รูปพิ้งกี้ในโทรศัพท์เป๊ก

พิงกี้-สาวิกา ไชยเดช วันนี้เธอเป็นนางเอกที่เป็นข่าวฉาวที่สุด หลายคนสงสัยทำไมจากดาราเด็ก ภาพลักษณ์ใสๆ ไม่เคยมีข่าวเสียหาย พอโตเป็นสาวเธอกลายเป็นสาวเจ้าเสน่ห์ ด้วยบุคลิกร่าเริง ขี้เล่น จึงไม่น่าแปลกที่จะมีหนุ่มๆ เข้ามาขายขนมจีบให้เธอ แต่ที่ทำให้เธอเป็นนางเอกสุดฉาวแห่งปี คือการที่เธอไปสนิทกับผู้ชายที่มีครอบครัวแล้ว เป๊ก-สัญชัย เองตระกูล ทำให้โดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นมือที่ 3 จนหลายคนถึงกับตั้งฉายาใหม่ให้แก่เธอว่า “อีพริ้งคนเริงเมือง”

แม้ว่าข่าวฉาวที่ต่อเนื่องอย่างยาวนานเป็นปีๆ ของเธอกับหนุ่มเป๊กนั้นจะไม่มีหลักฐานเป็นภาพ หรือคลิปใดๆ แต่หลายคนก็ปักใจเชื่อตามข่าวไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสิ่งที่ทำให้หลายคนเชื่อที่มีน้ำหนักที่สุดคงเป็นการออกมาพูดแบบตัดพ้อถึงความสัมพันธ์ของพิงกี้และเป๊กจากปากของธัญญ่า แถมยังมีคนตาดีเห็นเธอยังควงกับหนุ่มเป๊กไปนู่นไปนี่เสมอ และนำข้อมูลไปโพสต์ลงอินเทอร์เน็ต จนเป็นกระแสข่าวฉาวต่อเนื่องยาวนานจนถึงวันนี้

M-Lite พยายามนัดคุยกับนางเอกสาวผ่านคุณแม่หลายครั้ง และได้รับการปฏิเสธมาตลอด จนวันหนึ่งคุณแม่ของนางเอกสาวก็ใจอ่อนยอมเปิดใจให้เราได้มีโอกาสได้พูดคุยถึงเรื่องราวข่าวฉาวที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าบรรยากาศการพูดคุยในครั้งนี้ เต็มไปด้วยความอัดอั้นใจ และความเศร้าอยู่ไม่น้อย

เริ่มสาวเริ่มฉาว

นางเอกสาวตาคม เจ้าเสน่ห์ เข้าวงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 7 ขวบ จากการทาบทามของโมเดลลิ่ง แต่เรื่องที่ทำให้เธอโด่งดังเป็นพลุแตกคงเป็นบทดาวพระศุกร์ ละครเรื่องนี้เรียกคะแนนความสงสารและความนิยมให้เธอเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นดาราเด็กที่มีแต่คนชื่นชมในความน่ารักและความเก่งที่สุดในยุคนั้น

พอถึงวัยสาวเธอกลายเป็นสาวสวยเจ้าเสน่ห์ และเริ่มถ่ายแบบเซ็กซี่ ภาพลักษณ์ของเธอจึงไม่ได้เป็นเด็กสาวใสอีกต่อไป อีกทั้งยังมีข่าวกับหนุ่มๆ ที่ฮือฮาที่สุดคงเป็นการเปิดตัวคบหาเป็นแฟนกับพระเอกหนุ่มข้ามช่องอั้ม-อธิชาติ แต่ความรักของทั้งคู่ที่เปิดตัวสวีตหวานแหววไม่ทันไรก็เป็นอันต้องปิดฉากลงแบบเงียบๆ ไม่เป็นข่าวใหญ่โตนัก จนกระทั่งเป็นข่าวว่าคบหาดูใจกับสงกรานต์ เตชะณรงค์ ทายาทโบนันซ่า เขาใหญ่ แต่เจ้าตัวกลับลำออกมาพูดว่าสาวพิงกี้เป็นแค่เพื่อนเท่านั้น ข่าวนี้ก็ทำให้คนมองว่าเธอหน้าแตกบ้างล่ะ! จับผู้ชายบ้างล่ะ!

