ความรู้เกี่ยวกับตำนานที่ว่าด้วยการสร้างจักรวาลและโลก จะพบได้ทั่วไปไม่เพียงแต่ในชาติที่มีอารยธรรมเท่านั้น ส่วนมากจะเริ่มต้นด้วยการสร้างธรรมชาติก่อน แล้วจึงตามมาด้วยการสร้างเทพเจ้าและมนุษย์ ในปัจจุบันโลกยังเล่าขานตำนานการสร้างโลกและมนุษย์ ในปัจจุบันโลกยังเล่าขานตำนานการสร้างโลกและมนุษย์ตามความเชื่อของชนชาติต่าง ๆ
การสร้างโลกตามตำนานสแกนดิเนเวีย
แรกเริ่มเดิมทีนั้นยังไม่มีจักรวาล ไม่มีโลก มีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าทำนองเดียวกับเคออสของกรีก ต่อมาเกิดอาณาจักรแห่งความหนาวเย็น คือ นิฟเฟิลไฮม์ (Niflheim) ขึ้นทางตอนเหนือ และอาณาจักรแห่งไฟ คือ มุสแปลไชม์ (Muspellsheim) ทางตอนใต้ เมื่อความร้อนและความเย็นมาบรรจบกันน้ำแข็งจึงละลายกลายเป็นหยดน้ำ เกิดเป็นยักษ์ชื่ออึมีร์ (Ymir) ซึ่งเป็นต้นตระกูลของยักษ์ทั้งหลาย และแม่วัวเอาดูมุลลา (Audumulla) อึมีร์ดื่มนมจากแม่วัวจนเติบใหญ่ แม่วัวได้เลียก้อนน้ำแข็งที่มีรสเค็มจนก้อนน้ำแข็งก่อตัวเป็นสิ่งมีชีวิตคือบุริ (Buri) ซึ่งมีลูกชายชื่อบอร์ (Bor) ตำนานหนึ่งเล่าว่าชายหญิงคู่แรกถือกำเนิดจากรักแร้ข้างซ้ายของอึมีร์ จากเท้าทั้งสองเกิดเป็นยักษ์น้ำค้างแข็ง หรือ Frost Giants ภายหลังอึมีร์ถูกเทพเจ้า ๓ องค์ คือ โอดิน (Odin) วิลิ (Vili) และเว (Ve) ซึ่งเป็นลูกชายของบอร์ฆ่าตายทั้งสามช่วยกันสร้างโลกขึ้นมาจากร่างของอึมีร์โดยใช้เนื้อสร้างดิน กระดูกสร้างภูเขาและก้อนหิน เส้นผมสร้างต้นไม้ใบหญ้า และเลือดสร้างทะเล หัวกะโหลกถูกนำไปทำเป็นท้องฟ้า โดยให้คนแคระ ๔ ตน เป็นผู้ชูไว้ให้สูงเหนือโลกมันสมองนำมาสร้างเมฆ เชื่อกันว่าคนแคระถือกำเนิดจากหนอนที่เกิดขึ้นในร่างของอึมีร์น่าสนใจที่ชื่อของอึมีร์มีความสัมพันธ์กับคำว่า ยามะ (yama) ในภาษาสันสฤต ซึ่งถูกตีความว่า ?ลูกผสม? หรือ ?ผู้มีสองเพศ? คือบุคคลผู้เดียวซึ่งให้กำเนิดชายและหญิงดังนั้น อาจมองได้ว่าอึมีร์ไม่เพียงแต่เป็นต้นกำเนิดของชายและหญิงเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นกำเนิดของมนุษย์และยักษ์ด้วย
ระหว่างเผ่าพันธุ์ทั้งหลายมีการแบ่งอาณาเขตกันอย่างชัดเจน ศูนย์กลางของจักรวาลคือต้นไม้แห่งโลก หรือ World Tree คือ ต้นอึกดราซิล (Yggdrasil) ซึ่งมีรากทะลุเข้าไปใน ๓ โลก คือ โลกของเทพเจ้า โลกของยักษ์ และโลกของคนตาย บนยอดไม้มีไก่ทองเกาะอยู่ ไก่จะขันเตือนภัยเมื่อพวกยักษ์เข้ามารุกราน ที่โคนมีลำธารชื่อมิมีร์ (Mimir) ใต้รากหนึ่งของต้นไม้นี้ โอดินได้ดื่มน้ำจากลำธารนี้เพื่อจะได้ความรู้เกี่ยวกับอักษรรูน (Rune) ซึ่งเป็นตัวอักษรที่มีอำนาจพิเศษหรือเวทมนต์อาจใช้เพื่อสาปแช่งหรือทำร้ายใคร ๆ ได้ โดยยอมแลกกับการเสียดวงตาข้างหนึ่ง