที่มันอาจซุกซ่อนหลักคำสอนของพระเยซูที่ไม่เคยปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่ หรือความลับที่สั่นคลอนต่อศาสนา





และก็มาถึงลำดับที่หนึ่งของหนังสือที่ลึกลับ สุดพิลึก คือ



1. Voynich manuscript








Voynich manuscript เป็น หนังสือ ที่ลึกลับที่สุดในโลกเนื่องจากทุกข้อความในหนังสือล้วนพิศวงและแปลกประหลาด ภาษาที่ใช้ก็ไม่สามารถไขได้ว่ามันต้องอ่านด้วยวิธีอะไร โดยหนังสือเล่มนี้พบในห้องสมุดโรมันคาธอบิคนิกายหนึ่งในปี 1800 ไม่ระบุผู้เขียนหรือปีที่ผลิต แต่คาดว่าน่าจะเขียนเมื่อศตวรรษที่ 15 เขียนด้วย ปากกาขนนก มีขนาด 6 x 9 นิ้ว หนา 11/2นิ้ว มีอยู่ 240 หน้า แต่บางหน้าขาดหายไป ปกสมุดทำจากหนังลูกวัวสีครีม



Voynich manuscript เป็น หนังสือที่ยังคงมีเสน่ห์ในต่อนักภาษาศาสตร์คนคนชอบเรื่องลึกลับในการไข ปริศนา โดยภายในหนังสือนี้เต็มไปด้วยรหัสปริศนามากมายที่เขียนด้วยภาษาที่ไม่พบเห็น มาก่อนบนโลกใบนี้ ดังนั้นสิ่งที่อธิบายว่าหนังสือนี้เป็นหนังสืออะไรก็คือภาพวาดประกอบเท่า นั้น หากแต่กับกลายเป็นความดำมืดยิ่งขึ้น เมื่อภาพวาดประกอบ มีทั้ง พืชพันธุ์แปลก ๆ ภาพผู้หญิงเปลือยเชื่อมด้วยท่อที่ดูคล้ายเส้นโลหิต มีภาพคล้ายแผนผังเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ภาพแผนภูมิจักรราศี มีภาพผู้หญิงเปลือยถือดวงดาวล้อมรอบจักรราศีอยู่ บางหน้าก็สามารถคลี่ออกมาได้อีกเป็น 6 หน้า มี ภาพวาดหน้าผังดาราศาสตร์ ภาพคล้าย กาแลคซี่ แอนโดรมีดา ที่มองจากกล้องเทเลสโคป ภาพที่มองจากกล้องโทรทัศน์ และภาพคล้ายเซลล์ สิ่งมีชีวิตที่มองผ่านกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งสมัยก่อนไม่น่าจะมีกล้องโทรทัศน์หรือกล้องเทเลสโคปได้เลย ทำให้มีหลายคนสันนิษฐานว่าหนังสือเล่มนี้เป้นของปลอม แต่กระนั้นด้วยความซับซ้อนของไวยากรณ์เกินกว่าที่จะได้รับการปลอม และเร็วๆ นี้มีการพิสูจน์แล้วว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของจริงแต่สุดท้ายวัตถุประสงค์ของ หนังสือเล่มนี้ยังคงลึกลับอยู่ดี



ปัจจุบันหนังสือลึกลับนี้เก็บไว้ในถูกเก็บรักษาอยู่ที่ห้องสมุดเบนเนคเก้ (Beinecke Rare Bood & Manuscript Library)




ที่มา :

____________________

เครดิต :

________________________________
Pageviews

แสดงความคิดเห็น

 
Top