สำหรับข่าวล่าสุดที่ทำให้เธอเป็นนางเอกที่ฉาวที่สุด คือข่าวกับหนุ่มเป๊ก สาวโสดกับหนุ่มที่มีครอบครัวแล้ว มาสนิทสนมกันได้อย่างไร ยังไงก็เป็นปมกังขาของสังคม โดยเฉพาะเมื่อธัญญ่าออกมาแฉว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันจริง มีหลักฐานมาโชว์สื่อเป็นภาพหลุดสาวพิงกี้ในชุดนอนอยู่ในมือถือของหนุ่มเป๊ก เรื่องนี้ถึงขนาดทำให้ความสัมพันธ์ของธัญญ่ากับเป๊กสั่นคลอน

“ถ้าต่อไปหลังจากนี้พิงกี้ไม่หยุด เราก็ไม่เอาแล้วค่ะ เราจะหยุดเองแล้วยกให้ ก็ยกให้คนที่เขาอยากมาแทนที่เรา มายืนตรงเรา หลังจากนี้เราก็คงไม่มีหลักฐานอะไรจะมาโชว์อีก แล้วเพราะไม่อยากทำร้ายใคร เราไม่ได้เป็นคนสร้างปัญหา แต่ทุกวันนี้เราต้องมานั่งตอบปัญหาแทนคนที่ทำ" นี่เป็นคำพูดของธัญญ่าผ่านสื่อ หลังจากเห็นภาพพิงกี้สวมชุดนอนในมือถือของสามี ยิ่งตอกย้ำทำให้คนเชื่อในความสัมพันธ์ที่เกินพี่น้อง

สำหรับข่าว(คาว)รักสามเส้าที่เกิดขึ้นนานหลายเดือน แม้พิงกี้และเป๊กจะออกมายืนยันว่าเป็นแค่พี่น้อง ซึ่งเรื่องก็น่าจะจบไปนานแล้วตามคำพูดของทั้งสองฝ่าย แต่ก็ไม่จบตรงที่ยังมีคนเห็นทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกัน แถมยังมีข่าวลือถึงขนาดซื้อบ้าน ซื้อรถให้กันอีก จนสองแม่ลูกต้องออกมาโต้ผ่านสื่อด้วยน้ำตานองหน้า วอนอยากให้เรื่องนี้จบสักที

กรณีที่ข่าวฉาวล่าสุดที่มีข่าวว่าหนุ่มเป๊ก ถอยบ้าน รถให้เป็นของขวัญ พิงกี้ถึงกับระบายความในใจผ่านเฟซบุ๊กถึงแฟนคลับว่า “การที่เราไม่พูด ไม่ใช่เพราะเรายอมรับ แต่เป็นเพราะเราไม่อยากมีเรื่องกับใคร อยู่ในวงการกี้ก็อยากมีมิตรมากกว่ามีศัตรู กี้ทำงานหนักขนาดนี้ กี้สามารถซื้อรถและบ้านเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาซื้อให้หรอก ตอนนี้กี้ก็ไม่ค่อยไปไหน บางทีกี้ก็เดินทางไปกับครอบครัวบ้าง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมยังมาโยงกี้ไปเกี่ยวข้องพาดพิงกับคนอื่นด้วย”

ข่าวแรงถึงขั้นโดนแบน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอในครั้งนี้ เป็นบทเรียนราคาแพง ที่ต้องเจ็บและจำไปอีกนาน เธอยอมรับว่าเกิดจากความผิดพลาด แต่ก็ยังไม่ยอมรับว่าเธอเป็นอย่างที่เป็นข่าว ซึ่งการที่เธอไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธนี่เอง เป็นจุดที่ทำให้หลายคนยังคาใจ และวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของเธอกันไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรง ถึงขั้นรวมตัวกับแบนผลงานของสาวพิงกี้

“รู้สึกว่า เข้าใจสัจธรรมชีวิตว่าไม่มีใครยืนอยู่เคียงข้างนอกจากครอบครัว และคนไม่กี่คน เพราะฉะนั้นก็อย่าพลาด อย่าให้เป็นอะไรแบบนี้ ไม่ใช่หมายถึงว่าเรายอมรับนะ (สาวพิงกี้รีบออกตัว) เพราะถ้าพลาดมันจะไม่มีใครที่คอยเข้าใจ เราพูดไปแล้ว เราชี้แจงไปแล้วเขาก็ยังเข้าใจในแบบของเขา เราก็ทำให้ดีที่สุดเท่านั้นค่ะ

เราคงไม่ต้องไปนั่งพูดกับคนที่มาเขียน ที่เขาอยู่ในมุมมืด ใครก็ไม่รู้ เราต้องไปตอบเขาตลอดเวลาหรือเปล่า คงปวดหัวตาย เพราะเรามีงานของเราค่อนข้างเยอะ ณ จุดนี้มันผ่านไปเป็นปีแล้วนะเรื่องนี้ มันผ่านมานานแล้ว ใครจะเขียนก็เขียน กี้ถือว่ากี้ตั้งใจ และรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ใครอยากจะบอกว่ากี้ไม่ดีก็ปล่อยให้เขาเขียนจนเหนื่อยเลย เขียนไปให้พอ (น้ำตาคลอ)”

