ผลพลอยได้อย่างหนึ่งจากการปฎิบัติธรรมตามแนวทาง "พุทธศาสนา" ก็คือการค้นพบหลักการที่เกี่ยวของกับพลังงานรูปต่างๆ ที่มีความละเอียดสูงมาก จนยังไม่มีเครื่องมือใดๆ ในปัจจุบันจะสัมผัสวัดได้ รวมทั้ง "คลื่นกระแสจิต" ซึ่งมีความคมและละเอียดสูงสุด







"วิชาโทรจิต" เป็นความสามารถตามธรรมชาติที่แต่เดิมมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งปวง โดยการใช้โทรจิตนี้ผู้ใช้จะสามารถถ่ายทอดความรู้สึก หรือสิ่งที่ตนรู้สึกในใจ ไปให้แก่สิ่งมีชีวิตอื่นได้ โดยต้องเป็นสภาวะแห่งจิตสำนึกที่ตื่นตัว หรือสภาวะที่ทำให้ใจเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ "จิตสำนึกแห่งจักรวาล"

"โทรจิตจึงเป็นความรู้แห่งจักรวาลที่มีพรมแดนที่กว้างขวางยิ่ง"



 หลักทฤษฎีโทรจิตที่ได้รับถ่ายทอดมานั้น มีอยู่ด้วนกัน 4 ข้อ คือ



1.จะต้องพิจารณาว่า "มหาสากลจักวาล" เป็นองค์แห่งจิตสำนึกอันหนึ่ง

2.สรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในมหาสากลจักรวาลนี้ล้วนเป็นร่างที่แบ่งภาคออกมาจากองค์แห่งจิตสำนึกอันนี้ทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงเป็นเรื่อง ธรรมดาที่มนุษย์แต่ละคนจะมีจิตสำนึกแห่งจักรวาลดำรงอยู่ในตัว

3.จิตสำนึกแห่งจักรวาลอันนี้เป็นทั้งพลังชิวิต เป็นทั้งปัญญา และเป็นความรู้ในสรรพสิ่งอีกด้วย

4.หากสามารถผนึกใจของตัวเองให้แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับจิตสำนึกอันนี้ได้

จิตสำนึกอันนี้ จะเป็นตัวจับและรับกระแสคลื่น ที่มาจากภายนอกพร้อมกับส่งต่อข่าวสารนั้นให้กับจิตของมนุษย์คนนั้น



ดังนั้น "ความคิด" ที่คนหนึ่งๆเปล่งออกมา จึงเป็นสิ่งที่ใครๆก็สามารถรับคลื่นความคิดนี้ได้

ถ้าคนๆนั้นเปิดเครื่องรับในร่างกายตนรับคลื่นนั้นๆเข้ามา

ในอีกด้านหนึ่ง ตัวจักรวาลหาใช่เป็นสิ่งที่เป็นศูนย์กลางของข้อมูลนั้นไม่

การกระทำของสรรพสิ่งต่างๆในจักรวาลต่างเป็นศูนย์กลาง



โดยตัวมันเองต่างหาก ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะทุกสรรพสิ่งในจักรวาลถูกสร้างขึ้นมาโดยปฐมเหตุของจักรวาล



ดังนั้น รังสีที่เปล่งออกมาจากการกระทำใดๆของสรรพสิ่งนั้นๆ

จึงกระจายออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ด้วยเหตุผลเช่นนี้

เซลล์แต่ละอันในร่างกายมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่สามารถปล่อยคลื่นความคิดออกมาได้เช่นกัน

และในทางกลับกันคลื่นความคิดก็ย่อมสั่นสะเทือนเซลล์แต่ละอันในร่างกายตนเองได้ด้วย



ดังจะเห็นได้ว่าความเครียดที่สั่งสมนานๆ เป็นตัวการสำคัญอันหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บแก่มนุษย์ เพราะคลื่นความคิดเหล่านี้เข้าไปมีผลกระทบต่อร่างกายนั่นเอง



การมีความคิดที่ดี แจ่มใสร่าเริง มองโลกในแง่ดี



จึงเป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้สำหรับมนุษย์ บางครั้งเราจึงควรหลีกให้ห่างผู้คนที่ปล่อยคลื่นความคิดร้ายๆ



ถ้าหากทำได้ จะได้ไม่ไปรับผลสะเทือนที่ไม่ดีของผู้คนเหล่านั้นเข้ามา...



