“เครือข่ายด้านสิทธิเด็ก สิทธิสตรีและสิทธิมนุษยชน” จัดเสวนากรณี “ฟิล์ม-แอนนี่” พร้อมมีแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่าย หยุดการนำเสนอข้อมูลที่อาจสร้างความเสียหาย และหยุดแพร่ภาพเด็ก เพื่อเป็นการยุติปัญหาดังกล่าว ด้าน “เจ๊เบียบ” ยกย่อง “จุ๊น” เป็นผู้ชายสุดยอดที่บอกเงินซื้อครอบครัวไม่ได้ พร้อมย้ำ “แอนนี่” ไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ และอย่าไปขอความช่วยเหลือจากโคตรเหง้าศักราชของ “ฟิล์ม”

เกี่ยวกับกรณีของนักร้องหนุ่ม “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” และดาราสาว “แอนนี่ รุ่งนภา บรู๊ค” ที่ปัญหายังคาราคาซัง และเป็นข่าวที่คนในสังคมให้ความสนใจมาได้พักใหญ่ จากกรณีดังกล่าวทำให้องค์กรเกี่ยวกับด้านสิทธิเด็กและสตรี ต่างพากันออกมาเคลื่อนไหว แสดงความคิดเห็นต่างๆ นานา ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (10 ต.ค.) ผู้นำเครือข่ายด้านสิทธิเด็ก สิทธิสตรีและสิทธิมนุษยชน ได้จัดการเสวนา ในหัวข้อ “ดีเอ็นเอ เพื่อใคร?” ขึ้น ณ ห้องประชุมบำรุง ระวีวรรณ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ ย่านดอนเมือง โดยมีผู้ร่วมเสวนาอาทิ “นางทิชา ณ นคร” ผู้อำนวยการบ้านกาญจนาภิเษก ,“นายน้ำแท้ มีบุญสล้าง” อัยการประจำสำนักพัฒนากฎหมาย สำนักงานอัยการสูงสุด ,“รศ.ดร. สมพงษ์ จิตระดับ สุอังควาทิน” คณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ,“นายสฤษดิ์ เจียมกมล” ประธานสภาทนายความจังหวัดธัญบุรี ,“นางฐาณิชชา ลิ้มพานิช” มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว รวมไปถึง “นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช” หรือ “เจ๊เบียบ” นายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข ก็ได้เข้าร่วมเสวนาในครั้งนี้ด้วย

ทั้งนี้ จากการเสวนาดังกล่าวได้พูดคุยและซักถาม ประเด็น “ฟิล์ม-แอนนี่” รวมไปถึงการหาทางยุติปัญหาในแง่มุมขององค์กร โดย "นางทิชา" ผู้อำนวยการบ้านกาญจนาภิเษก ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า สถานภาพการเป็นสามีภรรยานั้นมีวันหมดอายุได้ แต่ความเป็นพ่อเป็นแม่นั้นต้องคงอยู่สภาพไปตลอด ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ตนอยากให้นึกถึงสภาพจิตใจเด็กมากที่สุด เพราะกลัวผลกระทบตามมาในภายภาคหน้า

ส่วนในมุมมองของ “นายน้ำแท้” อัยการประจำสำนักพัฒนากฎหมาย สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า หากนักแสดงสาวไม่มีความประสงค์ที่จะตรวจดีเอ็นเอก็สามารถกระทำได้ แต่อาจมีผลกระทบภายหลัง ซึ่งตนขอยกตัวอย่างกรณีเช่น หากนักร้องหนุ่มต้องการยกทรัพย์สินและมรดก ให้กับเด็กที่ดาราสาวกล่าวอ้างว่าเป็นลูก แต่มีข้อแม้ว่าจะยกทรัพย์สินให้ต่อเมื่อมีการพิสูจน์ดีเอ็นเออย่างแน่ชัดว่าเป็นลูกของนักร้องหนุ่มจริง ซึ่งหาก “แอนนี่” ยืนยันว่าจะไม่ตรวจก็ไม่สามารถเรียกร้อง ณ จุดนี้ได้ เพราะศาลถือเอาตามความเคลือบแคลงสงสัยของ “ฟิล์ม” ได้เช่นกัน

ด้าน “นายสฤษดิ์” ประธานสภาทนายความจังหวัดธัญบุรี เผยว่าจากกรณีดังกล่าวตนยินดีที่จะรับเรื่อง และให้ความช่วยเหลือ “แอนนี่” ในด้านของกฎหมายอย่างเต็มที่ เพราะถือว่าดาราสาวเป็นผู้ถูกละเมิดสิทธิ

นอกจากนี้ “นางระเบียบรัตน์” นายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข ได้เสนอความคิดเห็นในการเสวนาครั้งนี้ พร้อมยืนยันว่า “แอนนี่” ไม่จำเป็นต้องตรวจดีเอ็นเอ และไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจาก “ฟิล์ม”