กระแสในอินเทอร์เน็ตยังแรงไม่หยุด ถึงขั้นมีกลุ่มคนจำนวนมากที่รวมตัวกันแบนผลงานทุกอย่างของเธอ ซึ่งสร้างผลกระทบทางจิตใจ และความรู้สึกของเธอไม่น้อย

“คนแบนอาจจะเป็นที่ไม่หวังดี ไม่อยากให้เราดี คนที่จ้องจะทำลายน่ะมี เพราะฉะนั้นกี้ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด กี้คงไม่มีแรงไปบอกว่าอะไร อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะกี้อธิบายไปแล้ว กี้พูดไปแล้ว เดี๋ยวนี้มันมีคนเขียนเป็นนู่นเป็นนี่นะ เหมือนกับว่าอักษรย่อบ้าง เราก็อยากจะให้คนอ่านใช้วิจารณญาณเยอะๆ หน่อย เพราะดาราโดนการเขียนแบบนี้เยอะ”

ดาราก็มีความรู้สึก มีอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนคนทั่วไป แต่ด้วยเหตุผลของการเป็นดารา ทำให้สาวพิงกี้ไม่สามารถพูดอะไรได้มาก อย่างที่ใจอยากจะพูด เพราะเกรงว่าจะกระทบหลายฝ่าย

“สิ่งที่ยากของการเป็นดาราสำหรับกี้ กี้ว่าเป็นเรื่องของการประคับประคองอารมณ์ เพราะเราเป็นคนของประชาชน บางทีคนดูติดภาพเราจากละคร อยากให้เราเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ แต่เราไม่สามารถทำได้ จริงๆ กี้อยากมีสิทธิของตัวเอง กี้อยากจะด่าเขาเหมือนกันนะ แต่เราทำไม่ได้ เพราะเราอยู่ในวงการบันเทิง เราไม่ได้อยู่ในสายงานอื่น จุดตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่เราทำไม่ได้ เราก็ต้องระมัดระวังอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งต้องใช้เวลา

บางทีข่าวก็ทำให้ท้อเหมือนกัน เคยได้ยินดาราหลายๆ คนเขาก็พูดว่าท้อนะ เบื่อ อยากจะลาวงการก็มี กี้คิดว่าถ้ากี้ลาออกจากวงการจริงๆ นะ กี้จะพูดให้หมดเลย (หัวเราะ) คือที่กี้ไม่พูดเนี่ย เพราะกี้ต้องอยู่ในวงการบันเทิง กี้อยากมีมิตรมากกว่ามีศัตรู กี้ไม่สามารถพูดอะไรได้เยอะ เพราะฉะนั้น ณ ตอนนี้เราทำหน้าที่เรา เราเป็นนักแสดง ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงเหมือนกัน แต่ว่าตราบใดที่เราพูดความจริง เราทำไปแล้วก็รอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เดี๋ยวคนก็ต้องเห็นว่าเป็นยังไง”

ไม่ว่าจะมีข่าวเยอะขนาดไหน แต่เธอยอมรับว่าวงการนี้ให้สิ่งดีๆ กับเธอมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง เธอบอกว่าถ้าไม่ได้เป็นดาราก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร ถึงแม้จะมีคนไม่รักบ้าง แต่มีคนบางกลุ่มที่ยังรักและเข้าใจเธอ แค่นั้นก็เพียงพอที่จะเป็นกำลังใจให้เธอสู้ ลุยงานต่อไป

“พิงกี้” สาวสันโดษ

สาวกี้บอกว่าตัวตนของเธอเป็นคนเงียบๆ ชอบสันโดษ เวลาว่างชอบดูหนัง ฟังเพลงเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่ผ่านมาทำงานหนักมาตลอด มีช่วงนี้ที่มีเวลาเหลือเยอะที่สุด เธอบอกว่าขอใช้เวลาอยู่กับครอบครัวดีกว่า สบายใจที่สุด

“เวลาว่างชอบดูหนัง วันหนึ่ง 3-4 เรื่อง ดูทีวีที่บ้าน ช่วงนี้ก็เรียนทำอาหาร และคงหาอะไรที่เป็นประโยชน์กับตัวเรา ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยไปเที่ยวกับเพื่อน เราทำงาน เวลาว่างที่จะอยู่กับครอบครัวก็น้อยลง ช่วงนี้มีเวลาว่างเยอะที่สุดก็จะอยู่กับครอบครัว ไม่ไปเที่ยว ไปไม่ไปสังสรรค์เท่าไหร่