คลื่นความคิดที่ควรหลีกเลี่ยง



1.สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ การไม่ให้คลื่นความคิดจำพวก ความโลภ ความโกรธ ความหลง

ความไร้สาระในเรื่องเล็กน้อย ความเกลียดชัง เหล่านี้ ไหลเขามาสู่ตัวเรา



2.พวกคลึ่นความคิดชั้นต่ำที่ถูกปล่อยออกมาจากดาวดวงอื่น ที่มีวิวัฒนาการล้าหลังกว่าโลกของเรา

ก็เป็นคลื่นที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ



3.คลื่นความคิดที่ปล่อยออกมาจากความทรงจำของชาวโลกที่เคยอาศัยอยู่บนโลกในอดีต

ส่วนใหญ่เป็นคลื่นความคิดที่แตกแยกไม่ปรองดองกัน และอกุศล

มักทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว



แต่ความจริงเป็นแค่คลื่นความคิดของผู้ตายที่ยังหลงเหลืออยู่ในอวกาศเท่านั้น คลื่นความคิดที่ควรรับเข้ามา



1.พลังชีวิต (ปราณ) ของจักรวาลที่ไหลเข้ามา เป็นพลังภายในที่บริสุทธิ์

 เป็นทั้งปัญญาแห่งจักรวาลภายในตัวด้วย สามารถแทรกซึมเข้าสู่ทุกสรรพสิ่งได้อย่างเสมอภาค



ไม่ลำเอียง ปัญญาและความรู้ที่บริสุทธ์ จึงมักเข้าไปใกล้ผู้ที่ถ่อมตัว

และมีจิตใจปิดกว้าง มากกว่าคนใจแคบ มิใช่เพราะว่าปัญญาและความรู้ลำเอียง

แต่เป็นเพราะคนที่ใจแคบนั้นมีความสามารถในการรับปราณ

หรือพลังจักรวาลน้อยกว่าคนใจกว้างต่างหาก



2.คลื่นความคิดจากรูปธรรมชั้นสูง ทั้งจากในโลกนี้และที่มาจากดาวดวงอื่นที่มีวิวัฒนาการทางจิตสูงกว่าโลกของเรา คลื่นความคิดนี้เปี่ยมไปด้วยความรักความหวังดี

และเป็นประโยชน์ต่อชาวโลก



3.การสื่อสารไปมาระหว่างเซลหรืออะตอม จากสรรพสิ่งธรรมชาติรอบๆตัวเรา

ด้วยภาษาร่วมหรือภาษาจักรวาลที่เป็นสากล

อนึ่งมีข้อห้ามพึงระวังในการฝึกโทรจิตก็คือ

ผู้ฝึกจะต้องไม่ปล่อยคลื่นความคิดที่เป็นอกุศลใดๆ ออกมาเป็นอันขาด

แต่จะต้องสร้างความรู้สึกที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวก้บสรรพสิ่งให้ได้



วิธีฝึกโทรจิตของ"อดัมสกี้"ที่เป็นรูปธรรม มีดังนี้ครับ... 



ก่อนอื่นผู้ฝึกจะต้องตระหนักถึงปัจจัย 3 ประการในการฝึกโทรจิต คือ



หนึ่ง ในการสัมผัสคลื่นความคิดที่เข้ามาจากข้างนอก

จะต้องไม่มีการแบ่งแยกเกิดขึ้นระหว่างใจของเรากับผู้ที่เราต้องการสื่อสารด้วย



สอง สรรพสิ่งล้วนมีชีวิต เซลล์แต่ละอันไม่เพียงแต่ให้พลังชีวิตเท่านั้น

แต่ยังมีปัญญาดำรงอยู่ในตัวด้วย เซลล์แต่ละอันจึงสามารถรับข่าวสาร

และปล่อยข่าวสาร ที่เป็นประสบการณ์ของตนออกไปได้



สาม ผู้ฝึกต้องควบคุมเซลล์ในร่างกายของตนโดยผ่านการตอบสนองของประสาทสัมผัสทั้ง



สี่ ในร่างกายของตน โดยทำให้อวัยวะแต่ละส่วน "เป็นกลาง" เสียก่อน วิธีฝึก

1.ทดลองส่งโทรจิตระหว่างคนสองคน โดยเริ่มจากการอยู่ในห้องเดียวกันก่อน

จากนั้นค่อยๆ เพิ่มระยะห่างระหว่างคนสองคนให้ไกลออกไปเรื่อยๆ



-โดยผู้ส่งจิตจะต้องวาดภาพ หรือจินตการภาพที่จะส่งออกไปขึ้นไว้ในใจก่อน แล้งลองส่งออกไป

-ส่วนผู้รับโทรจิตก็ต้องมีสมาธิคอยรับด้วยท่าทางและจิตใจที่ผ่อนคลาย ก่อนจะบอกคำตอบออกมา



ถ้าทดลอง 5 ครั้ง แล้วตอบถูกเกิน 3 ครั้งขึ้นไปถือว่าใช้ได้



2.ทดลองรับคลื่นโทรจิตจากสี่งของใกล้ๆตัวของใครคนหนึ่ง เช่นทายราคาของสินค้าอันนั้น

(เนื่องจากอะตอมของสิ่งของนั้น ได้รับข่าวสารจากผู้เป็นเจ้าของมาก่อนแล้ว)

จะทายข้อความในจดหมาย หรือทายไพ่ก็ย่อมได้..