โลกของเหล่าเทพคืออัสการ์ด (Asgard) ซึ่งมีโอดินเป็นประมุข เทพแต่ละองค์จะมีวิมานของตนเอง วิมานของโอดินคือวัลฮัลลา (Valhalla) มีกำแพงสร้างโดยยักษ์ล้อมรอบอัสการ์ด โลกของมนุษย์ชื่อว่ามิดการ์ด (Midgard) หรือ Middle Earth มีทรงกลมล้อมรอบด้วยมหาสมุทรซึ่งมีสัตว์เลื้อยคลานหรืองูยักษ์ที่เรียกว่า The Serpent of Midgard หรือ World Serpent ขดอยู่รอบโลกและซ่อนตัวอยู่ภายใต้ท้องทะเลคอยกัดกินรากของต้นอึกดราซิลอยู่ตลอดเวลา มิดการ์ดมีกำแพงป้องกันซึ่งสร้างมาจากคิ้วของอึมีร์ เทพเข้าทำให้เกิดเวลาขึ้นในโลกโดยให้ Night และ Day ขับรถศึกไปรอบ ๆ ท้องฟ้า หรือให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เดินทางไปรอบท้องฟ้า โลกของมนุษย์และเทพเจ้านั้นเชื่อมต่อกันด้วยสะพานสายรุ้งชื่อบิฟรอสต์ (Bifrost) ใต้มิดการ์ดลงไปเป็นโลกที่ ๓ ซึ่งเป็นที่อยู่ของคนตาย มีชื่อว่าเฮล (Hel) โลกใต้บาดาลนี้อยู่ใต้การปกครองของเทพีเฮล มีสุนัขชื่อ การ์ม (Garm) คอยเฝ้าไม่ให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่เข้าไปในดินแดนแห่งความตายได้ ทำนองเดียวกับเซอร์บิรุส (Cerberus) สุนัขสามหัวซึ่งเฝ้าประตูเฮดีส (Hades) ซึ่งเป็นดินแดนแห่งคนตายของกรีก ส่วนยักษ์นั้นมีอาณาจักรของตนเองชื่อโยทุนไฮม์ (Jotunheim) และคอยโจมตีเทพเจ้าอยู่เสมอ
มนุษย์นั้นถือกำเนิดมาจากต้นไม้เชื่อกันว่าผู้ชายเกิดจากต้นแอช (Ash) และผู้หญิงเกิดจากต้นเอ็ล์ม (Elm) แต่ในตำนานเยอรมันบอกว่ามนุษย์คนแรกของโลกมีชื่อว่ามันนุส (Mannus) ซึ่งแปลว่า มนุษย์ หรือ Man นั่นเอง เป็นลูกของทูอิสโต (Tuisto) ยักษ์ซึ่งเกิดจากแม่ธรณี ชื่อของทูอิสโตนั้นแปลว่า ?ผู้มีสองเพศ?
น้ำท่วมโลก
ในตำนานสแกนดิเนเวีย เมื่อมีกำเนิดก็ต้องมีการแตกดับ ความร้อนและความเย็นรวมตัวกันทำลายโลกเช่นเดียวกับที่สร้างโลกขึ้นมา จึงเกิดตำนานการสิ้นโลกหรือรักนรก (Ragnarok) ขึ้นมา เริ่มต้นจากลูกชายของโอดินคือบัลเดอร์ (Balder) ซึ่งฝันว่าตนเองจะตาย มารดาจึงไปขอสัญญาจากทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตยกเว้นต้นมิสเซิลโท (Mistletoe) กาฝากชนิดหนึ่งเกาะตัวอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ซึ่งมักเป็นต้นโอ๊กตามความเชื่อของชาวตะวันตกในงานฉลองปีใหม่ถ้าหนุ่มสาวยืนอยู่ใต้มิสเซิลโท ชายหนุ่มมีสิทธิจะจุมพิตหญิงสาวได้ โดยหญิงสาวปฏิเสธไม่ได้ซึ่งเป็นต้นไม้เล็ก ๆ ดูไม่มีพิษมีภัย ว่าจะไม่ทำอันตรายให้บัลเดอร์ถึงแก่ชีวิต เหล่าเทพต่างทดสอบคำสัญญาโดยเอาอาวุธและสิ่งต่าง ๆ ขว้างปาบัลเดอร์ซึ่งไม่เป็นอันตราย โลกี้ (Loki) ซึ่งเป็นเทพที่เกเรและเจ้าเล่ห์ แปลงกายเป็นนางยักษ์ชราเอากิ่งมิสเซิลโทปาถูกบัลเดอร์ถึงแก่ความตาย