เมื่อก่อนจะไม่อยากตื่นเลย แต่ตอนนี้ทำงานหนักๆ ตื่นเองคนแรกเลย นิสัยกี้เป็นคนร่าเริง ถ้าคนไม่รู้จักอาจจะคิดไปยังไงก็แล้วแต่ แต่กี้เป็นคนแบบนี้ แล้วก็มีหลายคนที่รู้ว่ากี้กับแม่เป็นคนแบบไหน เราเป็นคนไม่พูดมาก ไม่ค่อยจะมีอะไรมากมาย เป็นเหมือนผู้ชายๆ หน่อย

กี้เป็นคนสันโดษนะ มีกลุ่มมีเพื่อนไม่มาก ค่อนข้างจะชอบอยู่ในสวน ในป่า ที่ที่มันดูแล้วมันสบาย มันโล่ง เป็นคนไม่ค่อยบ้าแบรนด์เนม ไม่ค่อยชอบวัตถุเท่าไหร่ ชอบอะไรที่ธรรมดาๆ แต่ก็ไม่ถึงกับธรรมดามาก ก็เป็นคนมีสไตล์เป็นของตัวเอง”

เข็ดกับความรัก

เมื่อถามถึงเรื่องความรัก สาวกี้ถึงกับออกตัวว่าเข็ดกับความรักแล้วจริงๆ เพราะไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูดจะทำอะไรก็เป็นที่จับตามองไปซะหมด

“กี้ไม่ค่อยอยากมีความรักแล้วตอนนี้ กี้กลัว กี้ค่อนข้างอยากจะใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด อยากอยู่กับครบครัว อย่าให้เขามาเหนื่อยกับเราเลย แต่ถ้าเราอาจจะเจอใครสักคนที่พระเจ้าส่งมาให้เราแล้ว เราก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ

ความรักสอนเราเยอะนะ ความรักของเรา เหมือนเราอยู่ในสื่อ การที่เราพูดมากก็ไม่ดี การที่เราเงียบก็หาว่าเราเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ความรักกับชีวิตของกี้มันค่อนข้างจะขัดแย้ง ถ้าเรามีความรักเมื่อไหร่ เขาจะหาว่าเราไปจับผู้ชายบ้างล่ะ กี้ถือว่าเราทำงาน เราหาเงินเอง ก็เลยคิดว่าความรักของกี้คงไม่มีมุมมองแล้ว ขอให้เป็นคนดีที่สุด เข้ากับครอบครัวเราได้ก็พอแล้ว”

คุณแม่เป็นกันชน

ไม่ว่าพิงกี้จะมีข่าวเสียหายออกมามากขนาดไหน ยังไงเธอก็มีคุณแม่ ที่คอยให้กำลังใจ และคอยปกป้องไม่เคยห่าง “รับมือโดยที่คุณแม่อยู่เคียงข้าง เพราะเราให้คุณแม่คอยช่วย คุณแม่เป็นเหมือนคนคอยเตือนสติ คอยบอกว่า ไม่เป็นไรลูก คือต่อให้มีข่าว คุณแม่ก็จะบอกว่าไม่เป็นไร เราอยู่ด้วยกัน ครอบครัวเรารู้ว่าเป็นยังไง ถ้าเรามัวแต่เอาความเครียดแบบนี้เข้ามา เราก็ทำอะไรไม่ได้หรอก เราก็โอเค พยายามที่จะลืมทุกอย่าง มาเต้น มาร้องเพลง ไม่ต้องไปนั่งอ่านข่าว ปวดหัว เวลาว่างกี้ไปเรียนทำอาหาร ทำอะไรที่มันลืมๆ ข่าวพวกนี้ ในอินเทอร์เน็ตก็ไม่อ่านแล้ว เพราะว่ามันเยอะมากเหลือเกิน

กำลังใจ จากครอบครัวสำคัญ ถ้ากี้ไม่มีครอบครัวป่านนี้กี้คงฆ่าตัวตายไปแล้วมั้ง (หัวเราะ) ล้อเล่นค่ะ กี้มีครอบครัว มีแฟนคลับ มีญาติ มีเพื่อนคนที่เข้าใจ”

สำหรับสาวพิงกี้ แม่เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งคนที่คอยสอน คอยดูแลทุกอย่างตั้งแต่เด็ก จนถึงวันนี้เธอถึงกับบอกว่าถ้าไม่มีแม่ก็ไม่รู้ป่านนี้เธอจะเป็นอย่างไร

