ข้อความสื่อสารทางโทรจิตมาจากท่านเมตาตรอน (Metatron)



ผู้รับการสื่อสาร: Tyberonn

วันที่รับการสื่อสาร: 20 กรกฎาคม 2008





เรื่อง: อาณาจักรใต้พิภพ, อาณาจักรเทวะ และ ปรากฏการณ์ UFO



ตอนที่ 1



(metatron)




เราขอกล่าวคำทักทายด้วยความรัก เราคือเมตตาตรอน (Metatron) ราชาแห่งแสงสว่าง

เราขอต้อนรับพวกคุณทุกคนสู่ข้อความที่มีชีวิตข้อความนี้ และเราขอโอบกอดพวกคุณด้วยความรัก



ตอนนี้พวกคุณคงคิดว่า ดาวเคราะห์ของพวกคุณเป็นรูปทรงกลมทึบตันอยู่ใช่ไหมหละ

แต่ชาวโลกที่รักทั้งหลาย แท้ที่จริงแล้ว ดาวเคราะห์ของพวกคุณมีลักษณะแบนตรงหัวและท้ายต่างหาก



และมันก็มีโพรงอยู่ข้างในมากมายด้วย ซึ่งโพรงเหล่านี้ ก็คือบ้านของผู้ที่พวกคุณเรียกกันว่า

“อารยธรรมที่สาบสูญ” (Lost civilization) ทั้งหลายนั่นเอง



นักธรณีวิทยาได้ประมาณการอายุของดาวเคราะห์โลกของพวกคุณว่า มีอายุประมาณ 4.5 พันล้านปีมาแล้ว

และพวกเราก็จะบอกคุณว่า นั่นก็ใกล้เคียงกับความเป็นจริงอยู่ เมื่อเทียบตามบันทัดฐานของศาสตร์ของพวกคุณ





แต่พวกคุณรู้ไหมว่า เมื่อมองจากมุมมองด้านมิติแล้ว

ดาวเคราะห์โลกของพวกคุณ ก็คือกลุ่มของดาวเคราะห์โลกจำนวนมากมาย

(conglomerate of many earths) ที่ซ้อนทับกันอยู่

ด้วยความเป็นไปได้ทั้งมวล อย่างเป็นอนันต์





....................................................................................................................................................



ตอนที่ 2





คำถาม: หลายคนพูดถึงเมืองใต้พิภพ มันมีอยู่จริงหรือไม่ครับ และมันอยู่ที่ไหน?









(hollowearth model)




Metatron: มันมีอยู่จริงๆ และก็มีอยู่นานแล้วด้วย ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่น ก็คือรูปธรรมชีวิตคล้ายมนุษย์นี่แหละ

ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในอาณาจักรเลมูเรีย (Lemuria) และที่เคยอยู่ในช่วงสุดท้ายของอาณาจักรแอตแลนติส (Atlantis) มาก่อน



พวกเขาได้ค้นพบทางเข้าไปสู่โพรงที่อยู่ภายในโลก ซึ่งภายในโลก มีโพรงขนาดใหญ่เหล่านั้นอยู่มากมาย

ซึ่งครั้งหนึ่งพวกมันเคยถูกเชื่อมต่อกันด้วยเครือข่ายอุโมงค์ขนาดใหญ่มากมาย



รูปธรรมชีวิตที่เป็นผู้เข้าไปอยู่ในโพรงเหล่านั้นเป็นพวกแรก คือผู้ที่มีร่างกายเนื้อกึ่งกายทิพย์

นั่นคือยังมีกายเนื้ออยู่แต่ว่าจะไม่หยาบและทึบตันเหมือนกับของชาวโลกที่อาศัยอยู่บนพื้นผิวโลก



เหตุผลที่ชาวเลมูเรียต้องอพยพลงมาอยู่ในโพรงใต้พื้นโลกในตอนแรก ก็เพราะว่าต้องการหลบหนี

จากการก่อกวนของสิ่งที่พวกคุณเรียกว่าไดโนเสาร์ ที่มีอยู่เต็มไปหมดบนพื้นทวีปของพวกเขาในสมัยนั้น



เมื่อพวกเขาค้นพบสถานที่ๆสงบเงียบและสวยงามได้แล้ว พวกเขาก็ได้เรียนรู้ว่ามันมีดวงอาทิตย์อยู่ภายในโลกด้วย

ซึ่งดวงอาทิตย์ที่ว่านี้จะแผ่แสงสว่างสีฟ้าออกมา และชาวเลมูเรียโบราณ ซึ่งอยู่ในรูปกายกึ่งกายทิพย์ทั้งหลายนี้

ก็ได้พัฒนาวิธีการที่จะมองเห็นได้ภายใต้แสงสว่างนี้ และพวกเขาก็ค้นพบความสวยงามที่น่าอัศจรรย์ภายในโพรงเหล่านี้



ชาวโลกหลายคนเข้าใจว่าชาวเลมูเรียได้ “เลื่อนระดับขึ้น” (Ascend) ไปข้างบนเรียบร้อยแล้ว

แต่ความจริงก็คือ พวกเขา “เลื่อนระดับลง” (descend) เข้ามาอยู่ในใจกลางโลกต่างหาก

แต่ถ้าจะเรียกว่า “พวกเขาเสร็จกิจแล้ว” หรือ “เลื่อนระดับขึ้น” ไปแล้ว ก็น่าใกล้เคียง





มันมีโพรงที่อยู่ภายในโลก ใต้บริเวณรัฐอาริโซน่า, เนวาด้า และแคลิฟอเนีย อยู่หลายสิบโพรงจริงๆ

ซึ่งในจำนวนโพรงเหล่านี้ ก็เคยถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยชาวโลกบนพื้นผิวโลกเมื่ออดีตที่ผ่านมา



หลายๆโพรงอยู่บริเวณใต้แกรนแคนยอน (Grand Canyon), Flagstaff, แอเรีย 51 (Area 51),

และเดดวัลเล่ย์ในแคลิฟอร์เนีย (Death Valley in California)



ชนเผ่าพื้นเมืองที่ว่านั้น ก็ได้แก่ ชนเผ่าโฮบิ (Hopi), นาวาโจ (Navajo), และฮาวาซูไป (Havasupai)

พวกเขายังคงเก็บรักษาตำนานและแน่นอนรวมถึงความรู้ที่ได้จากผู้คนที่อยู่ในถ้ำใต้ดินเหล่านี้เอาไว้อยู่ตราบกระทั่งทุกวันนี้



มาถึงตรงนี้คุณควรจะรู้ไว้ว่า ภายในสิ่งที่เรียกว่า “โลกชั้นใน” (Inner Earth) เหล่านี้

เพราะความที่อยู่ภายใต้พื้นผิวโลก ซึ่งมีความดัน และแรงโน้มถ่วงจากสนามแม่เหล็กสูงกว่าบนพื้นผิวโลก

จึงทำให้มันมีแม่แบบของเวกเตอร์ (vector template) ที่พิเศษและเฉพาะเจาะจง

ที่จะทำให้เกิดสิ่งที่พวกคุณเรียกว่า “มิติคู่ขนาน” (parallel dimensions) ได้มากกว่า

และชัดเจนมากกว่าบนพื้นผิวโลก



เพราะฉะนั้นแล้ว ในความเป็นจริงแล้ว มันจึงมีการซ้อนทับกันอยู่แบบมีศูนย์กลางเดียวกัน ของมิติต่างๆ

อยู่ภายในของดาวเคราะห์โลกอย่างมากมาย



และในความเป็นจริงแล้ว ปรากฏการณ์แบบนี้ มันก็เกิดขึ้นกับทุกแห่งทุกหนในจักรวาลที่พวกคุณรู้จักนั่นแหละ

รวมถึงบนพื้นผิวโลกด้วย แต่เพราะว่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้าและความหนาแน่นของความดัน

ที่พวกเราได้สร้างให้ไว้กับดาวเคราะห์โลก ทำให้ปรากฏการณ์นี้มันเกิดขึ้นได้ชัดเจนน้อยกว่า







....................................................................................................................................................





