ยังคงไม่จบง่ายๆ สำหรับกรณีของนักร้องหนุ่ม “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” กับดาราสาว “แอนนี่ รุ่งนภา บรู๊ค” ที่เวลาล่วงเลยผ่านไปร่วมเดือนก็ยังไม่มีความกระจ่างว่าแท้จริงแล้วนักร้องหนุ่มเป็นพ่อของ “ด.ช.ฑีฆายุ แก้วไทรหาญ” อย่างที่ดาราสาวแอบอ้างหรือเปล่า เพราะยิ่งนานวันก็ยิ่งมีการแฉมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เรื่องดังกล่าวบานปลาย
ล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายวันนี้(13/ต.ค/53) “เกย์นที ธีระโรจนพงษ์” ประธานกลุ่มอัตลักษณ์ทางเพศและกลุ่มเกย์การเมืองไทย พร้อมกับกลุ่มเชียงใหม่อารยะและชมรมนักปั้นฯ นำโดย “ไก่ ทรงกลด” ได้เดินทางมายื่นหนังสือข้อเสนอแนะกรณีดารากับคุณค่าและทิศทางของวัฒนธรรมไทย ต่อ “นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมที่รัฐสภา โดยรัฐมนตรีกระทรวงดังกล่าวก็รับลูกทันที เผยว่าจะดำเนินการส่งจดหมายไปที่บริษัท อาร์เอส จำกัด(มหาชน) ว่ามีผู้มาร้องเรียนเช่นนี้ ส่วนทางบริษัทจะดำเนินการอย่างไรต่อไปกับนักร้องหนุ่มฟิล์มก็ต้องแล้วแต่การพิจารณาของบริษัทเอง โดยทางเกย์นทีก็ได้เผยถึงสาเหตุที่ต้องมายื่นหนังสือในครั้งนี้ว่า
“สาเหตุสำคัญของการมายื่นจดหมายให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมครั้งนี้ เพราะเนื่องจากสาเหตุว่ากระแสของดาราที่กำลังสร้างความตื่นตกใจให้กับสังคม และทำให้เกิดความรู้สึกว่าทิศทางของวัฒนธรรมของชาติมันจะไปทิศทางไหน ปัจจุบันนี้เราจะสังเกตุเห็นว่าดาราจำนวนไม่น้อยซึ่งตัวดาราเองก็ยอมรับว่าได้กระทำความผิด ทำความไม่เหมาะสม แต่ดาราเหล่านี้กลับลอยนวล และกลายเป็นบุคคลผู้ซึ่งได้รับโอกาสมากมายเหลือเกิน ทำให้พวกเราเกิดความกังวลมากว่าวัฒนธรรมของชาติที่บอกว่าคนที่เป็นตัวอย่างของบ้านเมือง เป็นไอดอลหรือว่าเป็นคนสาธารณะทำอะไรก็ต้องทำให้ดี ทำไม่ดีแก็ต้องมีการลงโทษ”
“สมัยก่อนใครทำอะไรไม่ดี ไม่ถูกไม่ต้องก็ต้องออกไปจากวงการเลย แต่เดี๋ยวนี้มันกลับตาลปัตรกลายเป็นว่าทำออกมามีปัญหาทางเพศจนกระทั่งเกิดท้องและตัดสินกันไม่ได้ว่าใครเป็นพ่อ เรื่องดีเอ็นเออะไรต่างๆ กลับกลายเป็นว่ามีงานต่างๆ เข้ามา แล้วก็มีแนวโน้มว่างานจะเข้าอย่างมาก"
"และทำให้ตอนนี้คนในสังคมเกิดความกังวลว่าแล้วเราจะสอนลูกหลานของเราได้อย่างไร ก็ในเมื่อตอนนี้ดาราที่ทำความไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม กลับกลายเป็นได้โอกาสมากมาย มันจะมีลัทธิเอาอย่างหรือไม่ แล้วผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองก็ไม่มีใครลุกขึ้นมาดูเรื่องนี้อย่างจริงจัง”
