images (4)

เรื่อง ราวที่นำมาตีแผ่แฉความตามท้องเรื่องครั้งนี้ มิใช่เรื่องจากจิตนาการหรือเทพนิยายรามเกียรต์ มิใช่เรื่องของสัตว์ประหลาดอย่างเช่น ไอ้ตีนโต (Big Foot) เยติ (Yeti) หรือมนุษย์หิมะ มิใช่เรื่องของลิงยักษ์ มนุษย์วานร (Ape Man) หรือซูเปอร์แมน และไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตำนานยักษ์วัดแจ้ง ท้าตีกับยักษ์วัดโพธ์แถวๆ ท่าเตียน….

images (1)

หาก แต่ว่ามันเป็นเรื่องปริศนาทางข้อมูลประวัติศาสตร์โบราณคดีเกี่ยวกับสิ่งมี ชีวิต อะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่ มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ แต่มีร่างกายใหญ่โต พอๆกับยักษ์วัดแจ้งมันอาจเป็นมนุษย์โลกสมัยดึกดำบรรพ์พันธุ์หนึ่ง หรืออาจเป็นอมุษย์พวกหนึ่งก็มิทราบได้ มันอาจเป็นลูกหลานของมนุษย์หินโบราณตระกูลไจแกนโตพิธิคัส (Gigantopithecus) หรืออาจเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันนี้ก็ได้ คำอธิบายที่แน่นอนยังคงเป็นความลี้ลับของ มิติภพแห่งนี้อยู่…

images (2)

ไม่ว่ามันจะเป็น มนุษย์แต่มีขนาดใหญ่กว่าจึงต้องเรียกมันว่า "รากษส" เพื่อให้แปลกและดูเป็นปริศนาน่าตื่นเต้นเท่านั้นแหละครับ

ลองไปถามใครๆดูก็ได้ว่ารู้จัก "ยักษ์" หรือ "รากษส" บ้างไหม? รับรองว่า 80 % ของคนที่อ่านออกเขียนได้ทั่วโลกจะต้องตอบว่า "รู้จัก" แต่คงมีไม่ถึง 1 % ที่จะบอกว่าเคยเห็น

สำหรับคนไทยนั้นไม่ต้องพูดถึง เราคุ้นเคยกับความหมายของคำว่า "ยักษ์" กันดีทุกคน และส่วนใหญ่คงเคยเห็นรูปปั้นยักษ์ตามวัดหรือไม่ก็ในรูปภาพเรื่องรามเกียรติ์ แต่ท่านอาจแปลกใจถ้าจะบอกว่าคนเราแทบทุกชาติในโลกนี้ ต่างเคยรู้เรื่องหรือมีเรื่องเล่าในเชิงเทพนิยายตำนานอะไรต่อมิอะไรเกี่ยว กับยักษ์ทั้งนั้น…

อย่าง นี้แล้วไซร้ลองคิดกันดูที่ว่าเรื่องของยักษ์มันมีความเป็นจริงมากน้องเพียง ใด หรือว่าเป็นเพียงเรื่องโกหกโม้แต่งกันขึ้นมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆเท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องที่แต่งยกเมฆขึ้นมาแล้วไซร้ ทำไมชนชาติต่างๆเกือบทั่วโลก จึงมีเรื่องของยักษ์คล้ายกันหมด คนทั้งโลกจะคิดยกเมฆโม้โกหกเรื่องเดี่ยวกันนี้ได้คล้ายกันนั้นเชียวรึ ? หรือ ว่าเรื่องของยักษ์ ซึ่งหมายถึงมนุษย์หรืออมนุษย์ที่มีร่างการใหญ่โตมีตัวตนอยู่จริงๆในอดีตกาล และบรรพบุรุษของเราสมัยดึกดำบรรพ์ เคยเผชิญหน้ากับพวกยักษ์หรือรากษสแล้วจึงนำมาเล่าให้ลูกหลานฟัง หรือสืบต่อกันมาเป็นเรื่องนิยาย โกหกยกเมฆกันไปฉิบ