ตอนที่ 3



พวกเราอยากจะบอกว่า ภายในลูกโลก โครงสร้างด้านพลังงานภายในชั้นแมนเทิล (mantles)

จะมีความสำคัญมากกว่าบนพื้นผิวโลก และมันก็ทำให้มีจำนวนมิติมากกว่าเกิดขึ้น

รวมถึงทำให้มีพลังงานชีวิตมากกว่า, มีพลังงานอีเทอเรี่ยม (etherium) เข้มข้นมากกว่าด้วย



ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบอย่างคร่าวๆให้พอเข้าใจแล้ว มันก็น่าจะเหมือนกับการรับคลื่นสัญญาณโทรทัศน์

ด้วยเสาอากาศ กับการรับคลื่นสัญญาณจากเคเบิล หรือ จากดาวเทียมนั่นเอง



บนพื้นผิวโลกจะเปรียบได้กับการรับคลื่นสัญญาณด้วยเสาอากาศธรรมดา ส่วนภายในลูกโลก

จะเปรียบเหมือนกับการรับคลื่นสัญญาณจากดาวเทียม เพราะฉะนั้น ภายในลูกโลก

จำนวนช่องสัญญาณก็จะมีมากกว่า และความคมชัดของสัญญาณก็ยิ่งมีมากกว่าด้วย

แต่ในกรณีของเรา พวกเรากำลังพูดถึงเรื่อง “มิติคู่ขนาน” อยู่แทนที่จะเป็นเรื่อง “ช่องสัญญาณโทรทัศน์” ก็เท่านั้นเอง





ด้วยเหตุนี้ มันจึงมีมิติต่างๆที่อยู่ขนานกัน และซ้อนทับกันอยู่จำนวนมากมาย ซึ่งมิติคู่ขนานเหล่านี้ จะอยู่แยกออกจากกัน

ทำให้มีรูปธรรมชีวิตที่อยู่ต่างมิติกัน อาศัยอยู่ในนั้นได้โดยไม่มีผลกระทบต่อกัน

มันก็เหมือนกับโทรทัศน์เพียงเครื่องเดียว แต่สามารถรับช่องสัญญาณได้หลายๆช่องนั่นแหละ

ดังนั้น ระนาบต่างๆของมิติคู่ขนานจึงสามารถอยู่ด้วยกันได้ ในโลกใบเดียวกัน



ในความเป็นจริงแล้ว มีรูปธรรมชีวิตจากนอกโลกเป็นจำนวนมาก ที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ภายในโลกใบนี้

และที่พวกเขาก็สามารถอาศัยอยู่ในลูกโลกได้ ก็เพราะอาศัยโครงสร้างของความถี่ที่ขนานกันดังกล่าวไปแล้วนั่นเอง

ซึ่งอาจจะเรียกมันว่า “โฮโลแกรมมิก” (Hologramic) ก็ได้ ทีนี้คุณเข้าใจหรือยัง ?





ดังนั้น มันจึงมีรูปธรรมชีวิตมากมายที่อาศัยอยู่ในใจกลางของดาวเคราะห์โลกในนี้

ซึ่งหลายๆเผ่าพันธุ์ ก็ได้มาอยู่ที่นี่นานกว่ามนุษย์โลกเสียอีก และหลายๆเผ่าพันธุ์ก็คิดว่าพวกเขาเป็นผู้ครองโลกนี้อยู่

เหมือนอย่างที่พวกคุณเองคิดว่า เผ่าพันธุ์ของตัวเองกำลังครองโลกนี้อยู่อย่างนั้นเลยแหละ

และในความเป็นจริงแล้ว เผ่าพันธุ์ที่มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์โลกมากที่สุดก็คือ ชนเผ่าของอาณาจักรเลมูเรียโบราณ







....................................................................................................................................................





ตอนที่ 4



คำถาม: รูปธรรมชีวิตเหล่านั้นพวกเขาอาศัยอยู่ที่ไหน และพวกเขาชอบอะไรครับ?





Metatron: ความจริงแล้ว รูปธรรมชีวิตชาวเลมูเรีย พวกเขามีวิวัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณ

ก้าวไกลไปมากกว่าพวกคุณในขณะนี้มากมายนัก ก็อย่างที่เรากล่าวไปแล้วว่า ร่างกายของพวกเขา

มีความหนาแน่นน้อยกว่าพวกคุณ แต่ก็ยังเป็นกายเนื้ออยู่เหมือนกับพวกคุณนี่แหละ

ผิวหนังของพวกเขาได้เปลี่ยนไปเป็นสีเขียว หรือบางคนก็เป็นสีเขียวแกมน้ำเงิน เพราะว่าน้ำที่พวกเขาใช้ดื่ม

อุดมไปด้วยแร่ธาตุมากกว่าของพวกคุณ และมีความเข้มข้นของสารประกอบออกไซด์ของทองแดง

และของโลหะอื่นๆมากกว่าด้วย



รูปธรรมชีวิตเหล่านี้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่อย่างสงบสุข, ไม่มีศาสนาอื่นใดนอกจากความรักจากแหล่งกำเนิด

(Love of Source) และพวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “ความสงบเงียบอันยิ่งใหญ่”(great tranquility)



พวกเขาค่อนข้างที่จะตระหนักรู้ถึงความมีตัวตนอยู่ของพวกคุณ

แต่พวกเขาไม่อยากที่จะมาสุงสิงด้วย



คุณอาจจะถามว่า ทำไมหละ?



ก็เพราะว่ามันมีหลายสาเหตุ ซึ่งสาเหตุหลักก็คือ

พวกเขารู้ว่าธรรมชาติของพวกคุณ คือชอบความรุนแรง

และรู้ว่าพวกคุณขี้กลัว และด้อยพัฒนาด้านจิตสำนึกมวลรวม





พวกเขารู้ว่าร่างกายของพวกคุณเต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งโรคภัยบางชนิดอาจจะติดต่อไปถึงพวกเขาได้

และก็ พวกเขาจะทนต่อแสงอาทิตย์ของพวกคุณไม่ค่อยได้



พูดอย่างนี้ดีกว่าว่า พวกเขาได้วิวัฒน์ไปในทิศทางที่พิเศษเฉพาะของตนเอง

และตอนนี้พวกเขาก็ใกล้จะบรรลุจุดหมายปลายทางระดับนั้นแล้ว



ร่างกายของพวกเขาถูกหล่อเลี้ยงด้วยพลังแม่เหล็กคริสตัลชนิดหนึ่ง (Crystalline magnetic force)

ซึ่งมาจากแหล่งกำเนิดแสงสว่างที่อยู่ใจกลางโลกของคุณ ด้วยความสามารถทางจิตที่มากมายของพวกเขา

ทำให้พวกเขาสามารถควบคุมสนามพลังเหล่านั้น และสามารถปรับพวกมันให้เข้ากับร่างกายและจิตวิญญาณของพวกเขาได้



แม้ว่าพวกเขาจะยังมีกายเนื้ออยู่ แต่มันก็เป็นกายเนื้อในมิติที่ 4 ซึ่งมีความหนาแน่นน้อยกว่า

กายเนื้อของพวกคุณเป็นอย่างมาก



พวกเขาหลายคนค่อนข้างจะมีความชำนาญในด้านการหายตัวไปปรากฏอยู่ในอีกที่หนึ่งมาก (Teleportation)



อันที่จริงแล้ว มันก็มีการติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ

ระหว่างผู้ที่อาศัยอยู่ในใจกลางโลก กับรัฐบาลของพวกคุณนั่นแหละ

แต่ไม่ใช่การรวมเข้าด้วยกัน



พวกเขาได้ส่งข้อความสื่อสารทางโทรจิตมาถึงชาวโลกบนพื้นพิภพบางคน

ให้รู้ว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้น

เหมือนอย่างที่พวกเราที่ได้พร่ำบอกกับพวกคุณมาโดยตลอด



ที่พวกเขารู้เรื่องนี้ก็เพราะว่าพวกเขาอยู่ในช่วงเวลาที่แตกต่างจากพวกคุณ,

พวกเขาอยู่ในวัฏจักรของเวลาคนละรอบกับพวกคุณ

และพวกเขาก็ใกล้จะไปถึงจุดหมายปลายทางของพวกเขาแล้ว





คุณถามว่าโพรงของพวกเขาอยู่ที่ไหนบ้างใช่ไหม๊ อย่าลืมเรื่องมิติคู่ขนานไปเสียหละ

พวกเราจะตอบคำถามของคุณในแบบที่พวกคุณจะเข้าใจ ว่าส่วนใหญ่แล้ว โพรงเหล่านี้จะอยู่ใต้ดินของส่วนที่เป็นทะเล

แต่ใต้พื้นดินของทุกๆทวีปก็มีโพรงต่างๆเหล่านี้อยู่ด้วย เช่น พื้นที่บริเวณด้านตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา

ใต้ภูเขาแห่งรัฐอาแคนซอ (Arkansas) ในมลรัฐนิวเม็กซิโก, อาริโซน่า, ประเทศเม็กซิโก, ประเทศในแถบอเมริกากลาง,

ประเทศเปรู, เกาะอังกฤษ, ทวีปยุโรป, ใต้ภูเขาหิมาลัย, ประเทศชิลี, อาเจนติน่า, โบลิเวีย, บราซิล, ประเทศจีน,

ไซบีเรีย, เกาะกรีนแลนด์, ไอซ์แลนด์, ศรีลังกา,



ใต้พื้นที่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ มีเผ่าพันธุ์บางเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ในโพรงใต้ดินของพวกเขา





....................................................................................................................................................





