Klaus dona , เป็นนักโบราณคดีที่สนใจศึกษาปริศนาที่มาของความเป็นมาของมนุษย์



## ทำไมเขาถึงเริ่มสนใจ และศึกษาใน field นี้ ##

ตั้งแต่ 1987 เขาเปิด Culture Exhibition (งานแสดงนิทรรศการด้านวัฒนธรรม)ขึ้นทั่วโลกตั้งแต่ ออสเตรียถึงญี่ปุ่น มาตลอด 20 ปี เปิดการแสดงนิทรรศการมามากกว่า 25 ครั้ง ในระหว่างาเขาได้อ่านหนังสือของผู้แต่งที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ซึ่งเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับโบราณวัตถุลึกลับ ( mystery object ) ที่พบได้ทั่วโลก ในครั้งแรกเขาเองก็ไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลย จนมีวันหนึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจหากรวบรวมพวก ‘‘artifact” (สิ่งที่ไม่ได้รับการยืนยัน, ศิลปสมัยโบราณ ) มาจัดแสดงที่ Indiana เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาว่าเป็นของเก่าแก่จริง หรือ เพิ่งถูกสร้างมาใหม่







หลังจากนั้น ปี 1997 เขากับเพื่อนร่วมงานได้เริ่มสนใจใน artifact ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ เขาได้ทำการศึกษาหาข้อมูลในช่วงเวลา 1 ปีครึ่ง และพบว่ามีทั้งหมด 150 ชิ้นในพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก เขาจึงทำเรื่องขอยืม หลังจากนั้นมีจดหมายตอบรับกลับมาเพียง 1 ฉบับ ส่วนฉบับอื่นๆ ปฏิเสธโดยอ้างว่าไม่สามารถให้ยืมได้ เนื่องจากพิพิธภัณฑ์ใช้งานอยู่ หรือ โบราณวัตถุอยู่ในสภาพที่ไม่ดี และอื่นๆ อีกมาก



เพื่อนร่วมงานต่างบอกให้เขายอมแพ้ และถอนตัว เพราะไม่มีโอกาสทำสำเร็จ แต่เขายังไม่อยากยอมแพ้ จึงเริ่มศึกษาใหม่อีก 1 ปีครึ่ง โดยเดินทางไปอเมริกาใต้, อเมริกา, เม็กซิโก, เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และที่อื่นๆ เพื่อไปขอยืมวัตถุโบราณตามพิพิธพันธ์ต่างๆ โดยสร้างความมั่นใจว่าเขามีความรู้และความสามารถในการดูแลวัตถุโบราณเหล่านั้น สามารถอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้าย มีประสบการณ์จัดโชว์วัตถุโบราณต่าง ๆ ที่มีค่า เช่น original painting ของใครมั้ยรู้ (ฟังไม่ออก) ข้อดีของเขา คือ เขาสามารถพูดได้หลายภาษาและรู้จักวัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ ซึ่งช่วยได้ดีในการเจรจาต่อรอง (สรุปว่าเขาเหนื่อยมากในการจัดการนี้) จนกระทั่ง วันที่ 21 มิถุนายน 2001 เขาสามารถจัดโชว์ artifact ที่ประหลาดได้ทั้งหมด 470 ชิ้น



ที่น่าแปลกคือ หลักฐานพวกนี้เมื่อให้นักวิทยาศาสตร์ตรวจ พบว่าเป็นวัตถุเก่าแก่จริง ไม่ได้ถูกสร้างมาใหม่ จึงเริ่มทำให้เขาประหลาดใจ หลังจากนั้นจึงเกิดแรงบันดาลใจให้เขาศึกษาต่อ ๆ ไป ดังนั้นรายได้ทั้งหมดจากการเปิดนิทรรศการต่าง ๆ เขาก็จะนำไปใช้ในการศึกษา และค่าเดินทางต่อไป



## วัตถุโบราณชิ้นไหนที่น่าสนใจที่สุดของเขา ##

ทุกชิ้นมีความน่าสนใจ แต่ละชิ้นเหมือนเป็นจิ๊กซอว์ ถ้านำมาต่อรวมๆกันจะได้ภาพรวมที่กว้างขึ้น และชัดขึ้น และวัตถุโบราณพวกนี้มีความน่าสนใจกว่าโบราณสถานใหญ่ ๆ เช่น ปีระมิดที่อียิปต์ เพราะมีคนทำการศึกษาวิจัยมามากแล้ว