“ดังนั้นวันนี้ที่เรามายื่น 2 เรื่องก็คือเรื่องแรกดาราที่ทำตัวไม่เหมาะสม มันต้องมีการถูกพักงานในระดับหนึ่งก่อน เพื่อให้เขาไปทำตัวให้ดีก่อนแล้วสังคมไทยค่อยให้อภัย อย่างนี้เราสอนลูกหลานเราได้ คนในอนาคตวันหลังถ้าเขาจะทำความผิดเขาจะต้องคิดหน้าคิดหลัง ไม่ใช่ทำโดยพลการ ทำโดยเอาตามอำเภอใจ แล้วในที่สุดสังคมมันก็จะเละเทะอยู่อย่างนี้"
"เรื่องที่สองที่เรามายื่นก็คือเรามีความกังวลเพราะเราเห็นเบ้าหลอมต่างๆ ของดารา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปั้นดารา ค่ายต่างๆ ของดารา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของค่ายหรืออะไรก็ตาม เรามองเห็นสภาพปัจจุบันว่ามันกลายเป็นเบ้าเบี้ยว กระทั่งตัวนักปั้นเองจะสังเกตุว่าเราดูในรายการทีวีจะเห็นความก้าวร้าว เห็นได้ถึงความไม่มีสัมมาคารวะ เหล่านี้ซึ่งมันเป็นเรื่องพื้นฐานของคน”
“ดังนั้นถ้าเกิดคนเหล่านี้ซึ่งเป็นคนหลอมคนออกมา มีบุคลิกลักษณะคุณภาพชีวิตที่ดูแล้วมันไม่มีคุณภาพดีพอ สิ่งที่หลอมออกมาจะดีได้อย่างไร นี่ก็เลยนำเสนอท่านรัฐมนตรีว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีโอกาสที่ท่านรัฐมนตรีจะตั้งหน่วยงานขึ้นมา เพื่อประสานกับทางพวกคนที่เป็นเบ้าหลอมของบุคคลสาธารณะทางสังคม ให้เป็นเบ้าหลอมของคนที่มีทั้งองค์ความรู้ที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งท่านก็รับเรื่องไป แต่ว่าในส่วนขององค์กรเองเราก็มองว่าเรามาเพราะเราอยากจะเห็นผู้หลักผู้ใหญ่กล้าพอที่จะพูด แต่มาในวันนี้เราก็มีความรู้สึกว่าผู้หลักผู้ใหญ่ก็มีความคิดอีกด้านนึงเหมือนกัน”
“แต่อย่างน้อยสิ่งที่ท่านให้ความหวังกับเราก็คือท่านบอกว่า ท่านจะทำหนังสือไปยังค่ายที่ดาราสังกัดอยู่ ถ้าท่านทำจริงและเป็นเรื่องเป็นราวออกมามันก็เป็นการยืนยันว่าท่านเองก็นึกถึงเรื่องนี้ แต่ว่าท่านอาจจะมองมิติที่มันอาจจะซับซ้อนมากกว่าเรามองรึเปล่าไม่ทราบ แต่ตอนนี้เราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าถ้าข่าวออกไปให้ประชาชนได้รู้เถอะว่ามีคนจำนวนนึงและไม่น้อยด้วยที่ไม่เห็นด้วยเลยกับการที่มีเบ้าหลอมที่เบี้ยว และไม่เห็นด้วยเลยกับการที่ดาราเมื่อทำความผิดแล้วก็ยังลอยนวล และรับงานเจริญรุ่งเรือง อันนี้จะทำให้วัฒนธรรมของเราที่ดีๆ อยู่แล้วถูกลบทิ้งไป แล้วมีวัฒนธรรมใหม่ซึ่งเป็นวัฒนธรรมซึ่งคนอย่างองค์กรพวกเรารับไม่ได้ และคิดว่าจะต่อสู้ต่อไปจนถึงที่สุด”
ค้านที่องค์กรเพื่อนหญิงออกมาบอกให้ทุกฝ่ายหยุด บอกถ้าจะหยุดต้องไปหยุดที่สื่อต่างๆ ที่คอยนำเสนอ โดยเฉพาะรายการข่าวภาพเช้าของช่องต่างๆ เพราะเป็นคนทำให้วัฒนธรรมเสื่อมเสีย