ตอนที่ 5





คำถาม: พวกเขาอาศัยอยู่ใต้ดินลึกซักแค่ไหนครับ และบนดาวเคราะห์โลก มันมีทางเข้าไปสู่โพรงเหล่านี้บ้างหรือเปล่าครับ?





Metatron: เราได้บอกไปแล้วว่า ทางเข้าไปสู่โพรงเหล่านี้ อยู่ตรงขั้วโลกทั้งสอง และตามช่องต่างๆที่อยู่บนพื้นผิวโลก

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าพวกเขาอยู่ลึกแค่ไหน เพราะว่าความจริงแล้วพวกเขาอยู่ในมิติคู่ขนาน

ซึ่งมาตรฐานการวัดของพวกคุณมิอาจนำมาใช้ได้ บางชุมชนก็อยู่ใกล้กับพื้นผิวโลกมาก แต่โพรงหลักๆส่วนใหญ่

ถ้าจะพยายามพูดภาษาของพวกคุณหละก็ ก็อาจจะบอกว่าอยู่ลึกลงไปใต้พื้นผิวของชั้นแมนเทิลประมาณ 20 ไมล์

และบางโพรงก็อยู่ลึกลงไปหลายร้อยไมล์เลยทีเดียว (นักธรณีวิทยาของพวกคุณ อาจจะจินตนาการไม่ออก

เพราะว่าการตีความด้านความดัน และความร้อนของพวกเขา แต่เราขอบอกคุณว่าดินแดนเหล่านี้มีอยู่จริง

และก็มีรูปธรรมชีวิตอาศัยอยู่ในนั้น ในสนามพลังงานเหล่านั้น จำนวนมากมายจริงๆ)



แต่ระยะทางที่กล่าวไปแล้วนั้น เป็นเพียงระยะทางสัมพัทธ์เมื่อเทียบกับมิติคู่ขนานหลากมิติเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเข้าไปในดินแดนต่างมิติเหล่านี้ ผ่านทางขั้วโลกของพวกคุณ

หรือผ่านทางทางเข้าใดๆที่อยู่บนพื้นผิวโลกในมิติที่ 3 ของพวกคุณ เพราะว่าดินแดนเหล่านี้

อยู่ในมิติคู่ขนานและอยู่ในกาลเวลา-อวกาศที่แตกต่างจากของพวกคุณ เพราะฉะนั้น ระยะทางจริงจากจุดที่คุณเริ่มเข้าไป

ที่คุณจะวัดได้ ก็อาจจะเป็นเพียงไม่กี่นิ้ว หรืออาจจะเป็นชั่วกาลนานก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่า คุณกำลังมองมาจากตรงไหน



ศาสตร์ที่สามารถใช้อธิบายแทนถ้อยคำจำนวนนับไม่ถ้วนได้ใกล้เคียงที่สุด ก็คือควอนตัมฟิสิกส์ (Quantum physics)

แม้ว่าศาสตร์แขนงนี้ เพิ่งจะเป็นที่เข้าใจกันในแวดวงวิทยาศาสตร์ของพวกคุณก็ตาม



แต่ว่าถ้าจะให้ศาสตร์นี้สามารถถูกแปลความหมายได้อย่างถูกต้องมากกว่านี้ บนระนาบของพวกคุณหละก็

จะต้องเปลี่ยนแบบจำลองนั้นซะใหม่ รวมถึงแบบจำลองด้านเรขาคณิต และด้านคณิตศาสตร์ด้วย



ทางเข้าไปสู่โพรงใต้พื้นโลกเบื้องต้น ก็คือผ่านทางขั้วโลกทั้งสอง เพราะว่าตรงบริเวณดังกล่าวนี้

เป็นจุดเชื่อมต่อด้านควอนตัมระหว่างโลกที่อยู่ในมิติต่างๆของพวกคุณ เพราะว่าตรงบริเวณขั้วโลกทั้งสองนั้น

มีพลังแม่เหล็กที่แบนราบ จึงทำให้สามารถใช้เป็นทางเข้าสู่โพรงต่างๆของโลกชั้นในได้



พลเรือเอกไบร์ด (Admiral Byrd) เคยเขียนบทความเล่าถึงการบินผ่านบริเวณขั้วโลกของเขาว่า

เขามองเห็นดินแดนที่เขียวชอุ่ม ที่มีแม่น้ำหลายสายอยู่ในนั้น



เราขอบอกคุณว่า นั่นเป็นเพราะว่าเขาได้ผ่านเข้าสู่มิติคู่ขนานในช่วงเวลาสั้นๆ ของโลกชั้นใน

และเขาและคนอื่นๆก็ได้ทำแบบนั้นมาหลายครั้งแล้ว



ตรงบริเวณขั้วโลกทั้งสอง การส่งผ่านแบบหลากมิติ (dimensional hyper-transport)

สามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้สภาวะพิเศษบางอย่าง การย้ายมิติตรงบริเวณขั้วโลก จะเกิดขึ้นคล้ายๆกับ

การข้ามสนามพลังงานรูปทรงกรวยที่สูงชัน แล้วพลิกกลับอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกก็จะเหมือนกับว่า

กลับมา “แบน” ใหม่อีกครั้งอย่างรวดเร็ว หรือขนานกับพื้นใหม่อย่างรวดเร็ว

ในความเป็นจริงแล้วนายไบร์ด ได้เข้าไปสู่มิติคู่ขนานจริงๆ





ผู้คนที่อยู่ในโลกชั้นในอาศัยอยู่ในช่องว่างภายในนั้น มีรูปธรรมชีวิตมากมาย และมีหลายเผ่าพันธุ์

ที่อาศัยอยู่ในโลกหลากมิติของพวกคุณ รวมถึงสิ่งที่พวกคุณเรียกว่า “รูปธรรมชีวิตต่างมิติ” ก็ด้วย

ซึ่งอาจจะถือว่าพวกเขาก็เป็นพลเมืองของโลก เช่นเดียวกับพวกคุณก็ได้ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว

พวกเขาส่วนใหญ่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในโลกนี้ก่อนพวกคุณนานมากแล้วก็ตาม





....................................................................................................................................................



ตอนที่ 6



คำถาม: รูปธรรมชีวิตที่ว่านี้ รวมถึงสิ่งที่พวกเราเรียกว่า “เยติ” (Yeti) และเทวะ (Devic) ด้วยหรือไม่ครับ ?





Metatron: ไม่หรอก เพราะว่า แม้ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะมีอยู่จริงก็ตาม แต่พวกนี้ไม่ใช่ชาวเลมูเรีย

และก็ไม่ใช่ชาวแอตแลนติสยุคต้นๆที่อพยพเข้ามาอยู่ในโลกชั้นในนี้ด้วย



คำถาม: ท่านจะบอกพวกเราเกี่ยวกับเยติ ได้ไหมครับว่า พวกเขาเหมือนกับสิ่งที่พวกเราเรียกว่า “ไอ้ตีนโต”

หรือ “บิกฟุต” (Bigfoot) หรือเปล่าครับ ?