“ถ้าไม่มีแม่ไม่รู้ว่าจะมีวันนี้หรือเปล่า แม่อยู่ข้างๆ เราตลอด เป็นทั้งเพื่อน ทั้งแม่ ทั้งอะไรทุกอย่าง แม่จะบอกไม่เป็นไรลูก ตราบใดที่แม่ยังอยู่ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้หรอก แม่ดูแลทุกเรื่อง อาหารการกิน เสื้อผ้า ตื่นมาก็เรียกคุณแม่ตลอด แม่ก็จะบอกว่าถ้าไม่มีแม่วันหนึ่งจะเป็นยังไง นอนก็ยังนอนกับคุณแม่ นอนกอดแม่เป็นหมอนข้าง เพราะว่าเราอยู่กันแบบอบอุ่น ไปไหนคนก็จะถามว่าแม่ล่ะ ถามถึงแม่ก่อน เห็นแม่ก็ต้องเห็นกี้

บางทีตื่นมาเราคิดว่าวันนี้อยากกินอันนี้ ปรากฏว่าแม่ทำแล้ว กี้ผูกพันกับคุณแม่มาก คิดว่าอยากใส่ชุดนี้ แม่ก็เตรียมไว้รอแล้ว เราก็ถามแม่รู้ได้ไง แม่ก็บอกว่าไม่งั้นจะเป็นแม่ลูกกันได้เหรอ
ถ้าเมื่อก่อนตอนเด็กอาจจะมีคิดว่าทำไมแม่ต้องตาม ณ วันนี้นะ ถ้าเกิดกี้ไม่มีแม่ (น้ำตาคลอเสียงสั่น) กี้จะอยู่ยังไง หมายถึงว่าถ้าเกิดกี้เจออะไรที่ไม่ดีขึ้นมาจะตั้งรับยังไง เพื่อนก็ไม่ได้ให้คำแนะนำได้ดีเท่ากับพ่อแม่

กี้อยากขอบคุณแม่ที่คอยยืนอยู่เคียงข้าง ไม่มีใครที่ดีเท่ากับคุณแม่ อยากบอกทุกคนด้วย อยากจะบอกคนที่ไม่เข้าใจที่เขียนอะไรก็ไม่รู้ว่าเรากับแม่ว่า พวกคุณไม่รู้อะไรดีหรอก ไม่รู้หรอก จะเขียนก็เห็นแก่หน้าพ่อแม่เราบ้าง คนรู้จักจริงๆ จะรู้ว่าแม่กี้เป็นคนแบบไหน ...ซ้อเจ็ด (เน้นเสียง)”

ถึงงานจะน้อยลงแต่มีความสุข

แม้ช่วงนี้งานแสดงของเธอจะไม่เยอะเหมือนก่อน แต่สาวพิงกี้บอกว่ามีความสุข เพราะได้ทำงานที่ตรงกับบุคลิกความชอบของเธอ แถมได้ปลดปล่อยนั่นคือการเต้น

“ตอนนี้กี้มีงานละครเรื่องเดียวเรื่องเงาพราย ทางช่อง 3 อยากให้แฟนละครติดตามละครที่กี้เล่น เพราะเป็นละครที่กี้ย้ายช่องใหม่ ตัดผมสั้นด้วย อยากได้อะไรที่ดีๆ กลับมา”

นอกจากงานแสดง เธอยังชอบร้อง ชอบเต้น ซึ่งเธอบอกว่าตรงกับบุคลิกความเป็นเธอมากที่สุด “ถ้าไม่ได้เล่นละครเลยนะ กี้ถือว่าสามารถใช้ชีวิตวันๆ หนึ่งอยู่กับการเต้น อยู่กับการร้องเพลง กี้มีความสุขแล้วนะ ไม่ต้องไปทำอะไรอย่างอื่น ขออยู่กับโลกส่วนตัวคือการเต้น”

ช่วงนี้หลายคนอาจจะเห็นเธอกับไมค์-พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล บ่อยครั้ง เพราะต้องซ้อมเต้นด้วยกัน แถมยังเข้าขากันได้ดี จนตอนนี้หนุ่มไมค์ได้ตำแหน่งเพื่อนชายที่สนิทที่สุดไปครอง

“กี้สนิทกับไมค์ตั้งแต่ตอนที่ไปเป็นแขกรับเชิญคอนเสิร์ตกอล์ฟไมค์ ถือว่าได้รับการตอบรับดี ผ่านมาได้ด้วยดี พอมีโปรเจกต์ “พอนด์สตามหารักแท้ ซุปเปอร์สตาร์ วาไรตี้โชว์” เป็นคอนเสิร์ตเฉพาะกิจ ทางแกรมมี่เห็นว่าคู่นี้เต้นกันได้ เขาก็เลยจับให้เรามาคู่กับไมค์ เหมือนเขาเจอคู่ที่แมตชิ่งกัน บวกกับเราสนิทกันเป็นเพื่อนกัน เวลาเต้นคู่ก็จะสนุกและก็ออกมาดี

