เรื่องของ Face on Mars หรือใบหน้าบนดาวอังคาร เป็นที่ถกเถียงกันมาหลายปีแล้ว ว่ามันเป็นเรื่องจริง เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีอยุ่บนดาวอังคารจริงๆ หรือว่าเป็นแค่ความบังเอิญ อันเนื่องมาจากข้อผิดพลาดทางเทคนิคของการถ่ายภาพ คนที่มีมนุษย์ต่างดาวในหัวใจต่างก็หวังกันลึกๆ ว่ามันน่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างของอารยธรรมบนดาวอังคาร เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกก็อยู่ไม่ไกลเลย









จากการศึกษาหลายต่อหลายปี จากกลุ่มนักวิชาการและนักลึกลับศาสตร์จำนวนมากพบว่า เรื่องของดาวอังคาร มีจารึกอยู่ในตำนานโบราณมากมาย โดยเฉพาะคัมภ์ไบเบิล มีการกล่าวถึงการสู้รบของเทวทูตสองฝ่าย บางคนเชื่อว่า เหตุการในพระคัมภีร็ตอนหนึ่งที่กล่าวถึงที่มั่นของเทวทูตฝ่ายกบฏ ก็คือเมืองบนดาวอังคารนี่เอง แต่นั่นก็เป็นเพียงการตีความครับ หาหลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ ดังนั้นคนที่กระหายใคร่รู้เรื่องนี้จึงได้แต่รอผลพิสูจน์จากองค์การนาสา เพียงอย่างเดียว นับตั้งแต่มีการพบใบหน้าบนภาพถ่ายใบแรก นาสาก็ส่งยานอวกาศและดาวเทียมไปสำรวจดาวอังคารเป็นว่าเล่น น่าเสียดายที่ไม่มีลำไหนสามารถลงไปถ่ายภาพชนิดใกล้ชิดได้เลย เนื่องจากเครื่องมักจะ "ขัดข้อง" ทุกครั้งเมื่อเข้าสู่บรรยากาศของดาวอังคาร















ชาวกรีกโบราณเรียกดาวดวงนี้ว่า Red Planet หรือ ดาวเคราะห์สีแดง Mars เป็นชื่อโรมันครับ ชื่อในภาษากรีกคือ Ares เทพแห่งสงคราม เป็นดวงดาวที่มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ชัดเจนพอๆกับดาวศุกร์ และใช้เป็นเครื่องหมายบอกทิศของนักเดินทางในสมัยก่อน



ดาวอังคารเป็นที่ดึงดูดใจของนักดาราศาสตร์ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น อาจจะเนื่องมาจากความสวยงามของมันครับ นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า อาจเคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคาร ในขณะที่บางคนเสนอแนวคิดว่า ต่อไป ดาวอังคารอาจเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตในอนาคต ก็ตามแต่จะว่ากันไปล่ะครับ ที่แน่ๆก็คือ ดาวอังคารจะเป็นเป้าหมายแรกของมนุษย์ชาติ ในยุคแห่งการบุกเบิกอวกาศ ซึ่งจะมาถึงในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน



ดาวอังคารเป็นดาวดวงแรกที่เป็นทางผ่าน หากมนุษย์ต้องการเดินทางออกนอกระบบสุริยะ เชื่อไหมครับว่า ในช่วงที่ดาวอังคารอยู่ใกล้โลกที่สุด มันจะดูสว่างสุกใสกว่าดาวดวงใดๆบนท้องฟ้า พื้นดินสีแดงของดาวอังคารทำให้นักวิทยาศาสตร์เรียกดาวดวงนี้กันเล่นๆว่า "Red Planet" ครับ



ปีหนึ่งของดาวอังคารกินเวลา 779.9 วันหากนับตามเวลาของโลก และวันหนึ่งบนดาวอังคารจะยาวกว่าโลกของเราประมาณ 37 นาที บรรยากาศส่วนมากเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ประปรายที่แกนเหนือและใต้ของดาว พื้นผิวของดาวอังคารเต็มไปด้วยหลุมอุกาบาต หุบเหว แนวภูเขาไฟ ตลอดจนคลองยาวเหยียดที่ไม่มีน้ำ ปกติแล้วดาวอังคารจะมีพายุอย่างรุนแรงตลอดเวลา อนุภาคฝุ่นเล็กๆเหล่านี้จะลอยขึ้นสูงมาก จนบางครั้งปกคลุมชั้นบรรยากาศจนมองไม่เห็นพื้นผิวของดาวเลย ดาวอังคารมีดวงจัทร์เป็นบริวารอยู่สองดวงครับ ชื่อ โฟโบส กับ เดมิออส ( Phobos and Demios ) เนื่องจากขนาดของดวงจันทร์ทั้งสองนี้เล็กมาก นักวิทยาศาสตร์จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า ดวงจันทร์เหล่านี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หากแต่เป็นอุกาบาต หรือดาวเคราะห์น้อยที่บังเอิญโคจรผ่านมา แล้วถูกแรงดึงดูดของดาวอังคารจับเอาไว้ครับ





 นักดาราศาสตร์ยุคใหม่ผิดหวังไปตามๆกันครับ เมื่อการสำรวจของศตวรรษที่ 20 นำทีมโดยสหรัฐอเมริกาและโซเวียตรัสเซียเก่า ต่างยืนยันว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆบนดาวอังคาร และยิ่งผิดหวังหนักขึ้นไปอีก เมื่อได้ศึกษาถึงบรรยากาศของดาวอังคาร ตลอดจนภูมิประเทศ เพราะมันไม่เอื้ออำนวยต่อสิ่งมีชีวิตเลย พวกจุลชีวะอาจจะพอดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่สัตว์ที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อน พอที่จะสร้างอารยธรรมขึ้นมาอย่างมนุษย์เนี่ย เห็นทีจะมีอยู่ยากครับ



ความหวังของการพบสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารเริ่มเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนาสาและองค์กรอวกาศ ของอดีตสหภาพโซเวียตรัสเซีย ต่างทยอยประกาศรายละเอียดการค้นพบ ที่ยานสำรวจต่างๆได้มาจากดาวอังคาร ภาพถ่ายจากยานมารีเนอร์ 9 และ ยานสำรวจจากยานไวกิ้ง 1 และ 2 ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มคล้อยตามแล้วว่า บนดาวอังคาร มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่โต ลักษณะเป็นปิระมิดเรียงรายกันล้อมรอบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่มีลักษณะเป็นใบหน้าคนอยู่จริง





ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาภาพ "ใบหน้าบนดาวอังคาร"







ส่วนที่เรียกกันว่า "Inca City"ครับ




ที่มา :

____________________

เครดิต :

________________________________



Pageviews

แสดงความคิดเห็น

 
Top