เส้นทางสุขใจ ขั้นบันไดสีทอง© Getty Images เส้นทางสุขใจ ขั้นบันไดสีทอง
หลังฝนซาผลผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะข้าวใกล้เปลี่ยนเป็นสีทองเก็บเกี่ยวได้ ใครพร้อมแล้วเก็บเสื้อผ้าออกไปลุยกันได้เลย
การได้กลับมาทำความคุ้นเคยกับทางหลวงหมายเลข 108 เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน ที่เคยได้ใช้ในช่วงที่แหล่งเที่ยวอย่าง อ.ปาย ยังไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักเดินทางมากนัก ทิวทัศน์สองข้างทางยังคงคุ้นตา เหมือนกับว่าเวลาที่นี่ไม่ได้หมุนไปอย่างเร่งรีบเหมือนสถานที่อื่น ๆ ถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางเชื่อมไปสู่ อ.แม่สะเรียง เมืองที่น่าแวะสัมผัสอย่างใกล้ชิด และเต็มไปด้วยจุดที่น่าสนใจมากมายที่ไม่ควรแค่ผ่าน
ป่าสนบ่อแก้ว : ทิวสนในแปลงปลูกทอดยาวอย่างเป็นระเบียบ ช่องว่างระหว่างแนวจงใจใช้เป็นเส้นทางเล็ก ๆ ที่มีต้นสนสูงใหญ่ตั้งแถวเรียงราย ยืนต้อนรับผู้มาเยือนคนแล้วคนเล่าให้ได้เก็บภาพสวย ๆ กลับไป ถึงแม้ว่าจุดนี้จะเป็นมุมมหาชนมานานแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นมุมโปรดของใครหลายคนที่ไม่เคยลืม
แม่สะเรียง : ชุมชนใหญ่ชายแดนไทย-พม่าที่ผสมผสานความลงตัวของวัฒนธรรมและศาสนาเข้าด้วยกัน บนถนนสายหลักริมแม่น้ำยวม เราจะพบเรื่องที่น่ายินดี ชุมชนที่มีความแตกต่างกันในเรื่องศรัทธาและคำสอนที่แตกต่าง ทั้งคริสต์ พุทธ อิสลาม อาศัยอยู่รวมกันอย่างมีความสุข แม้จะมีข้อปฏิบัติต่างกัน แต่ก็ไม่รู้สึกถึงความแปลกแยก ต่างก็ไปร่วมงานของกันและกันอย่างสม่ำเสมอในฐานะเพื่อนบ้าน ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีความถนัดแตกต่างกันไป แต่ก็ผสมผสานอย่างลงตัวทำให้เมืองนี้เป็นเมืองที่น่าหลงไหลได้ไม่ยาก
พิพิธภัณฑ์แม่สะเรียง : เป็นอาคารที่เลือกที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าเมือง ทำให้ผู้ที่เดินทางมาถึงสามารถสังเกตเห็นได้โดยง่าย ด้วยสถาปัตยกรรมไทยใหญ่ที่เด่นชัด หลังคาลดหลั่นเป็นชั้นจากปลายยอดแหลม ภายในบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตั้งรกรากอยู่ในอำเภอนี้ ซึ่งมีทั้งไทยใหญ่ กระเหรี่ยง ลีซอ ลาหู่ และอื่น ๆ อาชีพหลักที่เป็นต้นกำเนิดของชุมชนแห่งนี้มาจากความสมบูรณ์ของป่าไม้ โดยเฉพาะไม้สักที่เป็นที่ต้องการอย่างมากมาทุกยุคสมัย
พระธาตุ 4 จอม : บ้านเมืองที่มีความเป็นมาอันยาวนานกว่า 520 ปี ย่อมต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ที่ผูกศรัทธาคนในชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน ยอดเขาทั้ง 4 ทิศของมุมเมืองเป็นที่ตั้งของพระธาตุ 4 องค์ ได้แก่ พระธาตุจอมแจ้ง พระธาตุจอมมอญ พระธาตุจอมกิตติ พระธาตุจอมทอง ในตำนานกล่าวว่าสร้างโดยฤาษีสี่พี่น้องที่มีความเก่งกล้าสามารถในแต่ละด้าน นัยหนึ่งก็เป็นปราการคอยปกปักษ์รักษาเมืองให้พ้นภัยอันตราย ในอีกมุมที่นี่เป็นจุดชมวิวมองดูท้องทุ่งนาได้อย่างสบายตา