“ที่มีองค์กรผู้หญิงบอกว่าอยากให้ทุกฝ่ายยุติเนี่ย จะบอกว่าถ้าอยากให้ทุกฝ่ายยุติต้องไปบอกฝ่ายที่ทำให้วัฒนธรรมเสียหายยุติ นั่นหมายถึงสื่อ รายการทีวีช่วงเช้าๆ ทั้งหลายทั้งปวงต้องยุติซิ เพราะอย่างเราไม่ได้มาพูดเรื่องว่าเขาดีเขาเลวยังไง แต่เรามาพูดว่าเมื่อทำความผิดแล้วคนเหล่านี้ต้องถูกพักงานเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง"
"มูลนิธิทางด้านผู้หญิงจะมาบอกให้ทุกคนยุติ ในขณะที่คนเหล่านี้ยังเดินสายได้งานไป ต้องถามทางมูลนิธิผู้หญิงก่อนว่าจะตอบคำถามสังคมยังไง เอาง่ายๆ จะสอนลูกหลานที่เป็นผู้หญิงเราเรื่องของดาราคู่นี้ยังไง มันยุติกันไม่ได้หรอกตราบใดที่คนที่ควรจะเสียสละก็คือดาราทั้งคู่สมควรจะมีความสามัญสำนึก และมีจิตสำนึกว่าตัวเองเป็นส่วนที่ทำให้สังคมเกิดความเสียหาย”
“ดังนั้นถ้ามีจิตสำนึกที่ดีทั้งสองดาราต้องไม่นึกถึงประโยชน์ส่วนตน ต้องยอมลดราวาศอกเรื่องความละโมภโลภงกของตน ต้องประกาศออกมาให้สังคมภาคภูมิใจไปเลยว่าถึงจะยากจนถึงจะลำบากก็ขอกัดก้อนเกลือกิน ขอยุติบทบาทของการเป็นดาราสัก 1 ปี"
"เรามองว่า 1 ปีไม่ได้นานเกินไป 12 เดือนเดี๋ยวก็ผ่านไป ส่วนการดูแลตัวดาราชายก็มีค่ายดูแลอยู่ใครๆ ก็รู้ ส่วนดาราหญิงก็มีกระทรวงพัฒนาการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และมีมูลนิธิผู้หญิงก็ดูแลกันให้พออยู่รอดไปได้ก่อน ส่วนจะกลับมามีชื่อเสียงอันนั้นเป็นอนาคต เรายังเชื่อมั่นว่าการที่คุณสองคนถ้าสามารถที่จะยอมลดความเห็นแก่ตัวลงไป และเห็นแก่อนาคตของวัฒนธรรมของชาติ แล้วก็อนาคตของเยาวชนของชาติ คุณทำแบบนี้คนเขาจะสรรเสริญคุณ”
ยืนยันยังไงก็ต้องมีบทลงโทษทั้งสองคนอย่างชัดเจน และตนมีสิทธิอย่างชัดเจนที่สามารถออกมาพูดเรื่องนี้ได้เต็มที่ เพราะถือว่าข่าวนี้สร้างความเสียหายให้กับวัฒนธรรมส่วนรวม
“ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็ยอมรับแล้วว่าทำไม่ถูกต้อง ฟิล์มก็ยอมรับ แอนนี่ก็ยอมรับ มันชัดเจนว่าคุณทำไม่ถูกต้อง เราพูดถึงการมีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่ป้องกันมันก็เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมแล้ว"
"ดังนั้นในสิ่งที่คุณยอมรับว่าคุณได้กระทำการในสิ่งที่ไม่เหมาะสม คุณยังจะคิดที่จะรับงาน และเหมือนกับว่าให้แนวความคิดของประชาชนเยาวชนว่าเราทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่เราก็ยังลอยนวล แล้วก็มีงานเข้ามากมายอย่างนี้ นี่ไงคือประเด็นที่ทำให้เราเกิดความกังวล เพราะฉะนั้นอันนี้นทีเกี่ยวข้อง แล้วเชื่อว่าประชาชนจำนวนมากก็รู้สึกเกี่ยวข้องเช่นกัน เพราะว่าดาราคู่นี้ได้ก้าวล่วงมาถึงวัฒนธรรมของสังคมไทยเรา”