(yeti1)


Metatron: สิ่งมีชีวิตที่พวกคุณเรียกว่าเยติหรือบิ๊กฟุตนั้น เป็นผลงานการทดลองด้านพันธุกรรมเวอร์ชั่นแรกๆบนโลกใบนี้

ตั้งแต่สมัยแอตแลนติสเมื่อประมาณ 200,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงเวลานั้น มันมีการทดลองด้านพันธุกรรมเกิดขึ้นมากมาย

บนดาวเคราะห์โลกของพวกคุณ



สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็มีภูมิปัญญาเหมือนกัน แต่พันธุกรรมของพวกเขาบกพร่อง พวกเขาถูกสร้างขึ้นมาจาก

การผสมระหว่าง DNA ของมนุษย์กับของลิงเอ้ป (Ape) พวกเขาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว์

เพื่อเอาไว้ใช้แรงงาน หรืออาจจะเรียกว่า สัตว์ที่มีความเฉลียวฉลาดมากขึ้น หรือเรียกว่าสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาคล้ายมนุษย์ก็ได้



แต่พวกเขาถูกบังคับให้มีรหัสพันธุกรรมที่จะไปสั่งการให้พื้นที่บางส่วนในสมองของพวกเขาใช้การไม่ได้



พวกเขาคือผู้ที่รอดชีวิตมาจากยุคแอตแลนติส ที่พวกคุณเรียกว่า “ผู้อื่น” (the others) นั่นแหละ

พวกเขาคือส่วนที่หลงเหลือมาจากยุคแอตแลนติส และพวกเขาคือผู้ที่ถูกสร้างขึ้นมา ด้วยความใจร้าย

เพื่อเอาไว้ใช้แรงงานในเหมือง, ในฟาร์ม, และในอุตสาหกรรมทำป่าไม้



พื้นที่ในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก และพัฒนาการด้านความคิด ได้ถูกทำให้มีความบกพร่อง

ในรหัส DNA ด้วยความตั้งใจ แม้ว่าจิตวิญญาณของพวกเขาจะมาจากแหล่งเดียวกันกับจิตวิญญาณของปลาโลมาก็ตาม

แต่กระนั้น ในร่างกายของพวกเขา ก็ไม่มีพัฒนาการด้านอารมณ์ความรู้สึก หรือวิวัฒนาการด้านสติปัญญา

ไปเกินกว่าขอบเขตที่ถูกจำกัดไว้ให้เลย แม้ว่าพวกเขาจะมีสิ่งที่เรียกว่า “ภูมิปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์” อยู่ด้วยก็ตาม

แต่ว่ามีเพียงความแข็งแรงทางด้านร่างกาย และสัญชาตญาณการอยู่รอดเท่านั้น ที่เหลืออยู่และมีการพัฒนาขึ้น

สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ไม่ได้อาศัยอยู่ในโพรงภายในโลก แต่พวกเขาอาศัยอยู่ในถ้ำในภูเขาที่ห่างไกล

และอาศัยอยู่ในป่าลึกของพวกคุณ และในที่ลุ่มใกล้แหล่งน้ำ พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่หากินในเวลากลางคืน

และจำนวนของพวกเขาก็กำลังลดลงเรื่อยๆ ซึ่งในสักวันหนึ่งก็จะไม่เหลืออยู่อีก



สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความเกรงกลัวต่อมนุษย์มากๆ

และเมื่อพวกเขาวิวัฒน์มากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งเศร้าโศกเสียใจและสับสนมากขึ้น

พวกเขาจะคอยแอบมองพวกคุณด้วยความระมัดระวัง

พวกเขารู้ว่าพวกเขาคือพี่น้องของพวกคุณ

พวกเขาอยากเข้ามาใกล้ชิดกับพวกคุณ แต่ก็มีความวิตกกังวล

และก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าทำอย่างนั้นไม่ได้



ร่างกายของพวกเขาได้พัฒนาขึ้นจนมีขนดกปกคลุมทั่วร่างกาย และมีชั้นผิวหนังที่หนาและมีไขมันมาก

เพื่อที่จะสามารถรอดชีวิตอยู่ได้ในพื้นที่ๆมีสภาวะภูมิอากาศที่รุนแรง และในตอนนี้ พวกเขากำลังมีชีวิตอยู่

ในช่วงสุดท้ายของยุคของพวกเขาแล้ว จิตวิญญาณของพวกเขาไม่ต้องการที่จะวิวัฒน์ต่อไปในร่างกาย

ที่มีข้อจำกัดทางพันธุกรรมแบบนี้อีกต่อไปแล้ว





หากคุณได้จ้องมองเข้าไปในดวงตาของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้แล้ว

พวกคุณจะรู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าเสียใจ

ที่พวกเขามีอยู่อย่างมากมาย



....................................................................................................................................................







ตอนที่ 7



คำถาม: ท่านบอกว่าพวกเยติมีแหล่งกำเนิดของจิตวิญญาณเดียวกันกับปลาโลมาอย่างนั้นหรือครับ?





Metatron: ถูกต้อง แต่ต้องเข้าใจให้ชัดเจนนะว่า จิตวิญญาณของพวกเขามาจากแหล่งเดียวกันกับของปลาโลมา

แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นจิตวิญญาณชนิดเดียวกันนะ เพราะในความเป็นจริงแล้ว มันห่างไกลกันมาก



คุณเห็นไหม๊ว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไม่มีการแสดงออกถึงความมีชีวิตชีวา และความเฉลียวลาดเหมือนอย่างที่ปลาโลมามีเลย

เพราะว่าร่างกายที่พวกเขาถูกกักขังอยู่นี้ ไม่เอื้ออำนวยที่จะให้พวกเขาทำเช่นนั้นได้



คุณอาจจะสงสัยว่าจิตวิญญาณแบบไหนกัน ถึงได้เลือกที่จะลงมาเกิดในร่างกายที่เป็นยานพาหนะที่มีข้อจำกัดเช่นนี้

และคำตอบมันก็คือ มีจิตวิญญาณจำนวนน้อยมากๆ ที่เลือกที่จะทำเช่นนั้น และอีกไม่นานนี้ สปีชีส์ของพวกเขา

ก็จะไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว



แม้ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ จะสามารถแสดงออกถึงความเข้มแข็ง ถึงการเอาชีวิตรอดได้อย่างยอดเยี่ยมก็ตาม

และแม้ว่าพวกเขาเองจะรักกันก็ตาม แต่พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะถอนตัวจากการเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดนี้แล้ว



และถ้ามนุษย์ยังคงสร้างความแปดเปื้อนให้กับมหาสมุทรอยู่ต่อไป และยังฆ่าปลาวาฬและปลาโลมา

ซึ่งมีพลังงานอันดีงามอยู่ต่อไปอีกหละก็ พี่น้องผู้ประเสริฐทั้งสองชนิดนี้ของพวกคุณ ก็อาจจะขอถอนตัวจากภาระหน้าที่นี้ก็ได้



พวกคุณไม่รู้หรอกว่าปลาวาฬและปลาโลมาทั้งหลาย

ได้แผ่พลังงานแห่งแสงสว่างออกมาสู่มหาสมุทรของพวกคุณมากแค่ไหน





คุณจะแปลกใจไหม๊ หากรู้ว่ามีพวกคุณหลายคนที่เป็นปลาโลมา ทั้งในปัจจุบันและในอดีตที่ผ่านมา

เพราะว่าที่พวกคุณทำเช่นนั้น ก็เพื่อที่จะเสียสละตัวเอง เพื่อรับใช้ดาวเคราะห์โลกและมวลหมู่มนุษยชาติทั้งหลาย



คุณเห็นไหม๊ว่า การเรียงตัวของโครงข่ายพลังงานของโลก, กระเปาะพลังงานของโลก (power nodes)

และรูขาว (white holes) ทั้งหลายบนดาวเคราะห์ของพวกคุณ ไม่ได้มีอยู่เฉพาะบนพื้นดินแห้งๆเท่านั้น

เพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว ส่วนใหญ่พวกมันจะอยู่บนหรืออยู่ใต้น้ำ ซึ่งปกติปลาโลมา หรือมีบางกรณีที่ปลาวาฬ

จะจัดเรียงพลังงานของพวกเขาให้เข้ากับจุดต่างๆเหล่านี้ เพื่อช่วยให้พลังงานของดาวเคราะห์โลกของพวกคุณเกิดความสมดุล



สิ่งที่พวกคุณเรียกว่า “อาณาจักรเทวะ” (Devic Kingdom) นั้น มีรูปแบบของชีวิตที่อยู่ในมหาสมุทรและทะเลสาบ

มากกว่าบนก้อนหิน, บนพื้นดิน และบนดิน





....................................................................................................................................................