3.ฝึกโยนเหรียญ และออกคำสั่งให้เหรียญนั้นออก"หัว"หรือ"ก้อย" เมื่อตกลงพื้น

โดยตอนออกคำสั่งนั้น ต้องแสดงความปรารถนา

และจิตนาการให้ตัวเองแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเหรียญเสียก่อน

นอกจากฝึกกับเหรียญแล้ว ทดลองฝึกกับลูกเต๋าก็ได้..



4.ฝึกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพื้นน้ำ หากมีโอกาสไปยืนที่สูงๆเหนือแม่น้ำ

ทะเลสาบ บึง หรือเหนือทะเลกว้างๆ ลองจิตนาการให้ตัวเองแนบแน่น

เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคลื่นน้ำ เราจะได้สัมผัสความรู้สึกที่เย็นสดชื่นยิ่งขึ้น

การพัฒนาความสามารถเชิงโทรจิตในตัวเรานั้น



จำเป็นจะต้องฝึกฝนและฝึกฝน ๆ ๆ ในทำนองที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้

หากมีใครทดลองฝึกแล้วยังไม่คืบหน้า นั่นย่อมแสดวว่า "อัตตา"(EGO) ของผู้ฝึกนั้นแรงไปนั่นเอง



 และปัจจัยความ เหนื่อยหน่าย เหนื่อยล้า และความเครียด

อาจเป็นอุปสรรคของการฝึกโทรจิต ต้องรู้จักผ่อนคลาย

ให้เป็นเรื่องปกติธรรมชาติไปเองในที่สุด...





การใช้วัตถุธาตุ เพื่อสื่อพลังโทรจิต ชาวแอตแลนติสในยุคราว 40.000 ปีก่อน

ได้เคยสร้างปิรามิดเพื่อใช้สื่อสารกับพลังจักรวาล

ยังได้ใช้ผลึกคริสตัลมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก

เพื่อการติดต่อ (รับคลื่น-ส่งคลื่น) กับพลังจักรวาล

และจิตสำนึกแห่งจักรวาลด้วยวิธีการดังนี้..



ในการรับคลื่นจิตวิญญาณระดับสูง ให้นำผลึกคริสตัลขนาดเล็ก

มาวางเบี้องหน้าเราสองก้อน ให้ตัวเรานั่งอยู่บริเวณยอดสามเหลี่ยมของทรงปิรามิด

(ให้ตัวเราเป็นผลึกคริสตัลก้อนที่สาม)

 จากนั้นใช้ลวดทองแดงหนึ่งเส้นพันรอบผลึกคริสตัน 3 รอบ

ก่อนจะนำลวดทองแดงนั้นมาถือไว้ในมือทั้งสองข้าง ในท่าหลับตาเข้าสมาธิ..



จากนั้นให้เพ่งจิตและพลังทั้งหมดของเราไปยัง "ผู้ที่เราต้องการจะสื่อสารด้วย"

ในทางกลับกัน หากเราต้องการที่จะส่งคลื่นออกไป

ข่าวสารของเราไปให้กับผู้ใด ก็ให้กระทำในรูปแบบตรงกันข้ามกับข้างต้น

คือใช้สองมือเราแทนผลึกคริสตันสองก้อน (เป็นส่วนฐานของรูปสามเหลี่ยม)



 ในขณะที่ผลึกมีคริสตันเพียงหนึ่งก้อน มาเป็นปลายยอดของสามเหลี่ยมแทน

 วัตถุธาตุเหล่านี้เป็นสื่อที่สามารถใช้ติดต่อระหว่างธาตุหยาบกับธาตุละเอียด

หรือของมนุษย์กับเทวดา และรูปธรรมอื่นๆได้ เป็นเครื่องช่วยสื่อสารให้คมชัดขึ้น...

(สมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์ การโทรจิตจึงเป็นเรื่องที่แพร่หลายมาก)



ข้อผิดพลาดของชาวแอตแลนติสในอดีต

ส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างไปจากข้อผิดพลาดของมนุษย์ในปัจจุบันหรอกครับ..