Artifact ส่วนใหญ่ทำมาจากหิน ซึ่งหินเป็นสิ่งเดียวที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงพื้นผิว ไม่ว่าจะกี่ล้านปีก็ตาม หรือ ไม่ว่าจะเกิดภัยธรรมชาติกี่ครั้งก็ตาม ถ้าเป็นวัสดุอื่น ๆ เช่น เหล็ก จะมีการเปลี่ยนแปลงและหายไป

Artifact ที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่จะอยู่แถว อเมริกาใต้ อเมริกา เม็กซิโก แอฟริกา จีน รัสเซีย และญี่ปุ่น

ใน เอกัวดอร์ พบ artifact มากกว่า 300 ชิ้น ซึ่งเป็น หินและ เซรามิก หนึ่งในนั้นมีหินแกรนิต หนัก 350 กิโลกรัม อายุมากกว่า 10000 ปี บนหินแท่งนี้พบสลักเป็นแผนที่โลก เช่น มี อิตาลี กรีซ เมดิเตอร์เรเนียน อินเดีย เป็นต้น โดยประเทศอินเดียในแผนที่นี้จะมีขนาดใหญ่กว่าในแผนที่ปัจจุบัน ซึ่งเราพบว่าเจอเมืองใต้น้ำที่ประเทศอินเดีย ที่เมืองซัลติดส์? (ได้ยินประมาณนี้) ซึ่งอธิบายว่าปัจจุบันประเทศอินเดียเล็กลง

นอกจากนี้ ในแผนที่หินจารึกว่ามีทวีปที่อยู่ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ทวีปนี้มีความยาวตั้งแต่บนลงมาถึงด้านล่างต่อไต้หวัน ซึ่งตรงกับนักธรณีวิทยาญี่ปุ่น ศาสตราจารย์ mikahaki kimura? ได้เขียนในหนังสือว่า เดิมมีทวีปยาวจากทิศเหนือ ของประเทศญี่ปุ่น(ซึ่งตอนนี้กลายเป็นรัสเซีย) ทวีปนี้ยาวลงมาถึงไต้หวันเช่นกัน

มีการพูดถึงแอตแลนติก ด้วย แต่ว่าฟังแล้วยังไม่เข้าใจ เลยไม่ขอแปลแล้วกันนะ (หรือใครรู้เรื่องมาเพิ่มได้นะ)

คำถามที่ตามมา คือ ใครเป็นคนเขียนแผนที่นี้ ซึ่งเขียนตั้งแต่ 10000 ปีก่อน และเขียนได้ตรงกับหลักฐานที่มีพอดี



สิ่งที่น่ามหัศจรรย์อีกที่คือ undersea ziggurat – Yonaguni เป็นสิ่งก่อสร้างหินที่มีขนาดใหญ่ อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล 25 เมตร มีบันได มีที่นั่ง มีสถานที่เหมือนอัฒจรรย์ในโรมันขนาดใหญ่ ทางการบอกว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สร้างขึ้นเอง























Artifact ที่น่าสนใจอีกอย่าง เช่น ปิรามิคที่มีตาส่องสว่างอยู่ด้านบน เป็นปิรามิคที่มีทั้งหมด 13 ชั้น และมีตาสีเทาอยู่บนยอด ที่ปรากฏในหนัง หรือ บนธนบัตรสหรัฐอเมริกา ถ้าส่องไฟสีดำลงไป จะพบว่าตาจะส่องสว่าง ลักษณะเหมือน star fog?(อันนี้งงๆ ไม่แน่ใจแหะ) เหมือนดาวเคราะห์ที่ nasa ค้นพบและเรียกว่า เป็น the eye of god



แต่ก็มีคนตั้งคำถามว่าคนสมัยก่อนจะมีแสงเหล่านี้ได้อย่างไร ก็อาจจะมีสมมติฐานได้ว่า ที่เราเคยพบ electrical light ? ที่อียิปต์ หรือ เคยพบแบตอรี่ที่แบกแดดที่มีอายุ 3000 ปี หรือ ในคนพื้นเมืองที่อเมริกาใต้ก็อธิบายว่ามี อะไรก็ไม่รู้แหะที่เป็นธรรมชาติ สามารถทำให้เห็นได้เช่นกัน (อันนี้ลองไปฟังกันเองแล้วกัน แอบงง)











วัตถุโบราณที่พบที่เอกัวดอร์ ยังมีหินที่ทำเป็นถ้วย และหินชิ้นเล็ก ๆ ทั้งหมด 12 ชิ้น เมื่อนำน้ำมาใส่ในถ้วยแล้วใส่หินก้อนเล็กๆลงไปจะสามารถเติมเข้าไปจนหมดได้พอดี หินเล็ก ๆ แต่ละก้อนมีขาดไม่เท่ากัน เพราะเป็น hand made แต่ละก้อนมีตัวอักษรเขียนไว้คล้ายกับตัวเลขของชาวมายัน ประมาณกันว่าวัตถุโบราณนี้มีอายุกว่า 12000 ปี