ไม่สนกระแสต่อต้าน เพราะที่ผ่านมาก็มีทั้งไม่เห็นด้วยและชื่นชมในการที่ตนออกมาดำเนินการอย่างนี้ ส่วนถ้า “พจน์ อานนท์” ไม่พอใจที่ตนออกมาวิจารณ์อย่างนี้ก็ให้ออกมาชี้แจงได้เลย
“จริงๆ ต้องบอกว่ากระแสต่อต้านก็มี กระแสชื่นชมยินดีก็มากมาย ซึ่งการที่เราอยู่ในสังคมและเรามีความคิด ความเชื่อของเราแบบนี้ แล้วเรามีความกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น เราคิดว่าเป็นเรื่องจำเป็นแล้วล่ะ สังคมนี้ถ้าเราคิดอย่างไรเราต้องนำเสนอความเห็นอย่างนั้นออกมา"
“ถ้าสมมติกรณีคุณพจน์ที่เราออกมาพูดอย่างนี้แล้วเขาไม่พอใจ ถ้าเขาจะฟ้อง เขาจะฟ้องเรื่องอะไรล่ะ เพราะเราเองก็มีความรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำในความเห็นของเราก็คือไม่มีความเคารพ ไม่มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ อย่างเช่นไปพูดถึงเรื่องของสว.ท่านนึงว่า ส.ใส่เกือก อันนี้เราฟังจากข่าวนะ มันก็ไม่เหมาะสมถูกมั้ย หรือว่าบอกให้ไปจัดรายการสาระแนร์โชว์ อันนี้มันเป็นคำที่เด็กควรจะใช้กับผู้ใหญ่หรือเปล่าในด้านวัฒนธรรม แล้วคุณเองก็เป็นคนที่ปั้นดารา เพราะฉะนั้นในความคิดของเราหรือความคิดของคนอีกจำนวนมาก”
“ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่ได้ก้าวร้าว คุณก็ชี้แจงออกมาว่าทำไมคุณไม่ได้ก้าวร้าวกับสว.ระเบียบรัตน์ เราก็อยากเห็นว่าคุณคิดยังไงถึงได้สะท้อนคำพูด ให้เขาไปเปลี่ยนทรงผม เขาเป็นส.ใส่เกือก ให้เขาทำสาระแนร์โชว์ ตรงนี้คือเราไม่เข้าใจ แต่เราเข้าใจมิติในมาตรฐานชีวิตเราว่านี่คือสิ่งที่คนไทยไม่ควรกระทำต่อผู้หลักผู้ใหญ่ และไม่ควรเป็นเบ้าหลอมให้กับคนรุ่นใหม่ มันจะกลายเป็นคนไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้จักว่าผู้หลักผู้ใหญ่ควรจะให้ความเคารพนับถือ”
พร้อมจะเดินหน้าดำเนินการต่อไปถ้าหนังสือที่ยื่นไปวันนี้ยังไม่เห็นผลในภายภาคหน้า
“ถ้าสมมติว่าวันนี้ยื่นเรื่องไปแล้วมันไม่ได้ตามที่เราต้องการ ก็คงต้องกลับไปหาช่องทางในส่วนที่เราจะมี อาทิเช่นบทความที่เราเขียน หรือรายการทีวีที่จัด หรือสื่อมวลชนที่เราได้พบได้เจอ เราก็ต้องได้พูดอีก"
“คือไม่ได้มีเป้าหมายว่ามาวันนี้ขึ้นเครื่องบินมาแล้วก็ต้องให้จบวันนี้ เรามีความสบายใจว่าเราได้ทำความคิดของเรา หรือว่าความคิดของกลุ่มเราให้มันได้ปฏิบัติหน้าที่ เพราะเราไม่ต้องการหายใจรดโลกทิ้งไปวันๆ แล้วก็อยู่แบบช่างมันไม่ใช่เรื่องของฉัน แนวคิดของเราไม่ใช่อย่างนั้น แต่เราคิดว่าอะไรก็ตามที่เราช่วยกันได้ ปัดฝุ่นบ้านของเรา กวาดบ้าง ล้างบ้าง ทำไปเรื่อยๆ อย่างน้อยมันก็สะอาด"
แสดงความคิดเห็น
Click to see the code!
To insert emoticon you must added at least one space before the code.