อยู่กับคนที่ชอบเต้นเหมือนๆ กัน ก็สนุกสนาน ไม่คิดต้องเรื่องอื่น เต้นอย่างเดียว ไม่มีมานั่งพูดอะไรกัน เจอหน้ากันเต้นอย่างเดียว ที่เราเต้นมีหลากหลาย มีฮิปฮอป จะเต้นแบบแข็งแรงหน่อย จริงจัง เป็นแบตเทิลกัน”

สาวกี้พูดถึงหนุ่มไมค์ ที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันนัก “ไมค์เป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรเยอะค่ะ เขาเจอเราเขาก็ ยูวันนี้ไอไปฟังเพลงนี้มานะ เป็นเพลงใหม่มากเลย มาร้องคู่กันไหม เป็นการแลกเปลี่ยนกันตลอดเวลา เวลาเจอกันก็สนุกสนาน จะเห็นว่าเราสนิทกันเราก็เต้นกันไม่เขิน ลองให้กี้ไปเต้นกับคนอื่นที่เขาไม่เป็นเหมือนไมค์ ก็อาจจะเขินและไม่เข้ากัน”

ย้ายช่องเพราะข่าวฉาว?

สาเหตุที่สาวพิงกี้ย้ายจากช่อง 7 มาช่อง 3 หลังจากร่วมงานกันมานานกว่า 5 ปี คุณแดง- สุรางค์ เปรมปรีดิ์ไม่ขอแจกแจงรายละเอียด ทำให้หลายคนอาจจะมองได้หลายอย่างว่าที่ต้องย้ายช่องเพราะมีข่าวฉาวหรือเปล่า หรือย้ายเพราะอยากเติบโตในวงการการแสดง

“ย้ายมาช่อง 3 เรารู้สึกตื่นเต้นนะ เหมือนเราเป็นส่วนหนึ่ง เป็นส่วนเล็กๆ ของเขา เข้ามาจะมีอะไรหรือเปล่า เพราะเราก็มีข่าวอะไรก็ไม่รู้ เราเข้ามาก็อยากจะทำเต็มที่ และอยากให้ประชาชนดูแล้วชื่นชอบกับงานของเรา ก็ถือว่าเราตั้งใจให้มากที่สุด แล้วผลตอบรับจะมาเป็นยังไงค่อยว่ากันอีกที

กี้ว่าเหมือนเราเปลี่ยนสายงาน เปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง คงจะได้ประสบการณ์คือ ได้เจอทีมงานใหม่ๆ ได้เล่นบทหลากหลาย กี้ก็ตั้งใจ และอยากขอบคุณพี่ปิ่น-ณัฎฐนันท์ ฉวีวงษ์ (บอสใหญ่แห่งค่ายทีวีซีน) และทางช่องที่ให้โอกาสกี้ และจะตั้งใจเล่นให้ดีที่สุด”

ประสบการณ์ที่อินเดีย...สุดหิน

กระแสข่าวด้านลบสำหรับสาวคนนี้ยังไม่หมด ขนาดเธอบอกว่าจะไปทำงานที่อินเดียก็ยังไม่วายโดนหาว่าโกหกอีก เหตุเพราะเลื่อนกำหนดเดินทางไปมา ซึ่งงานนี้สาวพิงกี้บอกว่าไปทำงานจริงๆ และเป็นงานที่หนัก เหนื่อยมาก อยากให้คนไทยได้ภูมิใจกับสิ่งเธอทำ

“ประสบการณ์ถ่ายภาพยนตร์ที่อินเดีย เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะหายากและราคาแพงเลยค่ะ เพราะทำงานกับคนต่างชาติ แต่ก็มีข่าวว่าพิงกี้โม้บ้าง โกหกบ้าง เราก็คิดว่าเราทำ เราตั้งใจมันไม่มีใครเห็นหรอก แต่เรารู้ตัวเองว่าเราทำ และเราคิดว่าถ้าผลงานออกมาแล้ว อยากให้คนดูผลงานแล้วค่อยตัดสิน เพราะกี้ตั้งใจทำงาน อยากให้ผลงานดีที่สุด