เรามาลองวิเคราะห์ดูทีเป็นไง


จากตำนานเชื่อถือได้ ซึ่งมีความเก่าแก่ที่สุดเล่มหนึ่งของโลกคือ พระคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่า ในบทของเจนีซิส (Genesis '6:4') ก็มีใจความตอยหนึ่งกล่าวไว้ว่า…

"There were giants in the earth in those days;…." ซึ่งแปลได้ความว่า แต่ก่อนโน้นเคยมียักษ์อาศัยอยู่บนโลกของเรานี้เช่นกัน…อย่างนี้พอจะใช้เป็นข้อยืนยันได้หรือไม่ว่ารากษสนั้นเคยมีอยู่จริงในสมัยดึกดำบรรพ์…บางท่านอาจจะเบะหน้าส่ายหัวไปมาพลางครางว่า "ใช้ไม่ล่าย ….ก็ไม่เป็งลายคร้าบ ลองดูข้อมูลอย่างอื่นดูบ้างก็ได้


ใน ประเทศอังกฤษนั้น มีนิยายปรัมปราอยู่มากมายที่กล่าวถึงรากษสและแถมมีการเสริมทับให้เห็นจริง ด้วยหลักฐานทางโบราณวัตถุมากมาย เป็นสิ่งก่อสร้างประหลาดๆที่มีขนาดใหญ่โตและยังไม่มีนักโบราณคดีหน้าไหน สามารถอธิบายให้เจ๋งๆได้เลยว่าสิ่งก่อสร้างมหึมาแปลกประหลาดเหล่านี้นั้นใคร เป็นคนสร้าง สร้างไว้ตั้งแต่เมื่อใด และสร้างไว้ทำไม อย่างเช่น กองหินประหลาดที่มีฉายานามบันลือโลกว่า "สโตนเฮนจ์" (Stonehenge) นี่ ก็มีนิยายปรัมปราที่พวกชนพื้นเมืองเล่าซุบซิบ ต่อกันมาว่า เป็นสิ่งก่อสร้างของยักษ์ แต่นักโบราณวิทยาทั้งหลายแหล่ไม่ยอมเชื่อ กลับโต้แย้งว่าเป็นสถานีดาราศาสตร์ของ ชนเผ่านิรนาม สร้างขึ้นในสมัยนิรกาล

พูดง่ายๆก็คือ ใครเป็นผู้สร้างตั้งแต่สมัยไหน อ้าว….ไม่รู้แล้วทำไมตอบได้หล่ะว่าไม่ใช่ยักษ์เป็นผู้สร้าง

นอก จากตัวอย่าง สโตนเฮนจ์ดังกล่าวแล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือ พวกรอยแกะสลักมหึมาตาม พื้นหินตามหน้าผาของภูเขาและเนินหืนเนินเขาหลายแห่ง มีรูปร่างเป็นวงโค้งกว้างใหญ่หรือไม่ก็เป็นรูปมนุษย์ขนาดมหึมาทำท่าอะไร บางอย่างที่คนรุ่นหลังดูไม่ออก แต่พวกชนพื้นเมืองเก่าแก่ที่มีถิ่นกำเนิดสืบต่อกันมาชั่วลูกชั่วเหลนในแถบ นั้นมีเรื่องเล่าปรมปราสืบทอดกันมาว่า สิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาพิสดารเหล่านี้เป็นฝีมือ ของพวกยักษ์ในสมัยโบราณทำเอาไว้ตอนรับการมาของเทพเจ้าของเขาครับผม

สิ่ง ก่อสร้างบนพื้นหินในทำนองนี้มิใช่จะมีอยู่แต่เฉพาะในอังกฤษเท่านั้น ในแถบอเมริการเหนือและอเมริกาใต้ก็มีเหมือนกัน แถมยังมีโบราณสถานที่สร้างด้วยหิน แต่มีขนาดสแกลที่ใหญ่ผิดปกติอีกจำนวนมากมายหลายพันแห่ง มีทั้งวิหารที่มีประตูและหน้าต่างขนาดใหญ่ ใหญ่เกินความเหมาะสมสำหรับคนธรรมดา มีทางลาดและขึ้นบันไดที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถก้าวขึ้นได้ทีละก้าว และที่น่าพิศวง ก็คือมีการแกะสลักหินเอาไว้เป็นแท่นลักษณะคล้ายที่นั่งหือเก้าอื้ แต่ก็มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่คนธรรมดาจะขึ้นไปนั่งได้ ต้อนปีนขึ้นไปนั่งถึงจะนั่งได้.