## ทำไมนักโบราณคดีหลายคนไม่ยอมรับหรือช่วยกันศึกษาวัตถุโบราณเหล่านี้ ##

เขาคิดว่านักโบราณคดีส่วนใหญ่กลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาหากเข้าไปยุ่งเรื่องพวกนี้ เพราะได้มีตัวอย่างให้เห็นนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ศึกษาอย่างจริงจังเรื่องโบราณสถาน โบราณวัตถุ สุดท้ายเสียการเสียงาน ตกงาน ครอบครัวมีปัญหา และถูกต่อต้านจากสื่อมวลชน มีหลายคนศึกษาอย่างจริงจังแล้วพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจริงอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อบอกไป มักจะถูกเพื่อนร่วมงานต่อต้านทันที เช่นที่เกิดขึ้นในหญิงชาวอเมริกาที่เป็นข่าวดัง (ใครก็ไม่รู้แหะ) หรือ นักวิทยาศาสตร์หญิงชาวเยอรมัน ซึ่งเธอค้นพบใบโคคา (สารโคเคน) และ ยาสูบ ในมัมมี่ มีการสืบประวัติเธอว่าเธอสูบบุหรี่เป็นบางครั้ง พวกเขาจึงกล่าวหาว่าเธอบ้า หลังจากนั้นไม่นาน อีก 2-3 ปีต่อมาชาวรัสเซียก็ออกมาประกาศว่าพบใบโคคา และ ยาสูบ ในมัมมี่เช่นกัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครขอโทษเธอเลย



## หลักฐานเกี่ยวกับคนยักษ์ ##

เป็นเรื่องแปลกที่ทุกประเทศทั่วโลกมีเรื่องเล่าของคนยักษ์เหมือนกัน บังเอิญเขาเคยได้รับเชิญไปฟังประชุมที่อเมริกาของผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเสียชีวิตไปแล้วตอนนี้ ที่พูดถึงเรื่องราวของคนยักษ์ หลังจากนั้นเขาจึงศึกษาและหาหลักฐาน

ในปี 1964 ที่เอกัวดอร์ (อีกแล้ว -_-‘) พบโครงกระดูก 2 ชิ้น อันนึงมีขนาด 7.6 เมตร อีกอันเขาไม่ได้บอกแหะ เมื่อนำไปให้ผู้แพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ตรวจดู พบว่าเป็นส่วนของกระดูกข้อเท้า และ กระโหลกศีรษะส่วนด้านล่าง (occipital bone) และเมื่อเปรียบเทียบกับกระดูกของมนุษย์แล้วเหมือนกันทุกอย่าง โดยเฉพาะกระดูกข้อเท้าชิ้นนั้น สามารถมีได้แค่มนุษย์เท่านั้น จะไม่พบในลิง หรือ สัตว์ชนิดอื่นๆ



อันนี้เป็นรูปกระดูกข้อเท้า



ส่วนในโบลีเวียร์ ก็พบกะโหลกศีรษะยาวรูปทรงไข่ ขนาด 2.6-2.8 เมตร ไม่มี กระหม่อมหน้า (anterior fontanelle)(ปกติในคนจะมี anterior fontanelle แต่จะปิดในผู้ใหญ่) สรุปว่าอันนี้ไม่น่าใช่พันธ์เดียวกับมนุษย์แหะ ( Homosepian) แถมสถานที่ที่ขุดพบชื่อ the imara ซึ่งมีความหมายว่า the giant อีกด้วย

แต่หลักฐานกระดูกนี้ เราไม่สามารถพบตรวจ DNA ได้ เนื่องจากมีอายุมากเกิน จึงไม่สามารถตรวจพบ









อีกหลักฐานหนึ่งคือ พบขวานเป็นหินแกรนิตขนาดใหญ่ 72 เมตร โดยติดเป็น 5 เท่าของขนาดปกติ เมื่อศึกษาความสูงของคนยักษ์โดยประมาณจะใหญ่กว่าคนปกติประมาณ 5 เท่าเช่นกัน ส่วนในพิพิธพันธ์บอกว่าขวานนี้ทำขึ้นในงานพิธีฉลอง

...ยังแปลไม่จบนะ เดี๋ยวไว้มาทำต่อวันหลัง...











ที่มา : http://www.truth4thai.org/worldhistory/artifacts_KlausDona

____________________

เครดิต :

________________________________

แสดงความคิดเห็น

 
Top