คือพวกเขาไม่สามารถควบคุม "อัตตา"(EGO) ของเขาได้

จึงนำพลังอันมหาศาลที่อารยธรรมของเขาได้สร้างขึ้นมา ไปใช้ในทางที่ผิดๆ

โดยเฉพาะสงคราม (ขุดหลุมฝังตัวเองแท้ๆ)



ตั้งแต่มนุษย์คิดค้นระเบิดปรมาณูขึ้นมาได้ และนำมาใช้เข่นฆ่าสังหารมนุษย์ด้วยกันเอง เป็นต้นมา

จะว่าไปมนุษย์ในยุคนี้กำลังเจริญรอยตามจุดจบของชาวแอตแลนติสแทบทุกกระเบียดนิ้ว



และถ้าหากข้อสัษฐานที่ว่าชาวแอตแลนติสมีเชี้อสายจากมนุษย์ต่างดาวเป็นจริง

จึงไม่น่าแปลกที่ปรากฎการณ์จานบิน(UFO) จะมาปรากฎให้มนุษย์เห็นกันอย่างถี่ๆ นับแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา



 เพื่อมาเตือนภัยแก่มนุษย์เรา ว่ากำลังเดินไปในทางที่ผิดๆกันอยู่...

การใช้ประสาทสัมผัสจากจักรวาล มนุษย์ต่างดาวถูกอบรมตั้งแต่เด็ก

ให้เข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกาย กับจิต และการ "ควบคุมใจ"



เพราะฉะนั้น "ใจแห่งอวัยวะสัมผัส" ของเขาจึงถูกยกระดับให้สูงส่งระดับเดียวกับ "ใจของฟ้า"

(ปฐมเหตุแห่งจักรวาล) ทำให้เซลล์ในร่างกายทั้งหมดของพวกเขา

สามารถตอบสนองคำสั่งที่ใจสั่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ



ด้วยเหตุนี้ร่างกายของเขาจึงแข็งแรง 

และมีอายุยืนยาวเกินกว่าที่ชาวโลกจะคาดคิดได้เช่นกัน.. 

ชาวโลกก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน 

หากแต่บุคคลผู้นั้นต้องมีจิตใจที่กระจ่าง เที่ยงธรรม 

มีชิวิตอยู่อย่างมีปณิธาน ศรัทธา ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า 

และมีความคิดในเชิงบวก 

เซลล์ในร่างกายก็จะตอบสนองต่อจิตใจบุคคลนั้นในทางบวกเช่นกัน 



ทั้งเรื่องสุขภาพร่างกายและจิตใจ ย่อมได้ผลเช่นเดียวกัน แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึง

จิตสำนึกนี้ กลับมีชิวิตโดยใช้แค่ "ใจ" หรือ "สิ่งรับรู้ในอารมณ์ทั้งหลาย "เท่านั้น



ซึ่งผันผวนง่ายและแปรปรวนอย่างรุนแรง มาเป็นหลักของชิวิต

ขณะที่มนุษย์ต่างดาวจะถือว่าจักรวาลเป็นองค์แห่งจิตสำนึก

คือพระผู้สร้างหรือพระผู้เป็นเจ้า จึงพยายามประสานใจของตนให้สอดคล้องกับจิตสำนึกนี้...



(คนที่นับถือพุทธะก็ยึดในหลักความเป็นหนึ่งเดียวกับ "ปฐมเหตุแห่งจักรวาล" ความหมายไม่แตกต่างกัน..) กระแสคลื่นที่มนุษย์ต่างดาวปล่อยออกมา มีลักษณะเป็น "คลื่นความคิด"



ซึ่งมีลักษณะคล้ายแสง ถ้ากระแสความคิดถูกส่งเป็นคลื่นออกไปแล้ว

มันจะเคลื่อนที่ไปอย่างไม่มีขอบเขต

จนกว่าจะถูกดูดซับหรือถูกขวางกั้นโดยสิ่งอื่น หรือวัตถุอื่น...



เช่นเดียวกันกับ "คลื่นความคิดของมนุษย์" เป็นคลื่นที่ส่งผ่านไปในอวกาศได้เช่นกัน

แต่ไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นตรงทิศทางเดียวเหมือนลูกกระสุนจากปากกระบอกปืน

หากแต่มีลักษณะเหมือนรังสีที่เปล่งออกมาเป็นเส้นตรงในทุกๆทิศทาง

และแผ่ขยายตัวโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่จุดหนึ่ง....



ที่มา : http://www.dmc.tv

____________________

เครดิต : บุญโต ____________________

แสดงความคิดเห็น

 
Top