.สิ่งก่อสร้างมหึมาสแกลผิดปกติเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาของที่มาและวัตถุประสงค์ และยังคงลี้ลับสุดก้นบึ้งก็คือไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้าง…

แต่ ที่พวกนักโบราณวิทยา ส่ายหน้าไม่ยอมเชื่อก็คือ คำบอกเล่าปรัมปราที่เล่าสิบทอดกันมาในหมู่ชนพื้นฐานโบราณ ที่ยังคงอาศัยอยู่ในแถบนั้นพวกเขาบอกว่า

"นั่นคือเมืองของพวกยักษ์ ซึ่งกาลครั้งกระโน้นเคยมีอำนาจรุ่งเรื่องอยู่ในแถบนั้น"

images
เป็น ไงครับ หลักฐาน กล่าวอ้างยกมาเป็นแซมเปิ้ลให้คิดกันเล่นๆแค่นี้ยังคงไม่เป็นไรนะครับ คราวนี้มาดูรายงานจากหนังสือประวัติศาสตร์โบราณวัตถุชื่อ "History and Antiquities of Afterdate" ของ อังกฤษมีรายงานแปลกๆซึ่งน่าเชื่อถือได้อยู่คอลัมน์หนึ่งกล่าวถึงการค้นพบ สิ่งแปลกประหลาดมนประเทศอังกฤษเป็นประวัติการค้นพบเกิดขึ้นในสมัยกลาง (Middle Ages) มีใจความตอนหนึ่งกล่าวว่า …

"ในการขุดครั้งนั้นที่ตำบลคัมเบอร์แลนด์ (Cumberland) ได้ขุดไปเจอซากศพของมนุษย์ยักษ์โบราณ สุสานหรือหลุมศพนั้นอยู่ลึกลงไปจากระดับพื้นดินซึ่งเป็นไร่ข้าวโพดประมาณ 4 หลา (ประมาณ 3 ? เมตร) ศพนั้นมีแต่โครงกระดูกอยู่ภายในเสื่อเกราะเหล็กแบบ โบราณซึ่งไม่ทราบว่า เป็นชุดเสื้อเกราะในยุคสมัยใด จากโครงกระดูกวัดจากหัวกะโหลกถึงปลายนึ้วเท้าพบว่ามีความยามถึง 4 หลาครึ่ง สองข้างของศพมีดาบและขวานขนาด มหึมาวางนอนอยู่ข้างละเล่ม หัวขวานเป็นเหล็กหนา 6 นิ้ว ส่วนดาบก็เป็นเหล็กสองคมยาว 2 หลา รวมกับตัวด้ามถืออีก 16 นิ้วเป็น 2 หลา 16 นิ้ว…

ศพซึ่งมีแต่กระดูกพบว่า มีหัวกระโหลก หน้าผากกว้างถึง 18 นิ้ว มีกรามใหญ่และมีฟันยาวยื่นขนาด 6 นิ้ว กว้าง 2 นิ้ว….

"ปัจจุบันนี้เครื่องแต่งกายชุดเสื้อเกราะโบราณของศพ ได้ตกไปเป็นสมบัติส่วนตัวของมิสเตอร์แซนด์แห่งเรดิงตัน (Sand's of Redington) ส่วนอาวุธขนาดยักษ์ได้ตกไปอยู่ในมือของนักสะสมของเก่าชื่อมิสเตอร์ไวเบอร์ แห่งเซนท์บีส์ (Wyber's of St.Bees)…."