ตอนที่ 8



คำถาม: ท่านบอกว่ามีรูปธรรมชีวิตต่างมิติอาศัยอยู่ในมิติชั้นในของดาวเคราะห์โลกดวงนี้ด้วย

และท่านบอกว่าพวกเขาอยู่ในมิติ “มิติแห่งโฮโลแกรม” (holographic dimension)



มีหลายคนรายงานว่าได้พบเห็นยานบินของพวกเขาด้วย แต่ในความคิดเห็นของผม ผมคิดว่าถ้าพวกเขาอยู่ในระนาบอื่นๆ

พวกเขาไม่น่าที่จะถูกพบเห็นหรือถูกรับรู้ได้ง่ายๆ กรุณาอธิบายให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหมครับว่า

มนุษย์โลกสามารถมองเห็นยานบินของพวกเขาได้หรือไม่?





Metatron: คำถามนี้เป็นคำถามที่ซับซ้อนคำถามหนึ่งเลยทีเดียว ตอนนี้ให้เราอธิบายแบบนี้ดีกว่าว่า

รูปธรรมชีวิตจากมิติอื่น, ระนาบอื่น, กาลเวลาอื่น และโลกอื่น เคยปรากฏตัวให้มนุษย์โลกได้เห็นจริงๆ ทั้งในอดีตและในปัจจุบันนี้



การปรากฏตัวของพวกเขา บางครั้งก็สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าด้วยความบังเอิญจริงๆ

และในบางครั้ง พวกเขาก็ปรากฏตัวให้มนุษย์โลกได้เห็นด้วยความตั้งใจ





ในกรณีแรก เป็นเพราะว่ามนุษย์โลก บังเอิญหลงผ่านเข้าไปในม่านกาลเวลา ซึ่งกั้นระหว่างสนามพลังของปัจจุบัน, อดีต

และอนาคตของพวกคุณ หรือไม่ก็เป็นเพราะว่ารูปธรรมต่างมิติเหล่านี้หลงเข้ามาอยู่ในม่านแห่งคลื่นความถี่ที่กั้นอยู่ระหว่างมิติหนึ่ง

หรือระนาบหนึ่งกับอีกระนาบหนึ่งโดยบังเอิญ



ซึ่งปกติแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะสามารถถูกมองเห็นได้จากระนาบของพวกคุณ

เช่นเดียวกับที่เมื่อพวกคุณบางคนหลงเข้าไปในอดีต หรือคล้ายอดีตแล้ว ผู้คนในยุคนั้นก็จะสามารถมองเห็นพวกคุณได้เช่นเดียวกัน





ส่วนในกรณีที่เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจนั้น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากเช่นนี้ เกิดขึ้นจากการกระตุ้น

ให้ความตระหนักรู้ของจิตใต้สำนึกขยายตัวไปสู่จิตสำนึกในทันทีทันใด แล้วจิตสำนึกก็จะถูกกระตุ้นให้ตื่นตัว

โดยการส่งผ่านความตระหนักรู้ดังกล่าว ให้เข้าไปสู่ลำดับชั้นของกาลเวลาที่แตกต่างกัน



มันถูกสร้างขึ้นมาจากใจกลางหลากมิติของมิตินั้นๆโดยตรง และมันคือการพิสูจน์อะไรบางอย่างของพวกเขา

แม้ว่ามันค่อนข้างจะไปรบกวนผู้ที่พบเห็นมันในเวลานั้นอยู่บ้างก็ตาม



ซึ่งเขตแดนของมิติ และแบบจำลองเหล่านั้นทั้งหมด ปกติจะมีไว้สำหรับการฝึกฝนเท่านั้น







....................................................................................................................................................





ตอนที่ 9



คุณรู้ไหมว่า ในแต่ละมิติ ต่างก็มีวิชาวิทยาศาสตร์ และวิชาฟิสิกส์เป็นของตนเองที่ไม่เหมือนกัน

เช่นเดียวกันกับที่มันมีสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ และฟิสิกส์ที่แตกต่างกันมากมาย บนโลกมนุษย์ในมิตินี้นั่นแหละ



ศาสตร์ทั้งหลายที่อาจจะนำไปสู่หลักการที่แตกต่างกันอย่างมาก ถูกพวกคุณมองข้ามไปซะเป็นส่วนใหญ่

เช่น มันมีสาขาวิชาใหม่ของฟิสิกส์สาขาหนึ่ง ที่เปิดเผยความจริงมากมายเกี่ยวกับการขนย้าย (Transport),

การเปลี่ยนรูป (Transmutation), และการเคลื่อนไหว (Locomotion)

ได้มากกว่าวิทยาศาสตร์ที่พวกคุณยอมรับและเข้าใจ หรืออยากจะเข้าใจกันอยู่นี่ซะอีก



และหากมนุษย์โลกได้ฝึกจิตจนมีจิตที่ละเอียดอ่อนมากพอ จนสามารถค้นพบกฎต่างๆของเทคโนโลยีจากนอกโลกได้แล้ว

ความรู้ของพวกคุณ, วิธีการ และผลลัพธ์ของระบบขนส่งของพวกคุณก็คงจะแตกต่างและมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่นี้อย่างมาก





นั่นเป็นเพราะว่า พวกคุณมัวแต่หมกมุ่นก็แต่กับเรื่องภายนอก

และไม่สนใจใยดีกับ “ศักยภาพภายใน” ของตนเอง

ที่อยู่ใน “จิตสำนึกอันศักดิ์สิทธิ์” เลย





เวลานี้ เมื่อมนุษย์โลกตัดสินใจที่จะทุ่มเทการศึกษาให้กับศาสตร์ที่เรียกว่า

“วิทยาศาสตร์การขนถ่าย และการอยู่ใน 2 สถานที่พร้อมกัน” (Science of Transportation and Bi-location) แล้ว

และแน่นอนว่า มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่มีความละเอียดอย่างมาก และมีกฎมากมาย ที่สามารถเรียนรู้และนำไปปฏิบัติได้จริงๆ



เพราะฉะนั้น การเข้าไปเยี่ยมเยือนมิติคู่ขนานและเวกเตอร์อื่นๆ ที่อยู่ภายในกาลเวลาและอวกาศ

ก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีความบังเอิญน้อยลง และจะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความจงใจหรือการวางแผนแทน





เมื่อใดที่มนุษย์สามารถเรียนรู้และควบคุม “ฟิสิกส์แห่งจิต”

(mental physics) ได้แล้ว

เมื่อนั้นมนุษย์ก็จะสามารถปลดปล่อยตัวเอง

ให้เป็นอิสระจากการติดอยู่ในตัวคัดกรองของมายาการ

(filtering illusion) และเครื่องพรางแห่งความเป็นทวิภาวะ

(duality camouflage) ของโลกในมิติทางกายภาพนี้ได้อย่างกว้างขวาง





จริงๆแล้วพวกคุณเพิ่งจะเริ่มเข้าใจว่าทำไม “เมอร์ขะบะห์” (Merkabah) และ “เมอร์ขิวะห์”(Merkivah)

เมื่อถูกปรับจูนโดยจิตให้เข้ากับสนามคริสตัล (crystalline field) แล้ว จึงสามารถปลดล็อคกุญแจนี้ได้



นี่คือส่วนหนึ่งของสิ่งที่จะกลายเป็นสิ่งที่พวกคุณจะต้องปรับปรุงใหม่ เพราะว่าโครงข่ายทั้ง 144 เส้น

และเครือข่ายของพลังงานคริสตัล (crystalline energy) จะทำให้พวกคุณบางคนพยายามทุ่มเทความสนใจ

ไปในศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์นี้



คุณเห็นไหม๊ว่าศาสตร์ทุกศาสตร์ จะต้องมี “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” (divine)

เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ

ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่ระบบการศึกษาหลักในปัจจุบันของพวกคุณ

ละเลยอย่างสิ้นเชิงมาโดยตลอด





....................................................................................................................................................