ถ้าพูดว่าเราไปเรียนต่อปริญญาโทเนี่ย ถือว่าได้เรียนเอกภาพยนตร์เลย นี่คือเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ เราได้ไปเรียนรู้ว่าที่อินเดียเขาทำงานกันอย่างไร มีระบบ แบบแผนยังไง ภาษา การสื่อสาร มันมีทั้งหมดรวมอยู่ และด้วยความที่เป็นภาษาของเขากี้ต้องทำการบ้านมากกว่าปกติ บวกกับที่มีข่าวที่เมืองไทยเยอะแยะไปหมด กี้เลยต้องตัดทุกอย่างที่อยู่ที่เมืองไทย โฟกัสอย่างเดียวว่าพรุ่งนี้จะถ่ายอะไร ต้องทำอะไร

เหมือนเราไปฝึกงานเลย เรียนรู้กับตัวเอง มีทั้งเหนื่อย ทั้งสุข ทั้งทุกข์ เหมือนเราเผชิญกับอะไรที่ไม่มีอะไรยากไปกว่านี้อีกแล้ว จะร้องไห้ก็ร้องไห้คนเดียว สิ่งที่ยากคือเราต้องตั้งใจ พยายามเต้นให้ดีที่สุด ให้ผู้กำกับเขาบอกว่าผ่าน เขามองว่ากี้คือคนบ้านเขา เขาก็เลยบอกต้องทำให้ได้ เราก็กดดันนิดหน่อย คนอินเดียมาดูกองถ่ายเป็นพัน เป็นร้อย คนเยอะ คนเสียงดัง บางทีก็ไม่มีสมาธิแต่ก็ต้องตั้งใจ

การทำงานที่อินเดียสอนให้กี้เข้มแข็งขึ้น เวลาทำอะไรมีสติ อดทนมากกว่าเดิม กี้มีอยู่แล้วนะความอดทน กี้ทำงานตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยผลุนผลัน ไม่ค่อยใช้อารมณ์ เวลาไปถ่ายที่อินเดียเหมือนทำให้เราใจเย็นขึ้นเยอะเลย ทำให้เราคิดเลยว่า ต่อให้เราทุกข์ขนาดไหนในเมืองไทย หรือมีเรื่องอะไรที่ไม่ดี ไปที่นู่นมันคนละแบบเลย ทำให้เรารู้สึกว่าเราทำให้ดีที่สุด จะเกิดอะไรขึ้นใครจะพูดอะไรก็ไม่สนใจ”

เปิดใจแม่อ้อย-สรินยา ไชยเดช

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวไชยเดชในครั้งนี้คนที่จะเจ็บที่สุดคงหนีไม่พ้นหัวอกคนเป็นแม่อย่างแม่อ้อย-สรินยา ไชยเดช ล่าสุดแม่อ้อยออกมาโต้ผ่านสื่อด้วยน้ำเสียงและแววตาแห่งความอัดอั้นใจว่า “พวกคุณบอกให้ช่อง 3 แบนงานพิ้งกี้ อยากแบนให้มาแบนแม่ เพราะแม่อยู่กับพิงกี้ตลอดเวลา ถ้าลูกจะเป็นก็เพราะแม่สั่งสอนลูกไม่ดีเอง”

พิงกี้ ยังไงก็เป็นเด็กเสมอในสายตาแม่

ถึงแม้ปีนี้พิงกี้จะอายุ 24 แล้ว แต่สำหรับแม่อ้อย ยังมองว่ายังไงพิงกี้ก็ยังเป็นเด็กเสมอในสายตาแม่ เพราะจนป่านนี้แม่ก็ยังคอยทำอะไรให้ลูกทุกอย่างเหมือนเดิม

“การที่พิงกี้ทำงานตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาโตในแง่ของการทำงานอย่างเดียว แต่เรื่องอุปนิสัยใจคอก็ยังเป็นเด็กอยู่ อายุ 24 เขาก็ยังเป็นเด็ก ความที่อยู่ใกล้กับแม่มาก เขาก็เลยยังเหมือนเด็ก

ชีวิตเราก็ต่อสู้มา แม่เหมือนเป็นผู้นำของครอบครัว มันก็มีช่วงที่เราต้องสู้จริงๆ ช่วงสบาย ช่วงลำบาก แต่คนรอบข้างจะไม่เคยเห็นว่าแม่ไปบ่น ทุกคนเห็นรอยยิ้ม ทุกคนเห็นแม่สดใสร่าเริง (เสียงสั่น) ลูกไม่เคยเห็นน้ำตาเราหรอก ที่ผ่านมาแต่ละอย่างเราต้องอดทน”

