หนังสือแบ่งออกเป็นสิบเอ็ดบท แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะปรากฏขึ้นเพื่ออธิบายโลกธรรมชาติเกี่ยวกับพืช สัตว์ และฟิสิกซ์ หากแต่สัตว์และพืชแต่ละอย่างมันไม่มีในโลก เช่นแรดสองหัว ม้า ช้างน้ำ แรด นก หอยทากหลากสีสัน คนต่างดาว ดอกไม้แปลก ต้นไม้เดินได้ พืชมีขา เป็นต้น ส่วนที่สอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ศาสตร์ แง่มุมต่างๆ ของชีวิตมนุษย์ เสื้อผ้า ประวัติ อาหาร สถาปัตยอื่นๆ กีฬาแปลกๆ ส่วนตัวอักษรที่ปรากฏ ดูเหมือนเป็นอักษรจอร์เจีย หรือกลุ่มภาษาเซมิติกเขียนจากขวาไปซ้าย
หน้าอื่นๆ
Liber Linteus เป็นตัวอักษรโบราณของพวกอีทรัสคันซึ่งเป็นชนกลุ่มหนึ่งที่มีวัฒนธรรมเฉพาะ ของตนที่รุ่งเรืองในอิตาลี เมื่อ 700 ปีก่อนคริสตกาลก่อนที่โรมจะเรืองอำนาจ(และวัฒนธรรมของอิทรัสนั้นโรมก็นำมา ใช้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น การชนประทาน หรือสงคราม)
Liber Linteus เป็นเอกสารที่มีข้อความเกี่ยวข้องกับพวกเขาที่ยาวที่สุด เก่าแก่ที่สุดที่มีชื่อเสียง โดยมันทำมาจากผ้าลินิน สิ่งที่น่าสนใจหนังสือที่ว่านั้นเป็นมันทำหน้าที่คล้ายผ้าห่อศพคลุมชาวอี ทรัสคันที่ตายแล้วนำไปฝังหรือเก็บรักษาไม่ให้เน่าเหมือนมัมมี่เหมือน วัฒนธรรมการรักษาศพของอียิปต์ และตอนที่พบหนังสือนี้ก็มาพร้อมกับมัมมี่เช่นกัน มัมมี่ที่พบพร้อมตัวอักษรนี้คาดว่าเป็นเพศหญิงที่มียศสูงศักดิ์พอสมควร เนื่องจากเวบานั้นผ้ามีราคาแพงมากและศพที่ถูกห่อด้วยผ้านั้นผู้ทำต้องมีฐานะ ดีพอสมควร
อักษรของ Liber Linteus ประกอบด้วย 1,200 คำ 230 บรรทัดอ่านจากขวาไปซ้าย แม้จะมีแถวที่หายไปบ้างแต่ก็ถือว่าเกือบสมบูรณ์ เขียนด้วยหมึกดำและหมึกสีแดงที่ขีดเป็นเส้นๆ เสมือนกับว่าเป็นเครื่องหมายในการออกเสียง และ จนบัดนี้ไม่มีใครอ่านภาษาของพวกเขาออกได้ทั้งหมด ภาษาเขียนเหมือนอักษรกรีกแต่ไม่สามารถจัดเข้าพวกใดๆได้เลย แม้จะขุดพบหลักฐานเป็นจำนวนมากแต่ก็ไม่มีคีย์เวิร์ดในการช่วยแปลอักษรเหล่า นี้ได้ แต่กระนั้นนักวิชาการสันนิษฐานว่า Liber Linteus น่าจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับปฏิทินพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ ศาสนา เกี่ยวกับชาวพวกอีทรัสคัน ปัจจุบันหนังสือนี้ถูกเก็บรักษาอย่างดี(พร้อม
มัมมี่) ในห้องเย็นของพิพิธภัณฑ์ ซาเกร็บ โครเอเชีย
8.The Book of Soyga
จอห์น ดี( 1608-1609) เขาเป็นนักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ โหร นำทำนาย และที่ปรึกษาพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 แห่ง อังกฤษในยุคนี้ โหราศาสตร์ได้ถูกพัฒนาไปสู่ความซับซ้อนมากถึงขีดสุด และเป็นที่แพร่หลายในหมู่กษัตริย์และผู้นำทางศาสนา เขามีผลงานเด่นคือได้วางฤกษ์วันพระราชพิธีราชาภิเษกของพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ โดยวางให้อาทิตย์ ศุกร์ และพฤหัส ทำมุมดีต่อดาวกำเนิดของพระองค์ ส่งผลให้พระราชินีทรงครองราชย์ยาวนานถึง 44 ปี