นี่แหละครับ รายงานเก่าแก่ฉบับแรกจากสมัยแรกจากสมัยยุคกลางในอังกฤษ โครงกระดูกมนุษย์ขนาดสูง 4 หลา หรือ 12 ฟุต นี่คงไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาซะแน่แล้ว ถ้าไม่ใช่รากษส ก็คงเป็น โกไลแอท ตัวจริงซะก็ไม่รู้…

อ้อ ลืมบอกไปตามหนังสือเข้าบอกไว้ด้วยว่า ชิ้นส่วนต่างๆของโครงกระดูกยักษ์ที่พบนั้นถูก พวกนักสะสมของเก่า หรือของแปลกๆแย่งกันประมูลซื้อกันไปคนละชิ้นสองชิ้น กระจัดกระจายไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของใครต่อใครกันหมด จนไม่เหลือซากให้คนรุ่นหลังได้เห็นกันอีกเลยหล่ะครับ


รายงานอีกชิ้นหนึ่ง เป็นบันทึกเก่าแก่ของ ดร.มาซูเรียร์ (Dr.Mazurier) เขียนบันทึกเอาไว้เป็น "แพมเฟลต" (pamphlet) หรือเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยที่รวบรวมไว้เป็นข้อมูล มีใจความตอนหนึ่งกล่าวว่า

"….มีสุสานแห่งหนึ่งถูกขุดพบใกล้บริเวณปราสาทคูมองต์ (Chaumont) ในอังกฤษ ในสุสานนี้มีศพของมนุษย์ที่เหลือแต่โครงกระดูกที่มีความยาวตั้งแต่หัวกระโหลกถึงปลายเท้าวัดได้ 25 ฟุต มีช่วงไหล่กว้างถึง 10 ฟุต…"

ใน รายงานกล่าวว่า ดร.มาซูริเออร์ได้พยายามของซื้อชิ้นส่วนของโครงร่างนั้น แต่เขาไม่มีเงินมากพอ และพวกคนงานนักขุดหาของเก่าก็โก่งราคา มีหลากพวกยื้อแย่งกันโดยหวังจะนำไป ขายในตลาดมืด ของเก่าซึ่งได้ราคาสูงกว่า เขาจึงได้มาเพียงกระดูกหน้าแข้งชิ้นเดียวและนำไปเก็บไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ Mus'ee de Pale ontologie ในกรุงปารีส…เอ้า…ใครไม่เชื่อลองไปดูเอาเองก็แล้วกันนิ…

ลองย้อนรอยถอยกลับไปค้นหาบันทึกเก่าแก่สักฉบับเป็นไง คราวนี้เป็นบันทึกจากปูมเรือแมกเจลแลน สมัยปี พ.ศ. 2063 ในบันทึกกล่าวว่า

"….ในเดือนมิถุนายน ของปีพ.ศ. 2063 กองเรือสำรวจทวีปแมกแจลแลนได้แล่นเรือใบเข้าสู่ฝั่ง….(ปัจจุบันคือบริเวณชายฝั่ง "Port San Julian" ในประเทศอาเจนติน่า) ….ปรากฏมีมนุษย์ตัวโตยีนอยู่ริมหาดเป็นพวกคนป่าที่มีความสูงใหญ่มาก ถ้าวัดเทียบขนาดกับพวกเรา พวกเราคงสูงแต่เอวของมนุษย์พวกนั้น (พวกลูกเรื่อแมกแจลแลนมีความสูงเฉลี่ย 5 ฟุต ถึง 6 ฟุต) …. ลูก เรือได้จับพวกคนป่าร่างยักษ์ไว้ได้สองคนล่ามโซ่ตรวนนำกลับมากับเรื่อด้วย หวังว่าจะนำกลับไปยุโรป แต่เจ้าคนป่าร่างยักษ์ทั้งสองไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ เลยเสียชีวิตคาโซ่ตรวนในขณะเดินทางกลับ จึงต้องโยนศพทิ้งทะเลไป…"

ไงครับกระผม พอเห็นแนวโน้มริยังว่ารากษสมั้นมีจริง หรือมีความเป็นไปได้จริงแท้แค่ไหน ?….


