หลังออกจากวงการข่าวมานานถึง 2 ปี ล่าสุด ไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสเจอะเจอ 'ขวัญ-สู่ขวัญ บูลกุล' ในงานเปิดตัวคอลเลกชั่นสปริง/ซัมเมอร์ 2016 แบรนด์ Vatanika แน่นอนว่า เราไม่รอช้าตรงดิ่งเข้าไปกระทบไหล่ คว้าตัวเธอมาอัพเดตชีวิตครอบครัวสุดแฮปปี้ที่เพิ่งฉลองครบรอบแต่งงาน 12 ปีไปหมาดๆ พร้อมเคล็ดลับการดูแลหุ่นสวยเซียะเป็นคุณแม่ยังสาววัย 43 ปี ให้แฟนๆ ชาวไทยรัฐออนไลน์ได้หายคิดถึงกัน ซึ่งเธอก็ไม่อิดออดที่จะแง้มให้เราฟังหมดเปลือกแบบเอ็กซ์คลูซีฟสุดๆ เลยล่ะ … ว้าว !
ชีวิตที่เพอร์เฟกต์ลงตัว
หลังออกจากวงการข่าว เราก็ผันตัวเองมาเป็นคุณแม่เต็มตัวเลี้ยงน้องปราบอย่างเดียวเลย ไม่ได้ทำธุรกิจอะไรอย่างอื่น ดูแลครอบครัว และลูกเป็นหลัก ซึ่งเราว่ามันก็ดีตรงที่ได้มีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น ชีวิตตอนนี้ถือว่าลงตัวทีเดียว ค่อนข้างแฮปปี้ และด้วยความที่เรามาเป็นแม่บ้านเต็มตัว มันก็ทำให้เราได้ไปไหนมาไหนกับสามีตลอดมากขึ้นด้วย
จุดเปลี่ยนที่ก้าวออกจากวงการข่าว
คงเป็นความรู้สึกอิ่มตัวนะ เพราะเราทำงานข่าวมา 8 ปีเต็มๆ แบบไม่ได้พักเลย ตอนนั้นเราทำรายการสด 'เรื่องเล่าเช้านี้' อยู่ แล้วเราก็มีความรู้สึกค่อนข้างอิ่มตัวกับรายการสด และอย่างที่รู้ๆ กันทำรายการสด นั่นหมายความว่าเราไปไหนไม่ได้เลย เราต้องสแตนด์บายอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า น่าจะพอได้แล้ว อีกอย่างตอนนั้นเป็นช่วงที่เราอายุ 40 พอดีด้วย เราก็คิดว่ามันอาจจะมาครึ่งทางชีวิตก็ได้ ถ้าสมมติเราตาย 80 ก็ถือว่าเราไม่ใช่คนอายุสั้น ใช้ชีวิตครบ-คุ้มค่าครึ่งชีวิตแล้ว นั่นก็เลยเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนให้เราออกมาจากวงการข่าวน่าจะดีกว่า
ครอบครัวว่ายังไงบ้าง ? ไม่ว่าอะไรเลย ทางสามี (โชค บูลกุล) คือแฮปปี้มากที่จะให้เรามีเวลา Full Time มาเลี้ยงลูกสักที เพราะสามีเองก็ค่อนข้างงานเยอะมาก ล้น 7 วันเลย แทบจะทำงาน 7 วันต่ออาทิตย์ สามีโอเคมาก...ก ที่จะให้เรามีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น และมันก็เป็นช่วงรอยต่อที่ลูกจะเข้าสู่วัยรุ่นด้วย ตอนนี้น้องปราบอายุ 10 ขวบแล้ว อะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้เราต้องตัดสินใจ ฉะนั้นตอนนี้เราไม่เห็นจะมีโอกาสอะไรน่าสนใจไปกว่าได้ใช้เวลาทั้งหมดกับลูก
เมื่อผันตัวเองเป็น 'คุณแม่' เต็มตัว