ลำน้ำยวม : แม่น้ำสายไม่ใหญ่ไม่โต ต้นกำเนิดมาจาก อ.ขุมยวม ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำสาละวิน ในช่วงที่น้ำไม่ไหลเชี่ยวจนเกินไป เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการพายเรือคายัค ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบฉายเดี่ยว หรือใครต้องการความอุ่นใจก็สามารถเลือกแบบสองที่นั่งได้ พายล่องไปตามแม่น้ำคอยคัดหัวเรือไม่ให้ไปเกยกับหาดหินที่มีอยู่เกือบทุกโค้งของลำน้ำ ใช้เวลาล่องแบบเพลิน ๆ ราว 2 ชั่วโมง ถ้าชอบแบบค้นหาก็ให้เลือกไหลไปกับลำน้ำแหวกสายม่านหมอกขาว ๆ ในยามเช้า หรือถ้าดูทิวทัศน์สองข้างฝั่งก็เลือกช่วงก่อนบ่ายแก่ ๆ เพื่อไปจบเส้นทางเพื่อชมพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา เป็นภาพที่ปิดท้ายวันได้อย่างสวยงาม
ประเพณีออกหว่า : เทศกาลออกพรรษาหนึ่งเดียวที่ตักบาตรกันตั้งแต่ตีสี่ก่อนไก่บางตัวจะโห่เสียอีก ยืนยันว่าเช้าที่สุดของการใส่บาตรและต่อเนื่องมากที่สุดคือ 3 วัน เหตุที่ต้องตักบาตรกันตั้งแต่เช้าตรู่ อ้างอิงไปถึงเรื่องราวของพระอุปคุตที่มากไปด้วยเมตตา จะออกบิณฑบาตตั้งแต่ก่อนฟ้าสางตามความเชื่อของชาวเหนือ ซึ่งหลายพื้นที่ก็มีการตักบาตรที่ต่างกันออกไป
โคมไฟ : ในช่วงเทศกาลออกพรรษาที่ อ.แม่สะเรียง ทั้งห้างร้านและหน่วยงานต่าง ๆ จะประดับประดาโคมไฟหลายรูปแบบ โดยไม่ทิ้งโคมไฟดั้งเดิมอย่าง โคมหูกระต่าย โคมสิบหกเหลี่ยม โคมควบ โคมกระบอก ทั้งเมืองจะสว่างไสวไปด้วยสีสันสะดุดตา ลองหลับตานึกภาพย้อนกลับไปช่วงที่ไฟฟ้ายังไม่มีให้ใช้ แสงนี้จะนำทางชาวบ้านไปสู่วัด คงเป็นช่วงเวลาที่สุดโรแมนติกที่หนุ่มสาวจากแต่ละหมู่จะมีโอกาสได้พบหน้ากัน ผู้คนในหมู่บ้านนึกถึงวัยเยาว์ที่รอคอยให้ถึงวันนี้เพื่อจะได้เล่นอย่างสนุกสนานตั้งแต่เช้ายันค่ำ ส่วนพ่อแม่ก็จะเตรียมอาหารคาวหวานเพื่อตักบาตรในยามเช้า ก่อนจะร่วมกันแห่เทียนแหง (เทียนพันเล่ม) ในวันออกพรรษา เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้ใช้ในการปฏิบัติศาสนกิจต่าง ๆ วันออกพรรษา จึงเป็นวันที่ทรหดอีกวัน ทั้งของพระสงฆ์และฆราวาส
เส้นทางสุขใจ ขั้นบันไดสีทอง© Getty Images เส้นทางสุขใจ ขั้นบันไดสีทอง
ออกจากแม่สะเรียงถนนเส้นเดิมพาเราไปอ.แม่ลาน้อย ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าอ.ขุนยวม เส้นทางมากไปด้วยคดโค้งและเนินชัน เป็นเครื่องยืนยันได้เลยว่าทำไมระยะทาง 350 กิโลเมตรจากเชียงใหม่ถึงแม่ฮ่องสอน ถึงได้โค้งมากมายถึง 1,864 โค้ง สำหรับคนชอบขับรถ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ท้าทายความสามารถในการขับขี่อีกเส้นทางหนึ่งในภาคเหนือ ซึ่งเมื่อมาถึงแล้วนักเดินทางจะพบกับสถานที่ที่น่าประทับใจ อาทิ