จอห์น ดีเป็นโหรที่มีความเชี่ยวชาญหลายแขนงไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ และการแพทย์ ซึ่งในช่วงปั่นปลายเขาได้หันมาเล่นแร่แปรธาตุ ศึกษาพลังเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อกับภูตสวรรค์ หรือการอ้างว่าเขาสามารถสร้างหินนักปราชญ์(ศิลาอาถรรพ์) แปรธาตุตะกั่วให้เป็นทองคำ หลายคนจึงเชื่อว่าหนังสือ The Book of Soyga ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเหตุผลนี้ แต่อย่างไรก็ตามหนังสือเริ่มนี้ปัจจุบันยังไม่สามารถตีความได้หมด หลายคนพยายามไขความลับของหนังสือเริ่มนี้เพราะเชื่อว่ามันได้บรรจุความรู้ ที่เหนือธรรมชาติเอาไว้ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เนื่องจากคำบางคำนั้นไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันใช้ยังไง หรือมีรหัสมากมายที่ปรากฏในหนังสือ เช่น วงกลม วงเวทย์เวทย์ ตาราง และรูปปริศนามากมาย
6.Rongorongo
5.The Beale Ciphers
4.Kryptos
Artist Jim Sanborn's เป็นประติมากรรมที่ไม่ใช้เอกสาร หากแต่ทำมาจากหิน ไม้ และทองแดง ตัวตั้งอยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงใต้ของศูนย์บัญชาการใหม่ของ CIA สลักไว้ด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ 26 ตัวบวกเครื่องหมายคำถาม ตัวอักษรเหล่านั้นรวมกันทั้งหมดมีถึง 869 คำว่า คริปโตสเป็นภาษากรีก แปลว่า ซ่อนอยู่ ซึ่งแน่นอนว่า ตัวอักษรทั้ง 869 ตัวนั้นก็คือรหัสลับนั่นเอง
เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า วันหนึ่ง CIA เกิดอยากได้ประติมากรรมเจ๋งๆไว้ประดับหน่วยงานของตน จึงได้ขอให้ประติมากรคนหนึ่งที่มีชื่อว่า James Sanbornทำขึ้นมาให้ ทีนี้นาย Sanborn ก็เลยไปเรียนรู้วิชารหัสลับจาก Ed Scheidt ซึ่งเป็นถึงอดีตประธานหน่วยถอดรหัสของ CIA จนนำเทคนิคเหล่านั้นมาสร้างเป็นรหัสลับในประติมากรรมของเขานั่นเองครับ
ปัจจุบันเจ้าประติมากรรมชิ้นนี้เป็นที่สนใจของคนที่หลงใหลในการถอดรหัสไป ทั่วโลก ซึ่งรหัสลับใน Kryptos นั้นถูกไขออกได้เพียงแค่สามในสี่ส่วนเท่านั้นในปี 1999 คนแรกที่ออกมาพูดอย่างเปิดเผยก็คือ นาย James Gillogly นัก วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ นายคนนี้เขาใช้เทคนิคในการถอดรหัสกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขียนขึ้นเองช่วย ในการไขความลับของรหัสออกมาได้ถึงสามส่วน หลังจากนั้น CIA ก็ออกมาอ้างว่าไขรหัสได้แล้วสามส่วนเหมือนกันตั้งแต่ปี 98 ส่วน NSA ก็ออกมาบอกว่าไขได้แล้วตั้งแต่ปี 92 แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีใครสามารถถอดรหัสส่วนสุดท้าย 97-98 ตัวออกมาได้อยู่ดี และคุณสามารถดูรายละเอียดที่ว่าได้ที่ลิงค์ข้างบน
