เปิดฉากเป็นที่รู้จักของประชาชนด้วยมาดของสาวนักบู๊ แต่พักหลังๆ ต้นสังกัดอย่างสหมงคลฟิล์มมักป้อนบทสาวเซ็กซี่ในหนังแนวอีโรติกให้ดาราสาว “นุ้ย เกศรินทร์ เอกธวัชกุล” เล่นซะส่วนใหญ่ ทำให้เจ้าตัวรู้สึกเอียน อยากเปลี่ยนแนวไปทำอย่างอื่นบ้าง เลยตัดสินใจไม่ขอต่อสัญญา แม้ว่าทางสหฯจะเรียกเข้าไปพูดคุยถึงเรื่องนี้หลายครั้งแล้วก็ตาม
“สัญญากับสหมงคลหมดไปตั้งแต่ตอนที่ถ่ายลีโอแล้วค่ะ แต่ว่าพอหมดแล้วก็ยังทำงานกับสหฯมาตลอด ตอนนี้ก็ยังทำด้วยกันได้ แต่ก็พยายามเลี่ยงนะคะ ถ้าเวลาเขาติดต่อมาเป็นพวกอีโรติกหรืออะไร เราก็เลี่ยงมาตลอด และสหฯก็มีมาให้ต่อสัญญาเรื่อยๆ นะคะ คือตั้งแต่ก่อนหมดสัญญาเขาก็เรียกเข้าไปคุยหลายรอบว่าให้ต่อ แต่นุ้ยแค่รู้สึกว่าอยากลองทำอย่างอื่นบ้าง”
“ซึ่งจริงๆ เขาก็ให้นะคะ อยากทำอะไรก็ได้ เซ็นสัญญาเหมือนเดิมแต่ทำอะไรก็ได้ แต่นุ้ยแค่รู้สึกมันเป็นอิสระมากกว่า เพราะถ้าเราต่อสัญญาไปเหมือนกับว่าการตัดสินใจของเรา ถ้าจะรับงานอะไรสักงานนึงมันจะต้องผ่านหลายขั้นตอน แล้วเราก็แค่รู้สึกว่าอยากทำหลายๆ อย่าง เช่นอยากร้องเพลง ตอนนี้ก็ทำเพลงอยู่กับไอมิวสิคด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงทำงานลำบากนิดนึง ตอนนี้ก็เลยมีเซ็นสัญญากับไอมิวสิคที่เดียวค่ะ แต่ที่นี่จะดูเฉพาะเรื่องเพลง นอกนั้นก็คงจะไม่ได้เซ็นกับใคร”
“ถามว่าที่สหฯ ส่งแต่บทอีโรติกให้เล่นตลอดหรือเปล่าเลยไม่ต่อสัญญา ก็ไม่เชิงตลอดหรอก บทที่เขาให้มามันก็โอเคนะคะ เพราะนุ้ยก็เป็นตัวหลักมาตลอด แต่ช่วงหลังๆ มาหนังแอ็คชั่นมันน้อยลง นุ้ยก็แค่อยากลองเปลี่ยนการทำงาน เปลี่ยนสไตล์และลองทำอย่างอื่นบ้างแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่ก็ยังรักกับสหฯดีเหมือนเดิมค่ะ ถ้าเขาให้งานมาก็ยังโอเค แต่ว่าตอนที่นุ้ยอยู่สหฯจะไม่ค่อยได้อ่านบท ถึงเวลาก็ไปเล่นเลย จะไม่รู้ว่าต้องเล่นเป็นอะไร คือเหมือนกับว่าเป็นหน้าที่ของเราที่เขาให้เล่นอะไรก็เล่นไป แต่ ณ ตอนนี้ถ้าเป็นหนังอีโรติกหรืออะไรที่เรายังไม่พร้อมจะรับ เราก็ไม่รับแค่นั้นเอง แต่ถ้าเรื่องไหนโดนเราก็รับ”
“ตอนนี้นุ้ยไม่กลัวถึงจะไม่มีค่ายเราจะไม่มีงาน เพราะนุ้ยมีงานประจำของนุ้ยอยู่แล้ว คือนุ้ยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แคลิฟอร์เนียร์ ว้าว แล้วก็ทำงานให้กับแคลิฟอร์เนียร์ฯเหมือนเป็นเงินเดือนเลย งานหลักๆ ของนุ้ยก็คือได้จากการที่นุ้ยสอนเต้น เป็นครู แล้วก็เป็นวิทยากร ส่วนเรื่องของการแสดงและอีเว้นท์ก็เป็นงานรองมากๆ สำหรับนุ้ย แต่ว่ามันเป็นสิ่งนึงที่เราชอบ และก็รู้สึกว่าเป็นโอกาสนึงที่เราจะได้ทำ ถ้าเป็นชีวิตคนปกติคงจะไม่ได้มาทำอะไรแบบนี้”
เผยเหตุรับละครเรื่อง "ตะวันเดือด" ของผู้จัดฯ “นก ฉัตรชัย เปล่งพานิช” เพราะได้เล่นบู๊และต้องพลิกบทบาท แต่หนักใจถึงขนาดน้ำตาเล็ด ที่ต้องเล่นเลิฟซีนเปลืองตัวสุดๆ กับผู้ชายหลายคน