แน่นอนว่า การใช้ชีวิตก็คงต้องเปลี่ยนไป โดยเฉพาะความรับผิดชอบที่ต้องมีมากขึ้น เมื่อเรามีลูกแล้วก็ควรต้องจัดอันดับความสำคัญของลูกเราให้เป็นอันดับหนึ่งก่อนทุกๆ เรื่อง เราเป็นคนที่ใช้ชีวิตโดยเอาลูกเราเป็นอันดับหนึ่งนะ จัดสรรตามความจำเป็นของชีวิตลูก อะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาต้องจัดการทั้งหมด แล้วเวลาที่เหลือจากการดูแลลูกนั่นแหละถึงจะเป็นเวลาของเรา เรายังใช้ชีวิตคงคอนเซปต์แบบนั้นอยู่ตลอดๆ ถ้าถามว่ายากไหมกับการเป็นคุณแม่เต็มตัว ส่วนตัวเราว่าไม่ยากเลยนะ มันเป็นไปตามธรรมชาติโดยสัญชาตญาณอยู่แล้ว เราเชื่อว่าแม่ทุกคนก็เป็นเหมือนกันที่รู้ว่าควรต้องทำอะไรให้กับลูกบ้าง
เทคนิคการเลี้ยงน้องปราบ
เอาจริงๆ เราไม่มีเทคนิคอะไรเลยนะ อยากรู้เหมือนกันเนี่ย (หัวเราะ) อื้ม…กับลูกเราคงใช้วิธีการพูดคุยกันซะมากกว่า อย่างที่บ้านเราจะสอนให้พูดคุยกันด้วยเหตุผลว่าอะไรเป็นอะไร อย่างไร ทำไมถึงทำแบบนั้นแบบนี้ เราก็จะใช้วิธีการนี้แหละมาสอนลูกเราอีกที สิ่งสำคัญที่สุดคือ เวลาที่ให้กับลูก เราจะใช้ช่วงเวลาก่อนนอนคุยแลกเปลี่ยนความคิดความรู้สึกกับลูก ฟังในสิ่งที่เขาพูดอยากจะบอก เราว่ามันสำคัญกว่าเราพูดให้เขาฟังนะ เพราะมันทำให้เรารู้ว่า เขาคิดอะไร รู้สึกยังไง และเราจะสามารถรับรู้ถึงพัฒนาการ-ความคิดของเขาได้ ทุกวันนี้เราก็นอนกับลูกนะ เรารู้สึกว่าช่วงเวลาก่อนนอนเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากจริงๆ
วิธีลงโทษเด็กดื้อ !
ครั้งแรกเราจะใช้วิธีเบาๆ ก่อน ด้วยการดุ ถ้าเกิดยังทำอีกก็จะเริ่มดุมากๆ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจต้องให้พูดเรื่องเดียวกันซ้ำๆ อันนี้เราจะมีมาตรการขั้นเด็ดขาดแล้ว ดุจนคาดโทษ เช่น ไม่ให้ไปเล่น ไม่ให้ทานขนม หรือสมมติอาทิตย์นี้มีโปรแกรมนัดกันจะไปเที่ยวที่ไหน เราก็จะทำโทษด้วยการไม่ไปแล้ว ให้อยู่บ้านแทน ถ้าท้ายสุดยังไม่ได้ผลอีก เราก็จะอาศัยการตี ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่เราไม่อยากทำเลย แต่ขอให้รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราทำแบบนั้น แสดงว่านั่นคือความผิดที่เรารับไม่ได้แล้ว เราจะบอกลูกตั้งแต่ต้นว่า ถ้าจะตีเพราะ 1. ลูกทำผิด และ 2. คือสอนแล้วไม่จำ เราจำได้ว่าเคยตีลูกอยู่ 1-2 เองมั้ง เหมือนตอนนั้นเขาโมโหแล้วกระทืบเท้า ขว้างของกับพื้น ยิ่งโกรธก็ยิ่งกระทืบเท้า คือมันเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควรจะทำกับแม่ และเราไม่ชอบเด็กไม่มีมารยาทด้วย เราเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องมารยาทมากนะ เมื่อเขาทำแบบนั้นเราก็เลยบอกให้เขาแบมือ แล้วก็ตีมือเขาด้วยมือเราเอง บอกกับเขาด้วยว่าที่ต้องตีเพราะอะไร เพราะลูกจะทำกิริยาอย่างนี้กับเราไม่ได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราตีแสดงว่ามันที่สุดแล้วจริงๆ เราโกรธสุดๆ แล้ว