ความอัดอั้นใจที่มีต่อสังคมอินเทอร์เน็ต

จากการพูดคุยกับคุณแม่อ้อย รู้สึกได้เลยว่าแม่อ้อยอัดอั้นและเก็บความรู้สึกเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะกับข่าวที่เขียนถึงลูกสาวแบบไม่จบไม่สิ้น ถึงกับระบายกับเราทันทีที่มีโอกาส

“อยากให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ใครผิดใครถูก เราก็อย่าไปซ้ำเติม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าทั้งฝ่ายไหนมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวเขา เพราะฉะนั้นมันเกิดไปแล้ว ไปว่าไปด่า ไปขุดไปคุ้ย มันไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะเขาต้องดำเนินชีวิตต่อไป เพราะฉะนั้นให้เขาทั้งสองไปคิดว่าจะทำยังไงให้มันออกมาดีที่สุด ช่วยกันให้เขาได้ทำมาหากินกันต่อไป ไปซ้ำเขาเพื่ออะไร ไปแบนเขาเพื่ออะไร มันไม่ถูกต้อง นี่เป็นนิสัยคนไทย

มันเกิดไปแล้วน่ะ แม่ไม่เห็นคนในเน็ตเขียนกันให้มันสละสลวย ให้มันดูเป็นน้ำใจ ให้ดูเป็นพลัง ถ้าไม่เกิดกับเราเราไม่รู้หรอก อยากให้คนที่เล่นเน็ตหันมามองตรงนี้ อย่าไปด่า อย่าไปว่าใครที่เราไม่รู้ นี่เราโดนกับลูกเราเอง พิงกี้โดนเยอะ แม่อ่านมาหมด แม่บอกพิงกี้อย่าไปอ่านเลยลูก (น้ำตาไหล)
แม่ก็ไม่นึกว่าคนไทยเดี๋ยวนี้จะเป็นอย่างนี้ ดาราก็เหมือนกันเขาก็ต้องทำมาหากินเลี้ยงลูก เลี้ยงครอบครัวเขาทุกๆ คนแหละ เพราะฉะนั้นเราไม่ชอบเขาก็อย่าไปเขียนถึงเขาเลย ไม่ชอบอย่าไปพูดถึง ไปเรื่องอื่นดีกว่า ทุกคนโดนด่ากันทั้งหมด แล้วได้อะไรขึ้นมา

บางอย่างบางเรื่อง ไม่สามารถอธิบายให้คนมาทราบว่าเป็นมายังไง มันมีเหตุและมันมีผล สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป แม่ก็บอกลูกว่าไม่ต้องไปคิดอะไรมาก อนาคตเราต้องเดินต่อไป อายุเราเพิ่ง 24 ต้องทำงานอีกหลายปี เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผ่านก็ลืมมันไป แล้วเราก็ตั้งต้นทำมาหากินใหม่ เราก็ไม่ได้ไปทำอะไรร้ายแรง ผิดพลาดมากมาย แม่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาอยู่แล้ว คนบางส่วน แฟนคลับเราก็เข้าใจ ก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมากสุขก็สุขด้วยกัน ทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ กลับบ้านก็นอน แต่เหนื่อยใจสิ เราต้องคิดมากกว่าลูก ลูกอาจจะหลับเพราะเขาเป็นเด็ก แต่แม่อายุมากแล้วก็ต้องคิดมากกว่าเขาหลายเท่า (เสียงสั่นอีก) ถ้าวันหน้าไม่มีเราล่ะ ใครจะช่วย”

ประวัติ
ชื่อ: สาวิกา ไชยเดช
ชื่อเล่น: พิงกี้
วันเกิด: 19 มิถุนายน 2529
ครอบครัว: เป็นลูกคนสุดท้อง มีพี่ชายอีก 2 คน
ประวัติการศึกษา: มัธยมศึกษาจากโรงเรียนเพ็ญสมิทธ์, ปริญญาตรีคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยรังสิต
ประวัติการทำงาน: เริ่มงานละครทางช่อง 3 เรื่อง "ไฟในดวงตา หลังจากนั้นมาเล่นละครกับทางช่อง 7 เรื่องแรกคือ "วันนี้ที่รอคอย" ส่วนละครที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักคือ “ดาวพระศุกร์ เคยมีผลงานเพลงกับค่ายเพลงแกรมมี่ อัลบั้มแนวป็อปวง "บั๊ก บันจี้"
ปี 2544-2553 กลับมาเล่นละครให้กับทางช่อง 7
ปี 2553 เซ็นสัญญากับทางช่อง 3 ประเดิมผลงานแรกด้วยละคร เงาพราย

รายงานข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์

ภาพโดย วรงค์กรณ์ ดินไทย


แสดงความคิดเห็น

 
Top