ตอนที่ 10



เพราะฉะนั้น เรามาย้อนกลับไปที่คำถามและหัวข้อเรื่องกันดีกว่า จุดสำคัญมันอยู่ที่ว่า

ชาวโลกที่บอกว่าตนเองพบเห็นยานบินจากนอกโลก หรือพบเห็นสิ่งที่พวกคุณเรียกว่า “จานบิน” นั้น

ไม่ได้หมายความว่าจานบินเหล่านั้นอยู่ที่นั่นจริงๆเลย แม้ว่าจะมีหลายคนมากที่อ้างว่าได้เห็นมากับตาตัวเองจริงๆก็ตาม



แต่ก็มีบ้างที่มีจานบินอยู่ตรงนั้นจริงๆ แต่ก็น้อยมากๆ และผู้ที่พบเห็นยานบินเหล่านั้น

ส่วนใหญ่แล้วจะมองเห็นด้วยความตระหนักรู้แบบพิเศษมากกว่า ไม่ได้มองเห็นด้วยตาเนื้อธรรมดา เพราะว่าความจริงก็คือ ยานบินส่วนใหญ่ที่กำลังท่องไปในสนามพลังของมิติคู่ขนานมิติใดมิติหนึ่ง

จะมีเกราะป้องกันไม่ให้พวกคุณมองเห็นได้ โดยอาศัยคลื่นความถี่ของมิตินั้นๆจริงๆ เป็นเครื่องพรางกั้น



เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดให้ถูกต้องแล้ว ก็จะต้องบอกว่า

ส่วนใหญ่แล้วยานบินเหล่านั้นไม่ได้อยู่ และไม่สามารถอยู่ที่นั่น

ในมิติของพวกคุณจริงๆได้ แต่ที่พวกมันถูกพบเห็น

ในกรณีที่เป็นการพบเห็นจริงๆ มันคือภาพสะท้อนของพวกมัน

มันคือภาพสะท้อนทางพลังงานของพวกมัน ที่เข้าไปปรากฏอยู่ในมิติของพวกคุณ

เพราะว่าพลังงานของพวกมันได้เข้าไปสู่สเปกตรัมของมิติของโลก

ในชั่วขณะที่เกิดการล่าช้าจากความเร็วของแสง

และชั้นต่างๆของรูหนอนในอวกาศ (space-hole folds)





อะตอม, พลาสมา และโมเลกุลต่างๆที่ประกอบกันขึ้นเป็น “ยานบิน” นั้นๆ ถูกสร้างขึ้นมาจากรูปแบบทางกายภาพ

ที่มีพันธะยึดเหนี่ยวทางโครงสร้าง และมีการเรียงตัวทางกายภาพ สอดคล้องกับธรรมชาติ

และรูปแบบของมิติของพวกมันเองโดยเฉพาะ



ทีนี้ ถ้ายานบินลำใดบินเข้ามาสู่ระนาบของพวกคุณ การบิดเบือนอย่างรุนแรง ก็จะเกิดขึ้น

ซึ่งจะทำให้โครงสร้างที่แท้จริงของมันมากก็จะตกอยู่ในสภาวะวิกฤติ ระหว่างการเปลี่ยนรูปแบบตัวมันเอง

ไปเป็นวัสดุที่มีอยู่ในมิติของพวกคุณโดยสมบูรณ์แบบ กับการพยายามรักษารูปแบบดั้งเดิมของตัวมันเองไว้



ชาวโลกที่พบเห็นยานบินดังกล่าวนั้น เพราะพยายามที่จะเชื่อมโยงสิ่งที่ตนเองพบเห็น

ให้เข้ากับระบบความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องจักรวาลของพวกเขาเอง



เพราะฉะนั้น ผลลัพธ์สุดท้ายของสิ่งที่ชาวโลกผู้ที่เชื่อว่าพวกเขาได้พบเห็นยานบิน ก็คือ

พวกเขามองเห็นยานบินรูปร่างแปลกๆ และพร่ามัว เหมือนกำลังอยู่ในแสงสว่างที่กำลังหมุนอยู่



แต่ว่าความจริงแล้ว มันไม่ใช่เลย ยานบินจะรักษาสภาพโครงสร้างเดิมของมันเอาไว้ เท่าที่มันจะทำได้

และเปลี่ยนรูปแบบโครงสร้างของมันเอง ในส่วนที่จำเป็นจะต้องเปลี่ยน เพื่อให้เข้ากับกฎของระนาบแห่งมิติใหม่นั้นๆได้



เพราะว่าชาวโลกเมื่อได้เห็นภาพเดียวกันนี้แล้ว ก็แปรความหมายเอาเองตามความเชื่อและภูมิปัญญาของตนเอง

เพราะฉะนั้น สิ่งที่พวกเขารายงานเกี่ยวกับรูปร่าง, ขนาด และสีของมัน จึงผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงไปมาก



มีน้อยครั้งที่ยานบินถูกพบเห็นในมุมที่ถูกต้อง ตรงกับที่มันถูกสร้างมา ตามที่ปรากฏอยู่ในมิติของมันเองจริงๆ





....................................................................................................................................................



ตอนที่ 11



ดังนั้น สิ่งที่ดูเหมือนจริงเหลือเกินสำหรับพวกคุณ อย่างมากมันก็เป็นแค่ภาพที่บิดเบือนเท่านั้นเอง



ยานบินส่วนมาก มาจากมิติและระนาบที่มีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่าพวกคุณมากมายนัก

ยานบินที่พวกคุณพบเห็น แม้แต่ที่เป็นภาพที่บิดเบือนนั้นก็ตาม ก็ไม่ได้ถูกสร้างมาจากสิ่งที่พวกเราเรียกว่า

“ระนาบที่สูงกว่าของความคิดที่บริสุทธิ์” หรือ “ระนาบแห่งจิตสำนึก-วิทยาศาสตร์” เลย







เพราะฉะนั้น ภาพสะท้อนจากคุณสมบัติบางอย่างของเครื่องพราง บางครั้งจึงดูเหมือนว่าสามารถมองเห็นได้

ยานบินเหล่านี้ ที่ตั้งใจเดินทางมาที่มิติของพวกคุณ จะมาอยู่เพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น

เพราะว่ายานพาหนะจากอวกาศชั้นในเหล่านี้ ไม่สามารถอยู่ในระนาบของพวกคุณได้นานๆ

เพราะว่ามันมีเรียงตึงเครียดมหาศาลเกิดขึ้น ที่จะไปบีบอัดความแข็งแกร่งของโครงสร้างของยานบินเข้า

และแรงบีบอัดเหล่านี้ก็สามารถทำให้เกิดแรงกดดันอย่างมหาศาลขึ้น จนสามารถทำให้ยานบินเหล่านั้นสลายตัวไปในอากาศ

ภายในระยะเวลาไม่นาน ได้เลยทีเดียว





การจะทำให้โครงสร้างของยานบินเปลี่ยนรูปแบบกลายเป็นวัตถุธาตุทางกายภาพ เพื่อให้เข้ากันได้กับกฎทางฟิสิกส์ของพวกคุณ

ซึ่งอยู่ต่างมิติกันแบบนี้ จำเป็นจะต้องได้รับการฝึกฝน และในเวลานี้ จึงไม่มียานบินใดๆที่สามารถอยู่ได้ในมิติของพวกคุณ

โดยไม่มีขีดจำกัดด้านเวลาเลย



เปรียบเทียบคร่าวๆก็จะเหมือนกับ การที่เรือดำน้ำของพวกคุณ ถ้าลงไปลึกเกินระดับลึกสุดที่มันสามารถจะลงไปได้แล้ว

มันก็จะประคองตัวเองไว้ไม่ให้ได้รับความเสียหายได้อย่างยากลำบาก และในไม่ช้ามันก็จะได้รับความเสียหาย

จากความดันที่สูงเกินจะทนรับได้ในที่สุด คุณเข้าใจไหม๊?



ดังนั้น รูปร่างของยานบินที่พวกคุณเห็น มันจึงเป็นรูปร่างลวงตา ที่บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริงของมัน



มีหลายครั้งที่ชาวโลกรายงานว่าพบเห็นยานบินรูปทรงซิการ์ หรือยาวๆเหมือนบุหรี่ซิการ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว

นั่นก็เป็นการมองเห็นที่บิดเบือนเหมือนกัน และมันก็ไม่ได้มีส่วนสัมพันธ์อะไรกับรูปร่างที่แท้จริงของมัน

ที่ถูกถูกออกแบบมาอย่างสลับซับซ้อน และถูกมองเห็นในมิติบ้านเกิดของมันเองเลยแม้แต่น้อย





....................................................................................................................................................





