กินต้านเครียด
เครียดๆๆ..หน้านิ่ว คิ้วขมวด ตึงทั้งวัน ถือเป็นอาการปกติของคนยุคใหม่ เพราะสารพัดปัญหามากมายในชีวิตประจำวัน ที่ขยันผ่านมาให้ขบคิด ทั้งเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องหนี้สิน รวมไปถึงปัญหาอีกร้อยแปดประการที่เข้ามาสร้างความกดดันให้เกิดความเครียด
สำหรับบางคนก็รู้ตัวว่าตนเองเครียด ขณะที่บางคนก็เครียดแบบสะสม ซึ่งมักไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองกำลังเครียด แต่ไม่ว่าจะมีความเครียดในรูปแบบใด ก็มักล้วนส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย ส่งผลต่อภาวะของอารมณ์และจิตใจ อาการที่พบบ่อยๆ เช่น มึนงง ,ปวดศีรษะ ,นอนไม่หลับ ,ระบบขับถ่ายแปรปรวน ,หายใจไม่อิ่ม ,คลื่นไส้อาเจียน ,วิตกกังวล ,หงุดหงิด , ซึมเศร้า,นอนไม่หลับ เป็นต้น
คุณมีความเครียดหรือไม่
ลองถามตัวคุณเองซิว่า มีอาการเหล่านี้หรือไม่ หากมี นั่งอาจเป็นสัญญาณเตือนว่า คุณเริ่มเครียดเสียแล้ว
- อาการแสดงทางร่างกาย
มึนงง ปวดตามกล้ามเนื้อ กัดฟัน ปวดศีรษะ แน่นท้อง เบื่ออาหาร นอนหลับยาก หัวใจเต้นเร็ว หูอื้อ มือเย็น อ่อนเพลีย ท้องร่วง ท้องผูก จุกท้อง มึนงง เสียงดังให้หู คลื่นไส้อาเจียน หายใจไม่อิ่ม ปวดท้อง
- อาการแสดงทางด้านจิตใจ
วิตกกังวล ตัดสินใจไม่ดี ขี้ลืม สมาธิสั้น ไม่มีความคิดริเริ่ม ความจำไม่ดี ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
- อาการแสดงทางด้านอารมณ์
โกรธง่าย วิตกกังวล ร้องไห้ ซึมเศร้า ท้อแท้ หงุดหงิด ซึมเศร้า มองโลกในแง่ร้าย นอนไม่หลับ กัดเล็บหรือดึงผมตัวเอง
- อาการแสดงทางพฤติกรรม
รับประทานอาหารเก่ง ติดบุหรี่สุรา โผงผาง เปลี่ยนงานบ่อย แยกตัว
ท้องไม่รับ
คุณคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “เครียดลงกระเพาะ” ซึ่งเป็นอาการของความเครียดที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป ในบางคนเมื่อรู้สึกเครียดแล้ว ก็กินจนควบคุมไม่ได้ หุ่นที่เคยเพรียวลมสมส่วน ก็บะละฮึ่มขึ้นพรวดชนิดยั้งไม่อยู่ และที่สำคัญคือ จะกลับมาลดให้ผอมก็ยากเย็นแสนเข็ญ
ส่วนอีกพวกหนึ่งคือ มีอาการซึมเศร้าเหงาหงอย เบื่ออาหาร และไม่กิน ร่างกายก็จะขาดน้ำตาล ส่งผลให้เกิดความหงุดหงิด  อ่อนเพลีย หมดแรงพลัง เมื่อถึงเวลาทำงานก็ไร้เรี่ยวแรง ซึ่งผลกระทบที่ต้องตามมาอย่างแน่นอนก็คือ เกิดความวิตกกังวล อันเป็นวงจรซ้ำซากของความเครียดที่เกิดกับคนในสังคมส่วนใหญ่
ในภาวะเครียด ร่างกายจะสลายไขมันและน้ำตาลออกมา เพื่อผลิตพลังงานเพิ่มขึ้น ยิ่งเครียดมากเท่าไร ร่างกายจะยิ่งดึงสารอาหารออกมาใช้มากขึ้น จึงทำให้เรารู้สึกเพลีย อ่อนแรง หงุดหงิด นอนไม่หลับ ซึ่งเคล็ดลับสำหรับการทานต้านเครียดให้บรรดามนุษย์ค้างคาวก็ทำได้ไม่ยาก เพียงในช่วงอาหารมื้อค่ำ คุณควรทานแบบเบาๆ ไม่อิ่มมาก และพวกที่ชอบดื่มชา กาแฟ เพื่อกระตุ้นร่างกายจากอาการมึนงง ง่วงเหงานั้น ถ้าดื่มน้อยๆ ก็อาจจะรู้สึกว่าดี ช่วยให้สมองแจ่มใส แต่ถ้าดื่มมากเกินไป กลับเป็นผลลบ เพราะกาเฟอีนมีฤทธิ์เป็นสารกระตุ้นและเพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ และฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ ทำให้ไตทำงานหนักขึ้น จนเพิ่มความเครียดในการทำงานของร่างกายมากขึ้นไปอีก อย่างที่เราเห็นกันว่า ทำไมบางคนที่ติดกาแฟ หรือทานกาแฟมากๆ ถึงดูแก่กว่าวัย
เพชรฆาตขจัดเครียด
วิธีการลงและต้านความเครียด ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่หลายคนรู้กันอยู่แล้ว คุณอาจออกไปพักร้อนตามต่างจังหวัด หรือจะดูหนังฟังเพลง เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ แต่รู้หรือไม่ว่า อาหารการกินก็สามารถเป็นเครื่องมือกำจัดความเครียดได้ดีอีกอย่างหนึ่ง
สำหรับอาหารที่จะต้านทานความเครียดนั้น ทำได้ไม่ยาก เพียงคุณควรเลือกรับประทานอาหารที่ให้ไขมันต่ำ เช่น หลีกเลี่ยงอาหารมันเยิ้ม อย่าง กากหมู ข้าวมันไก่ แล้วหันมาบริโภคอาหารที่มีกากใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้หลากชนิด
นอกจากนี้ การทานวิตามิน บี และสารอาหารประเภทแอนติออกซิแดนท์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน ซี ก็จะช่วยให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกัน และทนต่อความเครียดในสภาวะต่างๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งการทานวิตามิน ซี นอกจากช่วยต้านความเครียดแล้ว ยังมีประโยชน์มากมาย อย่างที่สาวๆ ชอบกันมากคือ ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง สดใส  และยังช่วยต้านหวัดได้ดีอีกด้วย  และยิ่งปัจจุบัน มีวิตามิน ซี
การมองโลกในแง่ดี นอนพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 6–8 ชั่วโมง ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็ทำให้เรื่องเครียดกลายเป็นปัญหาจิ๊บจ้อยที่เราสามารถจัดการได้ไม่ยากนัก ยิ่งขจัดความเคียดได้มากและบ่อยเท่าใด ก็ถือว่าเสียว่าเป็นการคืนกำไรให้กับชีวิต พร้อมคืนวัยวันอันสดใส ให้เราได้มีแรงต่อสู้กับปัญหาต่างๆ แบบสบายๆ
ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info

แสดงความคิดเห็น

 
Top