3.The Urantia Book
เป็นหนังสือปรัชญา และจิตวิญญาณที่ไม่มีชื่อผู้เขียน โดยเนื้อหากล่าวถึง พระเจ้า พระเยซู จักรวาล วิทยาศาสตร์ ประวัติ และโชคชะตา ที่เผยแพร่ในชิคาโก อิลลินอยด์ ประเทศสหรัฐอเมริการะหว่าง 1925-1955 มีการถกเถียงมากในเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้(มีการแปลเป็นภาษาอื่นๆ กว่า 11 ภาษา) โดยคำนำของหนังสือได้แนะนำดาวเคราะห์หนึ่งชื่อโลก(โดยใช้ชื่อดาวว่า Urantia) และนำเสนอแนวคิดในการฝึกพลังจิตวิญญาณขั้นสูง ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับพระเจ้า ไปจนถึงบอกอนาคตโลก หนังสือเล่มนี้ยาวถึง 2,097หน้า หนังสือไม่ระบุผู้เขียนหากแต่หนังสือบอกว่าเครดิตทั้งหมดมาจากคำสั่งของฟ้า สาเหตุเนื่องมาจากในปี 1925 นายวิลเลี่ยม แซดเลอร์ (William Sadler) ได้ นิมิต(หรือหลับลึก)อ้างว่าเขาติดต่อกับพระเจ้าได้ เขาเปร่งเสียงพูดที่มีความยาวและเขาได้ให้นักชวเลขจดคำพูดของเขาไว้ ซึ่งคำพูดของเหล่านั้นได้แพทย์ตกตะลึงให้กับทางการแพทย์เพราะว่าแต่ละคำนั้น เหนือธรรมชาติมากๆ ก็ว่าได้ ว่ากันว่าหนังสือเล่มนี้ใช้ศัพท์ซับซ้อนและมีรายละเอียดมาก นักวิชาการทางศาสนาพยายามแปลหนังสือและสัญลักษณ์ทางศาสนาแต่สุดท้ายก็ยังคง เป็นปริศนาต่อไป
2.The Gnostic Gospels
บันทึกของคัมภีร์นอสติก (Gnostic gospels) เป็นหนังสือที่เก็บความรู้หรือคำสอนของพระเยซูที่เขียนขึ้นเมื่อ 2nd –4th หากแต่หนังสือ(gospels แบบว่าพระวรสาร)นี้ไม่ได้ถูกรับเลือกเป็นพระคัมภีร์ ไม่ได้รับการยอมรับหรือบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ กอสเปล(และอีกหลายเล่ม)นี้ถูกเรียกว่าเป็น ‘งานเขียนที่ผิดพลาด’ (pseudepigrapha) บ้าง หรือเรียกว่า ‘สิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้’ และ ถูกหาว่าเป็นหนังสือนอกรีตจนถูกทำลายไปจนหายไปหลายศตวรรษ ก่อนที่ถูกค้นพบเมื่อปี 1945(สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด) โดยเกษตรกรในประเทศอียิปต์ หากมันไม่เหมือนหนังสือในอันดับอื่นๆ เพราะนักวิชาการทั่วๆไปเข้าใจในเรื่อง Gospels และ ได้แปลเป็นที่เรียบร้อยในหลายแบบ ยกเว้นแต่สิ่งที่ค้นพบนั้นจะมีเนื้อหาทีลึกลับซุกซ่อนอยู่ บางที่มันอาจซุกซ่อนหลักคำสอนของพระเยซูที่ไม่เคยปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่ หรือความลับที่สั่นคลอนต่อศาสนา
และก็มาถึงลำดับที่หนึ่งของหนังสือที่ลึกลับ สุดพิลึก คือ
1. Voynich manuscript
2.The Gnostic Gospels