นอก จากบันทึกโบราณจากปูมเรือแมกแจลแลนแล้วยังมีบันทึกปูมเรื่องที่น่าสนใจอีก ฉบับหนึ่งเป็นบันทึกจากการเดืนเรื่อของคณะสำรวจทวีปใหม่โดยหัวหน้าคณะชื่อ คอมโมดอร์ ไบรอน (Commodore Byron) ซึ่งเป็นกัปตันอาวุโสของกองเรือดอลฟิน (Dolphin) ได้ออกปฏิบัติการสำรวจดินแดนในแถบช่องแคบแมกแจลแลน ในปีพ.ศ.2307 และ ได้พบกับคนพื้นเมือง ที่มีรูปร่างใหญ่โตมหึมา ผิดมนุษย์มนาเข้าอย่างจัง กัปตันไบรอนได้บันทึกลงในสมุดปูมเรือสำรวจมีใจความตอนหนึ่งว่า….

"คน หนึ่งในพวกนั้น ซึ่งตอนหลังจึงรู้ว่าเป็นหัวหน้าเผ่า ได้ตรงรี่มาหาข้าพเจ้า ซึ่งเดินนำหน้าคณะลงจากเรือบดขึ้นมาบนหาดทรายถึงชายป่าละเมาะพอดี…เขามีโครงร่างใหญ่โตมหึมาจริงๆ เขาสวมหนุงสัตว์บางชนิดพาดคาด คลุมไหล่ห้อยลงมใาปิดถึงต้นขา มีเชือกมัดคาดเอว…..ข้าพเจ้าไม้ได้วัดขนาดรูปร่างของเขาแต่ประมาณการเทียบกับตัวข้าพเจ้าซึ่งสูง 6 ฟุต 2 นิ้ว เขาจะต้องมีความสูงประมาณ 8 ฟุตเป็นอย่างน้อย ….เมื่อ การพบปะที่น่ากลัวผ่านไปด้วยดี ต่างต้องใช้ภาษาใบ้และการคำนับน้อมเพื่อแสดงความเป็นมิตร เมื่อเขาพาไปที่หมู่บ้าน ที่พวกเขาอาศัย ก็พบคนที่มีรูปร่างใหญ่โต บางคนสูงถึง 14 ฟุต แม้ข้าพเจ้าจะยืนเขย่งและเอื้อมมือไปจดสุดแขน ยังไม่สามารถแตะคางของพวกเขาได้เลย ส่วนพวกผู้หญิงมีความสูง 8 - 10 ฟุตเท่านั้น"


ยัง ไม่ค่อยสะใจรึครับ บันทึกเก่าแก่เหล่านี้ท่านได้คิดว่าอาจมีการแต่งเติมเบิกเนตรกันก็ได้ใช่ไหม ล่ะ ถ้างั้นผมขอเอาบันทึกของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน บิดาแห่งทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เป็นนักเดินทางสำรวจธรรมชาติ นักสัตว์ศาสตร์ และนักมนุษย์วิทยา ตัวยง ของสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 มี การจดบันทึกแบบ "แพมแฟลต" (สมุดจดย่อเล็ก ๆ ) ส่วนตัวของเขา ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งในบันทึก ขณะที่เขาได้เดินทางไปสำรวจดินแดนแถว ๆ แหลม เกรกอรี (Cape Gregory) และได้ไปเจอเอาชนเผ่าดงดิบที่มีรูปร่างมหึมาเข้ากับตาตนเอง "พวกนี้มีความสูงใหญ่มากกว่า ชาวยุโรปทั้งหมดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 8 ฟุต และมีบางคนสูงถึง 12 ฟุต ผู้หญิงก็มีความสูงในสัดส่วนพ่อ ๆ กับผู้ชาย นับว่าเป็นชนเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่มากที่สุดเท่าที่เคยพบเห็น มาในชีวิต"