แต่ทุกครั้งที่เราทำโทษลูก ช่วงเวลาก่อนนอนเราก็จะคุยปรับความเข้าใจกันนะว่า เพราะอะไรเราถึงทำแบบนั้น ลูกเข้าใจใช่ไหมว่าทำไมเราถึงต้องดุต้องตี เราเองก็เสียใจนะที่ดุที่ตี แต่เพราะลูกไม่ปรับปรุงตัว เราก็จำเป็นที่จะต้องดุ ถ้าคุยกันด้วยเหตุผลแล้วลูกเข้าใจ ลูกก็จะไม่โดนดุ สิ่งที่เราสอนหรือดุไป มันเป็นประโยชน์กับลูกรึเปล่า ลูกต้องคิดดู? เราจะอธิบายให้เขาเข้าใจ เข้าใจมากเข้าใจน้อยรับได้แค่ไหนก็แค่นั้น ถึงได้บอกว่าช่วงก่อนนอนเป็นช่วงที่สำคัญ บางคนอาจคิดว่าลูกเด็กไปรึเปล่าที่เราจะแสดงเหตุผล แต่สำหรับเราคิดว่าพูดไปเถอะ มี 100 ลูกรับได้ 50 ก็ 50 พอวันหนึ่งเขาโตขึ้นก็ค่อยๆ ขยับเป็น 60 บ้าง 70 บ้าง ลูกจะค่อยๆ รับ เข้าใจเหตุผลต่างๆ ได้เอง แต่เราจะคุยกับลูกด้วยเหตุผล มันจะเป็นหลักเกณฑ์ในการใช้ชีวิตของเขาต่อไปในอนาคต
ลูกชายตัวแสบค่อนข้างติดแม่
ค่อนข้างติดเลยทีเดียว แต่ไม่ถึงขนาดร้องหาเราทั้งวัน ส่วนมากเวลาที่ติดแม่ก็เป็นช่วงก่อนนอนนี่แหละ อย่างที่บอกมันเป็นช่วงเวลาเปิดใจคุยกัน ให้เรากับลูกสนิทกันมากขึ้น เราแฮปปี้นะที่ลูกติดเรา เพราะมันทำให้เรามีช่วงเวลาดีๆ อยู่ด้วยกัน ทุกวันนี้เอาจริงๆ เราแทบจะไม่ออกไปไหนตอนกลางคืนเลย เพราะเรารู้ว่าช่วงก่อนนอนมันสำคัญกับลูกขนาดไหน มันไม่ใช่แค่เราไปตบก้น หรือร้องเพลงกล่อมให้หลับ ทว่ามันเป็นช่วงเวลาที่คุยในทุกๆ เรื่อง ทั้งให้คำปรึกษา ฟังเรื่องต่างๆ ในมุมของเขา
ปูทางพื้นฐานชีวิตเจ้าตัวแสบ
เอาจริงๆ เราไม่มีแพลนให้ลูกเลยว่า จบม.3 หรือ ม.6 จะต้องไปเรียนต่อเมืองนอกเหมือนครอบครัวอื่น ไม่ได้คิดถึงขั้นว่าจะต้องเรียนป.ตรี - ป.โทด้วยซ้ำ เราเชื่อว่าทุกคนเกิดมาพร้อมกับตัวตนบางอย่าง และสิ่งที่เราไม่อยากทำที่สุดคือเปลี่ยนแปลงตัวตนนั้น เด็กคนหนึ่งจะไปได้ไกลที่สุด ก็ต่อเมื่อเขาพัฒนาตัวตนของเขาไปในจุดที่เป็นตัวตนที่ดีที่สุดจริงๆ ฉะนั้นเราไม่มีเป้าหมาย หรือวางแพลนให้ลูกเลยว่า เมื่อโตขึ้นเขาจะต้องมาดูแลธุรกิจครอบครัว หรือจะต้องเรียนแพทย์ วิศวะ บังคับเข้ามหา'ลัยดีๆ ให้ได้ จะต้องเรียนให้เก่ง กีฬาต้องเยี่ยม ดนตรีต้องเด่น เราอยากผลักดัน และซัพพอร์ตเขาให้โตไปในแบบที่เขาอยากเป็น เป็นในสิ่งที่เขารักเขาชอบที่อยู่ในตัวตนของเขาจริงๆ ซึ่งเราไม่สามารถบอกได้เลยว่า เด็กอายุ 10 ขวบวันนี้ จะเป็นใครทำอะไรในอนาคตเมื่อเขาอายุ 30 ลูกอาจเอ็นจอยที่จะเป็นนักกีฬา นักดนตรี หรืออะไรก็แล้วแต่ เราก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่ทั้งหมด ไม่ต้องไปเรียน ป.โท ป.เอก ให้เสียเวลา ถ้ารักที่จะเล่น และมีพรสวรรค์ก็ลุยเลย มุ่งมั่น ทุ่มเท เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้ดีไปกว่า...ในชีวิตเรามีโอกาสได้ทำอะไรในสิ่งที่เรารัก แล้วสามารถหาเลี้ยงชีพเองได้อีกแล้ว !