บันทึกของคัมภีร์นอสติก (Gnostic gospels) เป็นหนังสือที่เก็บความรู้หรือคำสอนของพระเยซูที่เขียนขึ้นเมื่อ 2nd –4th หากแต่หนังสือ(gospels แบบว่าพระวรสาร)นี้ไม่ได้ถูกรับเลือกเป็นพระคัมภีร์ ไม่ได้รับการยอมรับหรือบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ กอสเปล(และอีกหลายเล่ม)นี้ถูกเรียกว่าเป็น ‘งานเขียนที่ผิดพลาด’ (pseudepigrapha) บ้าง หรือเรียกว่า ‘สิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้’ และ ถูกหาว่าเป็นหนังสือนอกรีตจนถูกทำลายไปจนหายไปหลายศตวรรษ ก่อนที่ถูกค้นพบเมื่อปี 1945(สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด) โดยเกษตรกรในประเทศอียิปต์ หากมันไม่เหมือนหนังสือในอันดับอื่นๆ เพราะนักวิชาการทั่วๆไปเข้าใจในเรื่อง Gospels และ ได้แปลเป็นที่เรียบร้อยในหลายแบบ ยกเว้นแต่สิ่งที่ค้นพบนั้นจะมีเนื้อหาทีลึกลับซุกซ่อนอยู่ บางที่มันอาจซุกซ่อนหลักคำสอนของพระเยซูที่ไม่เคยปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่ หรือความลับที่สั่นคลอนต่อศาสนา
และก็มาถึงลำดับที่หนึ่งของหนังสือที่ลึกลับ สุดพิลึก คือ
1. Voynich manuscript
Voynich manuscript เป็น หนังสือ ที่ลึกลับที่สุดในโลกเนื่องจากทุกข้อความในหนังสือล้วนพิศวงและแปลกประหลาด ภาษาที่ใช้ก็ไม่สามารถไขได้ว่ามันต้องอ่านด้วยวิธีอะไร โดยหนังสือเล่มนี้พบในห้องสมุดโรมันคาธอบิคนิกายหนึ่งในปี 1800 ไม่ระบุผู้เขียนหรือปีที่ผลิต แต่คาดว่าน่าจะเขียนเมื่อศตวรรษที่ 15 เขียนด้วย ปากกาขนนก มีขนาด 6 x 9 นิ้ว หนา 11/2นิ้ว มีอยู่ 240 หน้า แต่บางหน้าขาดหายไป ปกสมุดทำจากหนังลูกวัวสีครีม
Voynich manuscript เป็น หนังสือที่ยังคงมีเสน่ห์ในต่อนักภาษาศาสตร์คนคนชอบเรื่องลึกลับในการไข ปริศนา โดยภายในหนังสือนี้เต็มไปด้วยรหัสปริศนามากมายที่เขียนด้วยภาษาที่ไม่พบเห็น มาก่อนบนโลกใบนี้ ดังนั้นสิ่งที่อธิบายว่าหนังสือนี้เป็นหนังสืออะไรก็คือภาพวาดประกอบเท่า นั้น หากแต่กับกลายเป็นความดำมืดยิ่งขึ้น เมื่อภาพวาดประกอบ มีทั้ง พืชพันธุ์แปลก ๆ ภาพผู้หญิงเปลือยเชื่อมด้วยท่อที่ดูคล้ายเส้นโลหิต มีภาพคล้ายแผนผังเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ภาพแผนภูมิจักรราศี มีภาพผู้หญิงเปลือยถือดวงดาวล้อมรอบจักรราศีอยู่ บางหน้าก็สามารถคลี่ออกมาได้อีกเป็น 6 หน้า มี ภาพวาดหน้าผังดาราศาสตร์ ภาพคล้าย กาแลคซี่ แอนโดรมีดา ที่มองจากกล้องเทเลสโคป ภาพที่มองจากกล้องโทรทัศน์ และภาพคล้ายเซลล์ สิ่งมีชีวิตที่มองผ่านกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งสมัยก่อนไม่น่าจะมีกล้องโทรทัศน์หรือกล้องเทเลสโคปได้เลย ทำให้มีหลายคนสันนิษฐานว่าหนังสือเล่มนี้เป้นของปลอม แต่กระนั้นด้วยความซับซ้อนของไวยากรณ์เกินกว่าที่จะได้รับการปลอม และเร็วๆ นี้มีการพิสูจน์แล้วว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของจริงแต่สุดท้ายวัตถุประสงค์ของ หนังสือเล่มนี้ยังคงลึกลับอยู่ดี
ปัจจุบันหนังสือลึกลับนี้เก็บไว้ในถูกเก็บรักษาอยู่ที่ห้องสมุดเบนเนคเก้ (Beinecke Rare Bood & Manuscript Library)
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
Pageviews
แสดงความคิดเห็น