ตอนที่ 12



เราอยากจะบอกพวกคุณว่า มีชาวโลกหลายคนที่เชื่อเหลือเกินว่าการพบเห็นจานบินของพวกเขาเป็นเรื่องจริง

แม้ว่ามันจะมาจากภาพที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเองบ่อยๆก็ตาม





ตอนพวกคุณเป็นเด็ก มีพวกคุณกี่คนที่เคยเห็นซานตา คลอส อยู่บนท้องฟ้า นั่งอยู่บนรถเลื่อนที่ถูกลากด้วยกวางเรนเดียร์จริงๆบ้าง



ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ซานตา คลอส ของพวกคุณ ก็มีตัวตนอยู่จริงๆ และมีความตระหนักรู้อยู่จริงๆซะด้วย

เพราะว่าพวกคุณได้ป้อนอาหารให้แก่ “สิ่งมีชีวิตในรูปแบบความคิด” (thought form life) ของพวกคุณ

ผ่านทางระบบความเชื่อของพวกคุณเองอยู่เสมอ





และอันที่จริงแล้ว “ตัวละคร” มากมายจากนวนิยายของพวกคุณ ก็มีตัวตนอยู่จริงๆ และมีการตระหนักรู้อยู่จริงๆด้วยเช่นกัน

แต่อยู่ในรูปแบบของความคิดหรือจิต ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากกระแสจิตของผู้คนจำนวนมาก



คุณจะเห็นว่าพวกคุณมีความคิดสร้างสรรค์กันมากแค่ไหน เพราะว่าโดยแท้จริงแล้ว มันเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง

ของ “วิทยาศาสตร์ทางจิต” (Mental Science) ของพวกคุณเอง ที่ทำให้มันสัมฤทธิผล และสำแดงตัวตนออกมาได้

เพราะระบบความเชื่อของพวกคุณ



....................................................................................................................................................



ตอนที่ 13



แต่ก็อย่าเข้าใจผิดไปว่าสิ่งมีชีวิตนอกโลกจะมีเพียงที่อยู่ในมิติต่างๆเท่านั้น

เพราะว่ามันมีรูปธรรมชีวิตมากมายดาษดื่นอยู่ในเอกภพเต็มไปหมด และอันที่จริงแล้ว

มันก็มีอีกมากมายที่อยู่ภายใน และอยู่บนดาวเคราะห์โลกของพวกคุณด้วย



โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นบรรพบุรุษของพวกคุณเอง ที่กำลังทำงานร่วมกับพวกคุณ

ในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้น (ascension) และกระบวนการพัฒนาโลกใบนี้อยู่ในขณะนี้

ซึ่งในบรรดารูปธรรมที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาเหล่านี้ กลุ่มที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด

ก็คือชาวกลุ่มดาวลูกไก่ (Pleades), ชาวกลุ่มดาวซีรีอุส A และ B (Sirius A and B),

ชาวกลุ่มดาวแอนโดรมีด้า (Andromeda) และชาวกลุ่มดาวอาร์คทูริอุส (Arcturius)





อันที่จริงแล้ว พวกคุณหลายคน เคยอยู่ในยุคแอตแลนติสมาก่อน เหมือนๆกับรูปธรรมชีวิตเหล่านี้แหละ

และพวกคุณก็เคยอยู่ร่วมกันกับพวกเขาด้วย แต่อยู่ในมิติคู่ขนานกัน แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันก็ตาม

อย่างที่เราได้บอกท่านไปแล้วก่อนหน้านี้



ความจริงแล้ว รูปธรรมชีวิตเหล่านี้ สามารถดำรงอยู่ในรูปกายเนื้อได้บนดาวเคราะห์โลกของพวกคุณ

และพวกเขาก็ได้ทำเช่นนั้นมาแล้วเป็นเวลานานแสนนาน แต่นี่ก็ไม่บ่อยเท่ากับการเปลี่ยนรูปแบบ

โดยใช้วิทยาศาสตร์ทางจิต หรือการควบคุมอำนาจจิต



ยานอวกาศของพวกเขา ไม่มาปรากฏในมิติของพวกคุณอย่างที่พวกคุณหลายคนจินตนาการไว้

เพราะความจริงแล้วรูปธรรมชีวิตเหล่านี้ ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยีประตูมิติหรือสตาร์เกต (Stargate)

เพื่อช่วยให้พวกเขามาปรากฏตัวที่มิติของพวกคุณได้ ซึ่งมันก็คล้ายๆกับ “การบีม” (beaming)

ในหนังเรื่องสตาร์เทร็ก (Star-Trek) ของพวกคุณนั่นแหละ







....................................................................................................................................................





ตอนที่ 14



ตอนนี้ ระนาบระหว่างมิติต่างๆ แห่งโลกหลากมิติ สามารถรวมกัน และก็ได้รวมเข้าด้วยกันแล้วในดาวเคราะห์หลายดวง

เหมือนกันกับบนดาวเคราะห์โลกของพวกคุณ และบ่อยครั้งที่พวกเขา ไม่ตระหนักรู้ หรือรู้สึกถึง

รูปธรรมชีวิตที่อยู่ในระนาบอื่นๆที่อยู่บนดาวดวงเดียวกันนั้นเลย





คุณรู้ไหมว่า ระนาบของมิติคู่ขนาน บ่อยครั้งที่จะมีลักษณะโฮโลแกรม (hologramic) โดยธรรมชาติ

เพราะฉะนั้น พวกมันจึงไม่จำเป็นต้องอาศัย “พื้นที่ว่าง” ในการดำรงอยู่เลย

พวกมันไม่ใช่สถานที่จริงๆในนิยาม หรือ หลักการเกี่ยวกับ “สถานที่” ของพวกคุณ



ระนาบโฮโลแกรมคู่ขนานใดๆ อาจจะเป็นภพภูมิแห่งจิต ที่แทรกอยู่ในกาลเวลาใดกาลเวลาหนึ่งก็ได้

หรือมันอาจจะเป็นภพภูมิพิเศษเฉพาะที่อยู่อย่างเดี่ยวๆก็ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ได้ทำให้ความมีอยู่ของมัน

ลดน้อยถอยลงแต่ประการใด





ความจริงแล้วงานศิลปะของคริสโต (Christo Vladimirov Javacheff) จำนวนมากมาย

ก็เป็นการสอดแทรกโฮโลแกรมเข้าไปอย่างตั้งใจแบบนั้นเหมือนกัน การสอดแทรกโฮโลแกรม

อาจจะดำรงอยู่ในแค่ในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นก็หายไป เพราะว่ามันไม่ใช่ “สถานที่” ที่แท้จริงในเอกภพ



การสอดแทรกโฮโลแกรมใดๆ จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้รูปธรรมชีวิตทั้งหลาย

ใช้เติมเต็มอารมณ์และเติมเต็มบทเรียน ในระดับต่างๆกัน

มนุษย์โลกมักจะไม่รู้ว่า “อารมณ์ความรู้สึก” และ “จินตนาการ” มีความสำคัญและให้ผลลัพธ์ออกมาได้มากแค่ไหน

ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในวิทยาศาสตร์ทางจิต (Mental science) เลยทีเดียว



เพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว สภาวะของอารมณ์ และสิ่งที่พวกคุณเรียกว่า “จินตนาการ”

หรือความคิดเพ้อฝันนั้น มันคือ “ระนาบแห่งมิติ” และความจริงแล้ว ระนาบแห่งมิติหนึ่งๆ

ก็มีความคล้ายคลึงกันกับสภาวะอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนั่นเอง ซึ่งถ้าเปรียบเทียบแบบนี้แล้ว

มันจะเหมาะสมและสมเหตุสมผลมากกว่าการที่จะไปเปรียบเทียบระหว่าง “ระนาบ” กับ “สถานที่” ซะอีก





....................................................................................................................................................