วัดแม่ปาง : ต.สันติคีรี อ.แม่ลาน้อย อยู่ก่อนถึง อ.ขุนยวมราว 16 กิโลเมตร ถึงแม้จะไม่ได้เป็นวัดเก่าที่มีตำนานให้กล่าวถึงในแง่ของพุทธคุณ เพราะวัดนี้สร้างขึ้นเมื่อสัก 20 กว่าปีมานี้เองจากเดิมที่เป็นแค่สำนักสงฆ์ แต่ถ้าใครได้มาที่นี่ไม่ว่าจะมาปฏิบัติธรรมตามแนววัดสายป่า หรือแค่แวะผ่านมาเพื่อชมศาสนวัตถุ จะรู้สึกได้ถึงความสงบ ด้วยสภาพสิ่งแวดล้อมที่ห่างไกลจากความพลุกพล่านของชุมชนจึงเหมาะสมแก่การถือศีลนั่งสมาธิ
ทางด้านวัตถุ สิ่งก่อสร้างที่ต้องกล่าวถึงไปอีกนานนั่นคือ พระอุโบสถ ที่นำเอาจุดเด่นของสถาปัตยกรรมต่าง ๆ มาไว้รวมกัน ไม่ว่าจะเป็น ซุ้มประตูพญานาคของวัดภูมินทร์ จ.น่าน หลังคาโบสถ์แบบภาคกลาง เจดีย์แบบทางภาคใต้ รูปปั้นลอยตัวของพระพุทธปางต่าง ๆ ที่มีกลิ่นอายของผลงานทางศิลปะทางตะวันตก ไม่รวมการออกแบบภายในที่เล่นกับแสงสีที่ผ่านกระจกสีรูปพระพุทธเจ้า ถ้าผู้ที่ออกแบบมีความรู้ไม้มากพอถึงขั้นล้น คงไม่สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่ลาน้อย : ที่นี่เริ่มด้วยเงินส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จำนวนสองหมื่นบาท เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนิน เยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารเมื่อปี 2513 เพื่อบรรเทาทุกข์ของชาวบ้านที่ความเป็นอยู่ไม่ดีนัก บนพื้นที่ความสูง 1,100 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถือว่าเป็นความสูงระดับปานกลาง สามารถปลูกพืชได้หลากหลายชนิด มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวได้ตลอดปี
นาขั้นบันได : จากเส้นทางเข้าสู่หมู่บ้านใน อ.แม่ลาน้อย พื้นที่ด้านล่างระหว่างหุบเขาที่มีน้ำมากพอเพื่อใช้ในการทำนา ชาวนาจะปรับระดับพื้นที่ลาดชันให้เป็นขั้นบันได เพื่อทดน้ำให้มีระดับสูงเพียงพอในการเลี้ยงต้นข้าวที่ค่อย ๆ เติบโตตามความสามารถของสายพันธุ์ ยาวนานราว 120 วัน จากต้นกล้าเตี้ยปริ่มน้ำจนใบเขียวสูงท่วมเอว ออกดอกกลิ่นหอมละมุน แตกรวงจากสีเขียวสะอาดตา จนข้าวสุกเป็นสีเหลืองทองทั่วท้องทุ่ง ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน เป็นเวลาทองของนักนิยมนาข้าวขั้นบันไดได้อิ่มเอมกับภาพความอุดมสมบูรณ์ สมกับเป็นดินแดนสุวรรณภูมิในด้านของอาหารการกิน
บ้านห้วยห้อม : ชุมชนชาวกระเหรี่ยงที่ได้รับการส่งเสริมการเลี้ยงแกะและปลูกกาแฟ จนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ จนกาแฟชื่อดังสั่งซื้อเมล็ดกาแฟดิบไปคั่วตามสูตรของตัวเอง ก่อนออกชงขายให้กับคอแกแฟได้พิสูจน์รสและกลิ่น สำหรับผู้ที่ไม่พิศมัยการเข้าร้านกาแฟ ชาวบ้านก็มีกาแฟออกานิกคั่วบดจำหน่ายตามระดับความชอบ ตั้งแต่เข้มแบบสามัญ จนถึงเข้มข้นมาก ให้ได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับไปดื่มด่ำแบบ DIY ไม่ว่าจะดริปกันสดๆ หรือจะคาดคั้นด้วยระบบแรงดันไอน้ำด้วยเทคโนโลยีเครื่องชงตามงบประมาณ