“ที่มารับเล่นเรื่องนี้เพราะอยากเปลี่ยนคาแรคเตอร์ตัวเองบ้าง แต่เรื่องเล่นร้ายนี่ไม่เท่าไหร่ แต่มันหนักตรงเลิฟซีนนี่แหละค่ะ คือแรงเลยล่ะ หลายสามีหลายใจ แต่เรื่องเซ็กซี่อันนี้ยังไม่แน่ใจ แต่ก็คงจะโป๊นิดหน่อยเพราะมันมีเลิฟซีน แต่ในความรู้สึกตอนแรกที่รับ เพราะว่าเป็นแอ็คชั่นแล้วก็มีขี่ม้า เราก็เลยรู้สึกว่ามันแนวเราก็เลยสบายใจ แล้วเขาก็บอกว่าเป็นตัวร้ายแต่มีเล่นแอ็คชั่น เราก็โอเคเป็นการพลิกบทบาท”
“แต่พอมาอ่านบทวันแรกน้ำตาเล็ดเลย เพราะเปิดฉากมาก็เต้นยั่วเลย แล้วก็อยู่บริเวณขนหน้าอกพี่จอนนี่(จอนนี่ แอนโฟเน่) เลยค่ะ(หัวเราะ) เราก็ตื่นเต้น แล้ววันนั้นเจอพี่เขาครั้งแรกด้วย พอเริ่มรู้ชะตาตัวเอง เริ่มพลิกดูบทหน้าต่อๆ ไปมันไม่ใช่แค่คนเดียว มันมีคนต่อๆ ไปด้วย ประมาณ 3 คนได้ แต่คนที่เกือบจะได้นุ้ยก็นับว่าเป็นเลิฟซีนแล้วนะ เพราะแค่นี้มันก็ไปเยอะแล้วเหมือนกัน ภาพมันเกือบจะได้กันอยู่แล้ว ก็นับว่าเลิฟแล้วนะคะ ก็ตื่นเต้นตรงนี้แหละค่ะ น้ำตาเล็ดเลย”
“แต่นุ้ยเชื่อว่าพี่นกคงใช้มุมกล้องแล้วก็เทคนิคช่วย แต่ถามว่าอ่านแล้วบทดีไหม บทดีมากค่ะ เป็นผู้หญิงที่เหมือนกับเก็บกด มีเรื่องในใจที่ทำให้ต้องกลายเป็นผู้หญิงที่ร้าย แล้วก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ แล้วนุ้ยก็ถามว่ามีบู๊หรือเปล่า เขาก็บอกว่ามีขี่ม้า แต่พอไปอ่านบทก็คือขี่ม้าไปมีอะไรกับคนอื่น(หัวเราะ) ก็น้ำตาเล็ดอีกรอบนึง ก็เลยโทรหาผู้จัดการว่าจะยังไงดี เพราะเราก็ตื่นเต้นว่าจะยังไง แต่ว่าพอคุยกับเพื่อนๆ และพี่ๆ ทีมงานหลายๆ คนเขาก็บอกว่าเป็นบทที่ดีนะ”
“จริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องของการแสดง บวกกับได้คุยกับหม่อมน้อย(ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล) ด้วย เพราะนุ้ยก็เรียนการเรียนแสดงกับท่าน ก็เลยมีความรู้สึกว่าถ้าเราเป็นนักแสดงจริงๆ เราก็ควรจะเล่นได้หลายบทบาท และที่ผ่านมาทุกคนก็จำนุ้ยว่าเป็นบู๊หมดเลย หรืออาจจะมีตลกบ้างในซิทคอมต่างๆ แต่บทแบบนี้ยังไม่เคยเล่น และการรับบทแบบนี้เป็นครั้งแรกมันก็เป็นเรื่องที่น่าลองนะ มันเป็นการพิสูจน์ตัวเองว่าเราจะไปบทอื่นได้หรือเปล่า เพราะที่ผ่านมาคนก็จะให้แต่งานบู๊กับงานที่เหมือนเดิมที่ออกแนวเซ็กซี่”
“แล้วที่ผ่านมานุ้ยเล่นหนังมาตลอด พอมาเล่นละครครั้งนี้นุ้ยก็คิดอยู่ว่าจะปรับตัวยังไง คืออยากลองทำตรงนี้ แล้วมองเห็นว่าหนังเรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ก็จวนเจียนเสร็จแล้ว คือช่วงนี้นุ้ยกำลังทำเพลงอยู่ด้วย 11 พ.ย.นี้จะเปิดตัวซิงเกิ้ลของนุ้ยแล้ว ก็ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ด้วย แล้วอายุเราก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เลยมีความรู้สึกว่าช่วงนี้ทำอะไรได้ก็น่าจะลองทำไปหลายๆ อย่าง เดี๋ยวจะช้าเกินไป”
