“ฟิล์ม” ควง “แม่” เปิดใจครั้งแรกใน “ตีสิบ” บอกสภาพจิตใจดีขึ้น เตรียมบวชเดือนพฤศจิกายน พร้อมออกผลงานก่อนบินไปเรียนภาษาเตรียมโกอินเตอร์ ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ ส่วนเรื่องฟ้อง “แอนนี่” ให้เป็นเรื่องของทนาย เผยมีคนเอาหลักฐานมาให้เพียบทั้งพยานบุคคลและคลิป ด้านแม่ลั่นไม่มีการคุยกันนอกรอบกับอีกฝ่ายแล้ว เพราะเรื่องบานปลายเกินไปแล้ว
หลังจากที่ “แอนนี่ บรู๊ค” ไปเปิดใจในรายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” กับ “ตีสิบ” คราวนี้ก็ถึงคราว “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” ควงคุณแม่ “โคมมนต์ ทองมั่ง” ไปออกรายการบ้าง โดยทั้งคู่ไปเปิดใจครั้งแรกในรายการตีสิบโดยมีการบันทึกเทปรายการกันเวลาประมาณ 11.00 น. ที่เซ็นทรัลพลาซ่า พระราม 2 ซึ่งจะมีคิวออกอากาศช่วงเวลา 22.30 น. ของวันนี้(19/ ต.ค./53) ทันที ท่ามกลางแฟนคลับที่ตามไปให้กำลังใจอย่างเนืองแน่น
โดยวันนี้ฟิล์มมีสีหน้าสดใสขึ้น แต่ร่างกายซูบผอมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งตอนช่วงสัมภาษณ์ในรายการกับพิธีกร “วิทวัส สุนทรวิเนตร์” เจ้าตัวก็ยอมรับว่ากินยาเกินขนาดไปจริง ซึ่งเป็นยาที่ได้จากดารารุ่นพี่ “จิ๊ก เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์” เป็นจำนวน 2 แผง หน้าซองเขียนชื่อ “โครนาซีแปม” ขนาด 0.5 มิลิกรัม รับประทานครั้งละครึ่งเม็ด วันละ 1 ครั้งก่อนนอน รับประทานยานี้แล้วอาจจะทำให้ง่วง ส่วนชื่อยี่ห้อยาคือ “โซแรม” และชื่อตัวยาคือ “อัลพลาโซแรม” ขนาด 1.0 มิลิกรัม โดยนักร้องหนุ่มเผยว่าครั้งแรกทานเข้าไป 3 เม็ด ปรากฏว่าไม่มีอาการง่วง จึงได้โทรไปหาดารารุ่นพี่ว่าเป็นยาอะไรกันแน่ เพราะหน้าซองเขียนว่ายานอนหลับ แต่ทำไมไม่ง่วง และได้คำตอบว่าเป็นแค่ยาคลายเครียด ไม่ใช่ยานอนหลับแต่อย่างใด
จากนั้นนักร้องหนุ่มจึงได้ทานยาเพิ่มเข้าไปอีกรวมทั้งหมด 7 เม็ดด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ยังไม่ง่วงอีก จึงคิดว่าร่างกายอาจจะแข็งแรงเลยทำให้เป็นเช่นนี้ สุดท้ายจึงตัดสินใจนอนเองเพราะต้องเตรียมตัวที่จะแถลงข่าวตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น แต่ปรากฏว่าพอหลับไปก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย จนกระทั้งรู้ตัวอีกทีตอนอยู่โรงพยาบาลแล้ว และหมอก็มาบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะภาวะหัวใจเต้นอยู่แค่ 40 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น ยอมรับว่าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีความคิดที่จะฆ่าตัวตายแน่นอน แต่เพียงเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และความประมาทที่ไม่ได้ไปพบแพทย์ด้วยตัวเอง บวกกับความเครียดและนอนไม่หลับมาหลายคืนเท่านั้น
หลังจากนั้นจึงเปิดใจยอมรับว่าเรื่องราวทั้งหมดกว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทำให้ตนรู้สึกว่าสิ่งที่ตนออกมายอมรับและให้การช่วยเหลือดาราสาว “แอนนี่ รุ่งนภา บรู๊ค” ไปนั้นเป็นสิ่งที่ผิด เพราะยังไม่มีความชัดเจนเลยว่าตนเป็นพ่อของ “ด.ช.ฑีฆายุ แก้วไทรหาญ” จริงหรือเปล่า แต่เจ้าตัวก็บอกว่าที่ช่วยไปนั้นเพราะอีกฝ่ายกำลังลำบากเท่านั้น แต่สังคมกลับมองไปคนละมุม ด้านคุณแม่ “โคมมนต์” ได้เผยว่าในช่วงแรกที่ได้เห็น “ด.ช. ฑีฆายุ” นั้นยังดูไม่ออกเท่าไหร่ว่าคล้ายใคร แต่รู้สึกว่าเหมือน “แอนนี่” มากกว่า และไม่คล้ายลูกชายตนเลยสักนิด แต่ก็บอกให้ลูกชายช่วยเหลือไปก่อน เพราะเห็นใจลูกผู้หญิงที่เป็นแม่เหมือนกัน