ขนแกะ : ประสบการณ์การเลี้ยงแกะที่ยาวนานกว่า 20 ปี ท่ามกลางป่าไม้ธรรมชาติ คอกที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงอยู่ในตำแหน่งที่บ้านพักตากอากาศหลายหลังยังต้องยอมแพ้ ลองคิดแทนแกะเหล่านี้ที่ได้อยู่ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ ไร้การรบกวน น้องแกะเหล่านี้จะมีสุขภาพที่ดีขนาดไหน ผลิตภัณฑ์จากขนแกะที่นี่จึงเป็นอีกสินค้าหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจและประทับใจได้ไม่ยาก
ถ้ำแก้วโกมล : หรือถ้ำน้ำแข็งใน ต.แม่ลาน้อย ถูกพบโดยบังเอิญ เมื่อมีการสำรวจสายแร่ของสำนักทรัพยากรธรณีแม่ฮ่องสอน อยู่ท่ามกลางป่าลึกลงไปถึงใต้พื้นโลก ภายในถ้ำแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยผนึกแร่แคลไซด์สีขาวบอบบาง ส่องประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสง เกล็ดของแร่ชนิดนี้คล้ายกับรูปร่างเกล็ดผงชูรส ซึ่งเกิดจากการที่หินปูนทำปฏิกริยากับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อุณหภูมิสูง ลอยขึ้นเกาะตามส่วนต่าง ๆ ของถ้ำทำให้เกิดรูปทรงหลายแบบดูแปลกตา
แต่น่าเสียดายที่เจ้าแร่ชนิดนี้ไวต่อออกซิเจน ความร้อน และแสงไฟ ทำให้สีขาวบริสุทธ์เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดูสกปรกไปเสียอย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องยากในการควบคุมไม่ให้เกิดขบวนการเคมีเหล่านี้ ทางชุมชนที่จัดการพื้นจึงตั้งกฏข้อห้ามหลายอย่าง รวมทั้งห้ามถ่ายรูปโดยตั้งอัตราปรับสูงถึง 500 บาท ถ้าจับได้ว่าแอบถ่ายรูป เพื่อรักษาให้ถ้ำนี้อยู่ในสภาพเดิม ๆ ได้นานที่สุด ขอบอกว่าถ้ำประเภทนี้มีเพียง 3 แห่งในโลก คือในประเทศ​ออสเตรเลีย ประเทศจีน และที่ประเทศไทยนั่นเอง
ออกจากอ.ขุนยวมซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่างทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อุคอ เราเลือกใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1263 เพื่อไปชมความงามของ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร สองฝั่งข้างทางขนานไปด้วยทิวเขาสูง ซึ่งชาวบ้านใช้เป็นแปลงพืชไร่ ช่วงนี้ได้เวลาเก็บเกี่ยวข้าวโพด เส้นทางนี้จึงคึกคักเป็นพิเศษ ทั้งรถขนผลผลิตทางการเกษตร รถสีข้าวโพด สอบถามว่าข้าวโพดส่งขายที่ไหน ปลายทางนั้นคือโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้รับความนิยมจากเกษตกรมากกว่า เพราะดูแลง่ายกว่าข้าวโพดพันธุ์อื่นที่ต้องใช้ทั้งเวลาและการเอาใจใส่
สำหรับ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ นั้นไม่ได้แจ่มแค่ชื่อ เมืองนี้ตั้งอยู่หลังดอยอินทนนท์ ยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศไทย ยังคงสงบเงียบและสวยงาม อบอุ่นไปด้วยพุทธศิลป์ วัดวาอาราม อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ที่นี่มีช่วงเวลาที่เหมาะกับการท่องเที่ยวอยู่ราว ๆ 4 เดือนในช่วงปลายฝนจนถึงหน้าหนาว ก่อนจะเงียบถึงเงียบมาก ๆ เมื่อหน้าร้อนมาถึง เพราะอุณหภูมิในแอ่งกะทะนี้จะสูงมากขึ้นจนนักท่องเที่ยวหลบหายไปยังจุดหมายอื่นแทน