เหล่าเทพพยายามจับโลกี้มัดแต่โลกี้หนีไปได้และไปร่วมมือกับพวกภูตร้ายและยักษ์ ต่อสู้กับเหล่าเทพ ในโลกมนุษย์ก็มีการสู้รบแก่งแย่งชิงดี อากาศหนาวเย็นลงโดยที่ดวงอาทิตย์ถูกหมาป่าเฟ็นรีร์ (Fenrir) ลูกของโลกี้จับตัวไว้ส่วนงูยักษ์ World Serpent ซึ่งขดล้อมโลกอยู่ก็โผล่หัวขึ้นมาจากมหาสมุทรพ่นพิษไปทั่วโลกทำให้น้ำท่วมโลก โลกี้นำขบวนพวกยักษ์มาพร้อมกับซูร์ท (Surt) ยักษ์จากอาณาจักรแห่งไฟ ข้ามสะพานบิฟรอสต์ มาถึงดินแดนของเทพเจ้า เกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือด โอดินถูกหมาป่าเฟ็นรีร์กลืนกิน ธอร์ (Thor) เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าฆ่างูยักษ์ World Serpent ได้แต่ถูกพิษของมันถึงแก่ความตาย ในที่สุดเทพทั้งหลายก็ถูกซูร์ททำลายล้างหมดยกเว้น วิดาร์ (Vida) ลูกชายอีกคนหนึ่งของโอดินซึ่งสามารถฆ่าเฟ็นรีร์โดยฉีกมันออกเป็น ๒ ท่อน และแล้ว จากต้นไม้ของโลก World Tree ก็มีมนุษย์ชายหญิงเกิดขึ้นมาเพื่อสืบเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อไป แผ่นดินลอยขึ้นมาจากทะเลเขียวชอุ่มพร้อมที่จะเติบโตอีกครั้งหนึ่ง บัลเดอร์กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา ดวงอาทิตย์ดวงใหม่เกิดขึ้นมาให้ความสว่างแก่โลกใหม่ มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือเทพเจ้าของยุโรปตอนเหนือมิได้เป็นอมตะ สามารถตายได้แต่ก็เกิดใหม่ได้เช่นกัน การเกิดและสิ้นสุดของโลกในตำนานของยุโรปเหนือจึงมีลักษณะเป็นวัฏสงสารเช่นเดียวกับตำนานของอินเดีย มังกรไฟออกอาละวาดพ่นไฟเผาผลาญบ้านเรือนราษฎรจนกระทั่งพระราชาเบโอวูล์ฟของพวกเขาต้องออกไปต่อสู้กับมังกรทั้ง ๆ ที่ทรงชราภาพแล้วแต่พระองค์สามารถสังหารมังกรได้หลังจากต่อสู้กันอย่างดุเดือดเป็นเวลานาน พงศาวดารของพวกแองโกล-แซกซั่นระบุว่า ดาวตกและดาวหางซึ่งเป็นลางร้ายคือมังกรไฟที่บินไปในอากาศในตำแหน่งสแกนดิเนเวีย วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คือซิเกิร์ด (Sigurd) ฆ่าฟาฟนีร์ (Fafnir) ซึ่งแต่เดิมเป็นเทพ แต่ด้วยความหวงสมบัติจึงขึ้นไปนอนบนกองทองคำและกลายเป็นมังกรไปโดยการที่ซิเกิร์ด ลงไปอยู่ในหลุม และใช้ดาบแทงท้องของมังกรขณะที่มันคลานไปบนพื้นดิน ซิเกิร์ดนำหัวใจของมังกรไปย่างกิน จึงทำให้เขามีอำนาจพิเศษสามารถเข้าใจภาษานกได้ ในตำนานคริสเตียน การที่นักบุญจอร์จ (St.George) ปราบมังกรร้ายเปรียบเทียบเหมือนชัยชนะของคริสต์ศาสนาที่มีเหนือความงมงายของผู้คน
หนังสือสกุลไทย ปีที่ ๕๔ ฉบับที่ ๒๗๘๐
ประจำวันอังคารที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๑
ห้องสมุดสกุลไทย ความเชื่อ หน้า ๑๓๔ - ๑๓๕
http://www.thaienv.com/content/view/611/39/
แสดงความคิดเห็น