“ก่อนอื่นดิฉันต้องขอยกย่องผู้ชาย คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมฯ (นายอิสสระ สมชัย) และ ทนายวันชัย สอนศิริ ซึ่งท่านเป็นเลขาสภาทนายความ ได้ออกมาให้ความช่วยเหลือกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ลุกออกมาเรียกร้องสิทธิ และก็ต้องชมเชยผู้ชายอีกคนหนึ่ง จุ๊น (กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธุ์สุข) สุดยอด ที่เขาบอกว่า ครอบครัวผมเงินซื้อไม่ได้ ส่วนเกย์ นที เขาก็โทรหาดิฉันบอกว่า สื่อไม่ติดต่อหาผมเลยครับ(หัวเราะ)”

“ความจริงแล้วระเบียบรัตน์ไม่เป็นอริใครทั้งสิ้น แต่พูดเสมอว่า ถ้าพิธีกรดังๆ ทำไม่ถูกต้องดิฉันก็ไม่ไว้เหมือนกัน เพราะดิฉันเองไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และดิฉันรู้สึกเศร้าที่ผู้หญิงด้วยกันยังตำหนิกันเอง งานนี้ผู้หญิงเสียหาย 99 เปอร์เซ็นต์ ผู้ชายเสียหาย 1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง 1 เปอร์เซ็นต์นั้นคือผลประโยชน์โดยแท้ หรือผู้หญิงหลายคน (ลากเสียง)ตั้งประเด็นว่าทำไมไม่ตรวจดีเอ็นเอล่ะ ตรวจซะก็จบ ดิฉันประกาศเลย ณ ตรงนี้ ถึงตายก็จะประกาศว่าไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องตรวจ และก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องไปขอความช่วยเหลือจากผู้ชายคนนี้ หรือโคตรเหง้าศักราชแม้แต่บาทเดียว ที่แล้วมาเขาอาจจะช่วยเหลือ เพราะคิดว่าเป็นมนุษย์ร่วมโลกก็สุดแล้วแต่ ”

แนะเรื่องดังกล่าวจะจบ ถ้าต่างคนต่างอยู่ พร้อมวอนสื่อให้ยุติการนำเสนอข่าว

“จุดจบของเรื่องนี้ ดิฉันคิดว่าคงต้องทางใครทางมัน แอนนี่ก็ทำหน้าที่ของตัวเองไปเพื่อหาเงินเลี้ยงลูก ใครเมตตาแอนนี่ก็ช่วยป้อนงานให้เขา เขาจะได้มีเงินที่สุจริตแล้วเลี้ยงลูก ส่วนฟิล์มก็คิดว่ามีคนปกป้องให้เยอะ ยังไงแฟนคลับก็เยอะ คงกลับมาทำงานทำหน้าที่ตัวเองซะ ก็เป็นบทเรียนที่ล้ำค่าทั้งสองฝ่าย ที่สังคมจะได้ประโยชน์จากทั้งคู่ ที่เป็นบุคคลสาธารณะ”

“ซึ่งภาพที่ออกมาจะผิดก็ผิดทั้งสองฝ่าย ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นอุทาหรณ์ให้เยาวชนได้เห็นเป็นตัวอย่าง ให้คิดมากขึ้นก่อนที่จะเห็นผู้หญิงเป็นผักปลา หรือเครื่องสนองทางเพศ แล้วผู้หญิงก็จะได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีและเกียรติยศ เมื่อเขาย่ำยีมันเจ็บปวด และที่หนักที่สุดคือเด็กผู้บริสุทธิ์ เขาไม่รู้เรื่อง มันเป็นจุดๆ หนึ่งที่อาจเป็นปัญหา ซึ่งดิฉันเองก็อยากฝากสื่อไว้ว่า หยุดได้แล้ว พอได้แล้ว ต้องขอร้องกันให้พอแล้วล่ะ อยากให้เป็นเรื่องของคนสองคนเดินตามวิถีชีวิตเขาไป”

อย่างไรก็ตามในตอนท้ายของเสวนา ทางเครือข่ายด้านสิทธิเด็ก สิทธิสตรีและสิทธิมนุษยชน ได้มีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และมีความเห็นว่า เนื่องจากการนำเสนอและการวิพากษ์วิจารณ์ต่อเรื่องดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นไปในทางลบ ทางเครือข่ายฯ จึงขอให้ทุกฝ่ายทั้งผู้ให้สัมภาษณ์ และสื่อสารมวลชน หยุดให้ข้อมูลในด้านลบ เพราะอาจขัดกับหลักการการเคารพสิทธิ ความเป็นส่วนตัวของบุคคล ซึ่งสุ่มเสี่ยงจะนำไปสู่กรณีพิพาทในการหมิ่นประมาท

และขอให้ทุกฝ่ายหยุดการนำภาพหรือข้อมูลที่เกี่ยวกับเด็ก ไปเผยแพร่นำเสนอ ซึ่งจะเป็นการขัดกับหลักการการเคารพสิทธิเด็กตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ขอให้ทุกฝ่ายตระหนักและทราบว่า ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกของอนุสัญญา ว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ ทั้งนี้หวังให้เรื่องดังกล่าวนั้นยุติและสร้างบรรทัดฐาน ในการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพอย่างแท้จริง

แสดงความคิดเห็น

 
Top