จุดชมวิว : ด้วยความที่ตัวเมืองแม่แจ่มตั้งอยู่ในหุบเขา จุดชมวิวจึงมีหลากหลายบรรยากาศให้เลือก ทั้งวิวเมือง ทะเลหมอก ไร่นา ป่าเขา และถ้าเราตะกายขึ้นมาบนจุดที่อยู่สูงขึ้นไปก็จะสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกได้ มุมยอดนิยมก็ได้แก่ บ้านนาบน หรือดอยม่อนหมาก ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของตัวเมือง ขับรถผ่านตลาดสด ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแม่แจ่มเลี้ยวขวาตามเส้นทางขึ้นเขา ใช้เวลาประมาณ 15 นาที จะพบกับจุดชมวิวท่ามกลางแปลงเกษตรที่ลดหลั่นไปตามเชิงเขาของชาวบ้าน
ป่าบงเปียง : สถานที่แห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นจุดชมนาขั้นบันไดที่สวยมาก ๆ แห่งหนึ่ง มีการส่งต่อและพูดถึงมากที่สุดในโลกออนไลน์ ตลอดเส้นทางผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ จะพบกับความงามจากการปรับพื้นที่เพื่อการเพาะปลูก นาขั้นบันไดสีเขียวขจีขั้นต่อขั้นทอดยาวไปถึงที่ราบด้านล่าง โดยมีขุนเขาสูงเป็นฉากหลัง สิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าเป็นภาพทิวทัศน์ที่ตามหามานาน
นาขั้นบันไดกำลังเป็นจุดขายและตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้พบเห็น แต่อีกไม่นานต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ก็จะถึงช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยว และเมื่อนั้นก็ต้องมาลุ้นกันว่าปีนี้พวกเขาจะขายข้าวได้ในราคาที่คุ้มกับการที่ลงทุนลงแรงไปหรือไม่ ที่เหลืออยู่ก็คงมีเพียงภาพถ่ายที่สะท้อนทิวทัศน์ที่สวยงามที่ตาเห็น กับราคาข้าวที่ตกต่ำไปอีกนาน
เราทิ้งภาพนาขั้นบันไดไว้เบื้องหลัง เสียงก้อนหินกระแทกเข้ากับใต้ท้องรถและบันไดท้ายรถยืนยันว่าถนนนี้ต้องใช้รถยกสูงในการเดินทางเข้าพื้นที่ ผู้โดยสารต้องหาจุดยึดเหนี่ยวที่เหมาะสม พร้อมกับทำตัวโอนอ่อนตามแรงเหวี่ยงของรถเมื่อตกหลุมหล่ม เพื่อรักษาสภาพการเคลื่อนไหว แม้ระยะทางจะไม่ไกลมากนักแต่ต้องใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงในการเดินทางจาก อ.แม่แจ่มสู่ปลายทางนาขั้นบันได เพราะมีจุดให้แวะถ่ายรูปตลอดทาง เช่นที่ บ้านทุ่งยาว บ้านป่าตึง บ้านตีนผา แต่ละจุดก็มีเสน่ห์แตกต่างกันไป
งานนี้รถสองแถวสีเหลือง สัญลักษณ์ของเมืองแม่แจ่มเป็นพาหนะที่ดีสุดในการตระเวนท่องเที่ยว เพราะคนพื้นที่จะเข้าใจสิ่งที่เขาจะพาเราไปชม ทั้งสถานที่และเวลาที่เหมาะสมสำหรับการไปชม และด้วยข้อจำกัดของเส้นทางที่เป็นทางลูกรังยังไม่ได้รับการปรับปรุงสำหรับการเดินทางด้วยพาหนะทั่วไป (ราคาเช่าเหมาทั้งวันคิด 1,500 บาท นั่งได้ประมาณ 10 คน)
สำหรับคนที่เคยไปเห็นความสวยงามในยามเช้ามาแล้ว ควรกลับมาสัมผัสในช่วงเย็นถึงค่ำอีกครั้งถ้ามีโอกาส แต่สำหรับคนที่มีวันพักผ่อนไม่มากแนะนำให้พักค้างแรมบนนั้น เย็นดูพระอาทิตย์ตก กลางคืนดูดาว เช้านั่งดูสายหมอกคลอเคลีย รับประกันความประทับใจ

แสดงความคิดเห็น

 
Top