เคล็ดลับความสวยสาววัย 43 ปี
(หัวเราะร่า) ไม่สาวล่ะคะ แต่ที่เห็นอยู่อาจเพราะการออกกำลังกายช่วยได้มาก เราเป็นคนชอบวิ่ง วิ่งประมาณ 8 กิโลเมตรต่อวัน (อาทิตย์ละ 5-6 วันได้) เราว่ามันเป็นอะไรที่มากกว่ากีฬานะ การออกกำลังกายเป็นประจำ มันไม่ได้ช่วยแค่ร่างกายแข็งแรง เบิร์นหุ่นให้เป๊ะดูดี แต่มันยังมีผลกับจิตใจ ทั้งช่วยให้จิตใจแข็งแรงขึ้น และมีความสุขสดชื่นไปด้วย ซึ่งมันก็จะออกมาทางสีหน้าแววตาของเรานี่แหละ ยิ่งเรามีความสุข-ไม่เครียดกับเรื่องใดๆ มากเท่าไหร่ มันก็จะส่งผลให้หน้าดูเด็กลงด้วยเหมือนกัน ส่วนการทาครีม-นวดตัวอะไรต่างๆ พวกนั้นเป็นแค่ตัวช่วยเสริม
ทั้งนี้เรื่องการทานก็สำคัญไม่แพ้กันนะ ส่วนตัวแล้วเราเป็นคนทานเก่งมาก อ้วนง่ายเว่อร์ ไม่ค่อยระวังเรื่องการทานเท่าไหร่ เรายังชอบทานพวกกาแฟเย็น ชาเย็น ของหวานต่างๆ เราก็จะอาศัยมีลิมิตในการทาน เช่น ถ้าวันนี้เราทานกาแฟเย็นไป 2 แก้วแล้ว เราก็ไม่ควรทานขนมอย่างอื่นอีก หรือถ้าวันนี้เราอยากจะทานไอศกรีม หรือเค้ก เราก็ควรต้องลดของหวานอย่างอื่นลง หรืองดอาหารที่มันๆ ไปเลย วิธีนี้มันช่วยได้จริงๆ นะ ตั้งกฎกับตัวเองทำแบบนี้ให้เป็นนิสัย มีวินัยกับตัวเองมากๆ และหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ แบบนี้หุ่นอ้วนเผละก็ไม่มากวนใจแล้ว
สิ่งที่คาดหวังอยากจะทำในครึ่งชีวิตหลัง
ช่วงแรกของชีวิตเราได้ทำในสิ่งที่ควรทำไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ต้องเรียนหนังสือ ต้องทำงาน มีครอบครัวอะไรต่างๆ เราทำหน้าที่ตรงนั้นไปหมดแล้ว ฉะนั้นอีกครึ่งชีวิตที่เหลือเราอยากทำอะไรที่มันแตกต่างออกไป คือการทำในสิ่งที่อยากทำ อะไรที่ไม่อยากทำเราก็ไม่ทำ ง่ายๆ เลย อะไรที่เรารู้สึกสนุกท้าทายก็ทำ อยากไปไหนก็ไป แต่เหนือสิ่งอื่นใดเราต้องเอาลูกเป็นอันดับหนึ่งนะ เพราะชีวิตเราถูกดีไซน์ตามความต้องการของชีวิตลูก
สุดท้ายในฐานะที่เคยทำงานร่วมกับ 'สรยุทธ สุทัศนะจินดา' มานานถึง 8 ปี มีความคิดเห็นกับข่าวในเชิงลบของเขายังไงบ้าง
ในฐานะที่เราสองคนรู้จักกัน เคยทำงานร่วมกันมา อันนี้ถ้าเรามีความเห็นยังไง เราจะเป็นคนบอกกับเขาโดยตรงเอง ไม่ผ่านสื่อฯ นะ
แสดงความคิดเห็น