ส่วนเรื่องหัวใจตอนนี้ยังว่างโสดสนิทมา 2 ปีแล้ว ตั้งแต่เลิกรากับดีเจอารมณ์ดีอย่าง “เชาเชา ชวลิต ศรีมั่นคงธรรม” รับยังมีคุยและกินข้าวกับอดีตแฟนหนุ่มบ้าง แต่โนรีเทิร์น
“ความรักก็ยังไม่มีอะไรค่ะ เพราะยังไม่มีเวลาเลย ตอนนี้นุ้ยลั้นลานะจะไปไหนก็ลั้นลาไม่ต้องรายงานใคร ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาทำให้เราลำบากใจในเรื่องของการทำงาน ก็หลังจากพี่เชาเชาก็ยังไม่มีใครอีก ประมาณ 2 ปีได้ แต่ข่าวที่ผ่านมาส่วนมากก็จะเป็นเก้งกวาง แต่ล่าสุดที่เป็นข่าวกับแดน (วรเวช ดานุวงศ์) ก็เพราะเล่นบันทึกกรรมด้วยกัน คือจริงๆ แล้วแฟนคลับเขาไปถ่ายรูป แล้วนุ้ยก็ไม่ทราบด้วยว่ารูปมันหลุดจากบีบีหรือเฟซบุ๊กหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ถือว่าเป็นความโชคร้าย เพราะว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็โดนแอนตี้”
“แต่นุ้ยก็ทำใจไว้เลยว่าโดนแน่ๆ เพราะปกติอยู่เฉยๆ ก็โดนอยู่แล้ว และด้วยความที่ภาพเคยเซ็กซี่มาก่อนคนก็คงจะมองว่าเราแรง มาเจอเรื่องนี้ก็คงแบบจั๋งๆ เลยก็คงต้องทำใจ ก็คงต้องน้อมรับทั้งคำด่าคำชม เอาเป็นว่าเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ที่เหลือก็จะได้มาพัฒนาเรื่องการแสดงด้วย แต่กับพี่เชาเชาก็ยังคุยกันค่ะ ยังเป็นพี่เป็นเพื่อนกันปกติ อย่างบางทีเจอกันในงานก็คุยกันได้ หรือบางทีก็ชวนไปกินข้าวกันได้ แต่ว่าก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่เขามีคนของเขาหรือยังอันนี้นุ้ยไม่ทราบเลย ก็คิดว่าเขาคงมีของเขาบ้างเหมือนกัน เพราะเขาก็ขี้เหงา เขาก็คงจะมีสาวๆ ของเขาบ้าง เพราะเขาก็บอกว่าเป็นหนุ่มฮอตอยู่ตลอด เลือกไม่ถูก”
“เรื่องหยอดๆ เป็นเรื่องปกติของเขาอยู่แล้วค่ะ เป็นนิสัยของเขาอยู่แล้ว นุ้ยก็ดูไม่ออกว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่น พอเวลาที่เขาหยอกมาและด้วยความที่เรารู้จักเขามานาน เราก็จะรู้สึกว่าไม่รู้ว่าจริงหรือเล่น อย่างบางคนเขาไม่ได้คิดอะไรก็หยอด แต่มันเป็นสไตล์การพูดของเขาอย่างนั้น นุ้ยก็เลยรู้สึกเฉยๆ กับคำพูดที่เขาหยอดๆ มา ทุกวันนี้ก็ยังมีทั้งหยอดและทำให้กระอักกระอ่วนบ้างก็มี (หัวเราะ) แต่ก็ยังคุยกันได้ค่ะ”
“แต่เขาชอบโทรมาถามทางจากนุ้ย เพราะบางทีเขาไปทำงานไม่ทัน ก็จะชอบโทรมาถามว่าไปเส้นทางไหนดี เพราะนุ้ยขับรถเองตลอดเวลา ไปเหนือล่องใต้ก็ขับรถคนเดียว เพราะฉะนั้นนุ้ยจะรู้ทิศทางหรือว่าทางลัดเยอะ เขาก็จะมีถามทางบ้าง ไม่ใช่หาเรื่องคุยหรอกค่ะ เพราะเขาจะโทรมาเวลาที่จะขอคำปรึกษามากกว่า แต่โอกาสรีเทิร์นนี่ไม่รู้เหมือนกันนะ คือมันจบแล้วก็ไม่รู้จะไปรื้อฟื้นอีกทำไม เป็นเรื่องของอนาคตดีกว่า แต่เป็นแบบนี้ก็สบายใจกว่าค่ะ เพราะเหมือนเราพยายามจูนกันหลายรอบ พอกลับมาทีไรก็เหมือนกับว่าเราน่าจะจูนกันได้ใหม่ แต่พอไประยะนึงก็กลับไปที่จุดเดิม นั่นหมายความว่าทุกคนเป็นตัวของตัวเอง แล้วพอเวลามีใครพยายามปรับเข้าหาแค่ฝ่ายเดียว มันก็เหนื่อย”
| ||||
|
แสดงความคิดเห็น