ตอนที่ 15



ตอนนี้ ชาวกลุ่มดาวลูกไก่ และดาวซีรีอุส ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ DNA ของพวกคุณ

กำลังทำงานอย่างใกล้ชิดอยู่กับมนุษย์โลก และหากจะพูดตามภาษาของพวกคุณ ที่เข้าใจว่าเวลาเป็นเส้นตรงแล้ว

ก็น่าจะพูดได้ว่า รูปธรรมชีวิตผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาเหล่านี้ เคยทำงานกับพวกคุณมาแล้ว

ทั้งในอดีต, ปัจจุบัน และในอนาคต

พวกเขาพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะช่วยให้มนุษย์โลก ได้ "อำนาจอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของตนเอง" กลับคืนมา



รูปธรรมชีวิตเหล่านี้ทำงานกับสนามแรงโน้มถ่วง, ระบบโครงข่ายแม่เหล็ก,

ระบบการหมุนเวียนของกระแสลมและกระแสน้ำ และระบบทางเข้าออกของดาวเคราะห์โลกของพวกคุณ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอัพเกรดประตูมิติของโลกที่กำลังมีการปรับปรุงกันใหม่อยู่ในขณะนี้

เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงได้พัฒนาวิธีการที่จะให้สามารถอยู่ร่วมกันกับพวกคุณให้ได้ในระดับหนึ่ง

และเพื่อที่จะให้สามารถปรากกกายของตนเองให้สามารถอาศัยอยู่ภายในและอยู่บนโลกของพวกคุณได้





พวกเขามักจะสร้างรูปวงกลมที่บรรจุรหัสของข้อความบางอย่างเอาไว้ เพื่อช่วยเหลือพวกคุณในด้านต่างๆมากมาย

ซึ่งส่วนหนึ่งของวงกลมที่ว่านี้ก็คือ “วงกลมปริศนาแห่งท้องทุ่ง” (Crop circle) นั่นเอง



วงกลมปริศนาเหล่านี้ถูกส่งออกมา โดยเริ่มแรกจะออกมาในรูปของกระแสจิตแห่งแสงสว่างที่เข้มข้นก่อน

จากนั้นก็จะไปรวมเข้ากับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของโลก เพื่อสร้างให้เกิดรูปสัญลักษณ์ต่างๆ ตามที่ได้ตั้งโปรแกรมเอาไว้



(energy in space)




วงกลมปริศนาเหล่านี้ มีพลังงานไฟฟ้าสูงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นชาวโลกที่เคยเข้าไปนั่งในวงกลมปริศนา

ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆนี้ จึงสามารถยืนยันถึงความแรงของพลังงานที่มีอยู่ในนั้นได้

....................................................................................................................................................







ตอนที่ 16 - จบครับ





กล่าวปิดท้าย





เราจะขอกล่าวทิ้งท้ายไว้ให้พวกคุณว่า ทุกสรรพชีวิตล้วนเกิดมาจากแสงสว่างทั้งสิ้น

และแสงสว่างที่ว่านั้น ก็กำเนิดมาจาก “จิตสำนึก” หรือ “สติสัมปชัญญะ” (consciousness)

ซึ่งนั่นก็คือจาก “ความคิด!” นั่นเอง



ภารกิจของพวกคุณบนดาวเคราะห์โลกใบนี้ คือการมาเรียนรู้ถึงความเป็นทวิภาวะ

(Duality – หมายถึงการมีทั้งดี-ทั้งชั่วในคนๆเดียวกัน และอื่นๆที่เป็นคู่ตรงข้ามกันแบบนี้ – ผู้แปล)

เพื่อที่จะมาเรียนรู้, มาพัฒนา และมาค้นหาแสงสว่างให้เจอ วัตถุประสงค์ของพวกคุณ ก็คือการมาเผชิญชีวิต

และเพื่อมาแสวงหาความเข้าใจ



เพื่อที่จะมาทำให้ความลึกลับของชีวิตเปิดเผยตัวออกมา พวกคุณจะพบว่า

ความรักคือความสั่นสะเทือนแห่งการสรรสร้างของทุกสิ่งทุกอย่าง และพวกคุณจะพบว่า

การแสวงหาความรู้ ซึ่งหมายถึงความรู้ที่แท้จริงเท่านั้น คือกุญแจสำคัญแห่งการพัฒนา…



...เราได้บอกคุณไปแล้วว่าความรักคือกุญแจ ความรักคือภาษาแห่งแสงสว่างอย่างหนึ่ง

และมันก็อยู่ในรูปแบบต่างๆมากมาย พวกเราได้บอกคุณไปแล้วว่า “ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข”

(Unconditional Love) คือรูปแบบที่สูงสุดของความรัก ซึ่งในมิติที่ 3 ของพวกคุณ ไม่อาจจะเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้



แม้ว่ามันจะสามารถจินตนาการถึงได้ แต่ว่าก็จะไม่สามารถประจักษ์แจ้งจริงๆได้ในมิติที่ 3

แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขนี้ ไม่มีอยู่สำหรับพวกคุณ หรือว่าจะไม่สามารถเข้าถึงมันได้

หากว่ายังอยู่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ เพราะว่าจริงๆแล้วมันก็มีอยู่ เพียงแต่ว่ามันอยู่ในมิติที่ 5 ขึ้นไปเท่านั้นเอง



ประเด็นนี้อาจจะทำให้พวกคุณงง เพราะว่าพวกคุณคิดว่า พวกคุณก็ได้ประจักษ์กับความรักแบบไม่มีเงื่อนไข

มาบ้างแล้วเหมือนกัน ซึ่งนั่นก็ถูกต้อง เพราะว่าพวกคุณได้ประจักษ์แล้วจริงๆ พวกคุณสามารถทำได้

และก็ทำได้จริงๆซะด้วย แต่ที่ทำได้นั้นหนะ ไม่ใช่ตอนที่พวกคุณกำลังอยู่ในทวิภาวะแห่งมิติที่ 3 นี้หรอกนะ



เพราะว่ามิติที่ 3 นี้ มันเป็นมิติแห่งความมีเงื่อนไข และมันก็ถูกโปรแกรมเอาไว้อย่างลึกซึ้ง

และถูกออกแบบมาให้มีความเป็นขั้วที่สลับซับซ้อนมากๆ



ในมิติที่ 3 นี้ ความรักมันก็มีขั้วตรงข้ามเป็นของมันเองด้วย เช่นเดียวกันกับแสงสว่าง

และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในสเปกตรัมของแม่เหล็กไฟฟ้า



ในมิติที่ 3 นี้ ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข มันจะถูกรับรู้ได้ ก็ต่อเมื่ออยู่ในสนามพลังแห่งจุดศูนย์ (Zero Point Field) เท่านั้น

ซึ่ง ณ. สภาวะนั้น มันจะปราศจากความเป็นขั้ว สนามพลังแห่งจุดศูนย์นี้ ไม่ใช่ทวิภาวะอย่างหนึ่ง และก็ไม่มีความเป็นขั้วด้วย



แบบแผนของมิติที่ต่ำที่สุด ที่จะสามารถรับรู้ถึงคุณสมบัติของความรักแบบไม่มีเงื่อนไขได้ ก็คือมิติที่ 5

และที่มิติที่ 5 นี่เอง ที่พวกคุณรับรู้มันได้ ตามที่กล่าวไปแล้วนั้น คุณเข้าใจไหม๊?





ชาวโลกที่รักทั้งหลาย ในขณะที่พวกคุณกำลังเจริญเติบโตอยู่นี้ พวกเราอยากจะบอกคุณว่า ในมิติที่สูงๆกว่านั้น

แท้ที่จริงแล้ว พวกคุณได้ตระหนักรู้อย่างสมบูรณ์แบบ ถึงความสลับซับซ้อนของตัวตนทั้งหมดของพวกคุณเอง

ที่มีจำนวนนับพันๆ ที่แผ่ขยายออกมาจากวิญญาณของพวกคุณเองเรียบร้อยแล้ว



ซึ่งความตระหนักรู้ผ่านทางตัวตนเหล่านี้เองที่พวกคุณเรียกว่า “จิตใต้สำนึก” (Subconscious mind)

ซึ่งมันคือประกายหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า (spark of God) และพวกคุณทุกคนก็สามารถเข้าถึงมันได้

ด้วยวิธีการทำจิตสำนึกให้สงบนิ่ง (quieting the conscious mind) ด้วยการลงมือปฏิบัติ!

ด้วยความพากเพียรพยายาม! ด้วยการเข้าให้ถึงสภาวะที่สมบูรณ์แบบดังกล่าวนั้น มันเป็นความฝันที่สวยงาม

และมันก็สลับซับซ้อนพอๆกับ “ลูกบาศก์ 12 มิติแห่งเมตาตรอน” (Metatron’s 12 dimensional cube)



จงทำความลึกลับให้กระจ่างเถิด !





เราคือเมตาตรอน และพวกคุณคือผู้ที่เรารัก





...และมันก็เป็นเช่นนี้เอง....









ที่มา : http://spiritlibrary.com/earth-keeper/earth-keeper-chronicles/inner-earth-devic-kingdom-ufo-phenomena

____________________

เครดิต : Chayutt



http://board.palungjit.com________________________________

แสดงความคิดเห็น

 
Top