ยังครับ ยังมีหลักฐานการค้นพบ ราษสจริง ๆ อีกเยอะแยะที่สามารถนำมาตีแผ่นอนยันกันได้ ... ในปี พ.ศ. 2512 นักโบราณคดีขาวอิตาเลี่ยน ได้ขุดพบสุสานรากษส ซึ่งมีโครงกระดูกอยู่ 50 โครง บรรจุรวมกันอยู่ในโรงศพใหญ่ที่ทำด้วยดินเผา ซึ่งไม่มีลวดลายแกะสลัก หรือเขียนคำจารึกใด ๆ ไว้ให้เห็นเลย ขุดพบอยู่ในบริเวณตำบล Terracina อยู่ห่างจากกรุงโรมไปทางใต้ประมาณ 60 ไมล์ ดร.ลุยจิ คาวาลลูซซิ นักโบราณคดีได้ทำการตรวจสอบโดยละเอียด แล้วลงความเห็นไว้ในบันทึกทางโบราณคดีว่า

"โครงกระดูกทั้ง 50 โครง มีความสูงไม่ต่ำกว่า 7 ฟุต โครงที่สูงที่สุดวัดจากหัวกระโหลกถึงปลายเท้า สูงถึง 9 ฟุต 8 นิ้ว ทั้งหมดตายเมื่ออายุ 35 -40 ปี โดยประมาณ พวกเขาเหล่านี้ยังมีฟันที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีเกือบทั้งหมด เราตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นอธิบายไว้อย่างหยาบ ๆ ว่า พวกนี้อาจเป็นพวกนักรบป่าโบราณที่ถูกทหารโรมันเกณฑ์มา เป็นทาสทหาร และคงถูกฆ่าตายด้วยเหตุผลบางประการ แต่ที่น่าแปลกคือ เราไม่พบเครื่องแต่งกายหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ใด ๆ ในบริเวณหลุมฝังศพนั้นเลย..."


และยังมีตำนานของพวกอินเดียแดงในอเมริกาอีกเผ่าหนึ่งซึ่งเป็นเผ่าที่เก่าแก่มาก อยู่ทางเหนือ พวกนี้คือ เผ่า Sioux Indian จากหนังสือประวัติศาสตร์ชื่อ Ohio Historical and Archaelolgical Society Vol.2 ได้กล่าวถึงตำนานที่เล่าสืบถอดกันมาแต่โบราณว่า

"บรรพบุรุษ เคยอาศัยอยู่ในดินแดนป่าหนาวตอนเหนือ (แถบมินเนโซต้า) มาเป็นเวลานานหลายชั่วอายุคน กาลครั้งนั้นก็ปรากฏมีพวกยักษ์สูงใหญ่ล่ำสันน่ากลัวบุรุกเข้ามาจากทางใต้ จึงเกิดการต่อสู้กันเวลาช้านาน พวกมนุษย์ยักษ์ทยอยกันเข้ามาแต่ก็ถูกทำลายไปเรื่อย ๆ จนพวกมันหายสาบสูญไปในที่สุด "

จาก ตัวอย่างที่ยกมาโม้ มีทั้งตำนานเรื่องเล่าจากประวัติศาสตร์และการค้นพบ ทางโบราณคดี นี้ คงพอทำให้ท่านผู้อ่านมองเห็นความเป็นไปได้แล้วนะครับว่า รากษส หรือยักษ์ บนโลกนี้น่าจะเคยมีอยู่จริง ที่มาของเทพนิยาย ต่าง ๆ ของคนหลายชาติ หลายวัฒนธรรม นั้นอาจจะเป็นเรื่องที่แต่งเติมให้สนุกสนานดูตื่นเต้น ด้วยจินตนาการ แต่เนื้อแท้อาจมีมูลเค้า ความจริงปนอยู่ด้วยก็เป็นได้ ว่าง ๆ ลองไปเที่ยววัดแจ้งหรือ วัดโพธ์แล้วลองไปดูยักษ์ตัวจริงที่นั้นซิครับ ลองพินิจให้ดี ถ้าสมมติว่าท่านเจอมนุษย์ที่หน้าตา เหมือนท่านนี้ แต่มีรูปร่างสูงใหญ่โตเท่านั้น ท่านจะคิดอย่างไร เขาควรจะเป็นคน หรือ รากษส กันแน่ ?

แสดงความคิดเห็น

 
Top