สุดท้ายคุณแม่ “โคมมนต์” ได้เปิดเผยข้อมูลล่าสุดที่ไม่ตรงกับที่สาว “แอนนี่” เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ เรื่องที่ว่าตอนที่ “ด.ช.ฑีฆายุ” เกิดนั้นไม่ได้ระบุลงรายชื่อผู้เป็นพ่อเอาไว้ แต่ทางแม่ของนักร้องหนุ่มเผยว่า ข้อมูลล่าสุดที่ได้รับมาและคิดว่าเชื่อถือได้แน่นอนก็คือ “แอนนี่” ได้ระบุชื่อของ “ฟิล์ม” เป็นพ่อของลูกเธอไปแล้วเรียบร้อย จึงได้อยากขอให้มีความชัดเจนถูกต้องซะก่อนจึงค่อยลงชื่อ เพราะถ้าจนถึงตอนนี้แล้วยังไม่มีความชัดเจนก็ควรจะไปถอนชื่อลูกชายของตนออกซะ
ซึ่งพอสัมภาษณ์ในรายการเสร็จ “ฟิล์ม” และแม่ก็ให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ต่อ เผยมีแพลนทำงานในวงการต่อไปแน่นอน โดยฟิล์มมีกำหนดการจะอุปสมบทวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ จากนั้นจะเปิดตัวอัลบั้มเพลง “ฟิล์ม ไคลแม็กซ์” ในช่วงต้นปี
“ตอนนี้สภาพจิตใจก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วครับ เพราะได้กำลังใจจากครอบครัวและต้นสังกัด ทางแฟนๆ และพี่ๆ สื่อมวลชนเยอะมากนะครับ มันทำให้ผมฟื้นตัวกลับมาเร็วมาก แต่อาจจะยังไม่สมบูรณ์ เพราะว่าตอนนี้ร่างกายจากที่เคยออกกำลังกายบ่อยๆ แต่ช่วงมีข่าวเก็บตัวอย่างเดียวเลย ทำให้ผมไม่ค่อยได้ออกกำลังกายทำให้เป็นหวัด และเสียงผมยังไม่กลับมาเหมือนเดิมเลย แต่หลังจากนี้งานแรกที่จะกลับมาทำคงเป็นงานเพลงครับ เป็นอัลบั้มที่ทำค้างไว้ชื่อฟิล์ม ไคลแม็กซ์ แล้วก็อาจจะมีถ่ายมิวสิควิดีโอเพิ่มเติมเก็บไว้ แล้วพอเสร็จแล้วผมก็คงต้องบวชแล้วครับ”
“บวชที่สระบุรีครับ แล้วจะไปปฏิบัติธรรมที่เชียงราย แต่วัดไหนยังไม่เป็นที่แน่นอนครับ แต่เรื่องวันอาจจะเลื่อนได้ แต่ที่กะไว้ก็คือวันที่ 30 พฤศจิกายนจะบวช แม่ดูฤกษ์ให้ครับ บวชเกือบเดือนครับ ประมาณ 20 วัน แต่บวชแล้วสึกแน่นอนครับ(หัวเราะ) พอสึกผมต้องไปเรียนภาษาเพิ่มเติมที่ประเทศอังกฤษ น่าจะเป็นช่วงเดือนธันวาคมหรือต้นปี ไป 4 เดือนครับ ที่ต้องไปเพราะว่าผมต้องไปเรียนภาษาเพิ่มเติมเพื่อที่จะกลับมาทำเพลงเพื่อจะโกอินเตอร์ต่อครับ คุยกับผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้วครับ”
“แต่การกลับมาครั้งนี้อย่างที่ผมบอกว่าต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ส่วนตัวของฟิล์มก็ต้องทำงานที่ผมรักเต็มที่เหมือนเดิม เพื่อทุกๆ คนเหมือนเดิม แต่ถ้ากลับมาแล้วทุกอย่างไม่เหมือนเดิมเราก็ต้องยอมรับในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริงและผ่านมันไปให้ได้ เพราะผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำกับการกระทำทั้งกายวาจาใจต่างๆ นานา ผมทำออกมาจากใจของผมทั้งหมด เพราะว่าผู้ชายครับมันไม่มีสิทธิ์ที่จะได้พูดอะไรมากอยู่แล้ว สิ่งที่ผมพูดเพียงน้อยนิด แต่ผมเชื่อว่าคนที่เห็นผมและรับฟังผมคงจะเข้าใจกับจิตใจที่ผมพยายามจะสื่อออกมา”
เผยเรื่องที่มีข่าวว่า “แอนนี่ รุ่งนภา บรู๊ค” เตรียมเดินทางไปยื่นฟ้องนักปั้นคนดัง “พจน์ อานนท์” และ “เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์” ผู้บริหารใหญ่ของค่ายอาร์เอส ในวันที่ 21 ตุลาคมนี้ ข้อหาหมิ่นประมาทที่ศาลจังหวัดธัญบุรีนั้น “ฟิล์ม” เผยว่าทางผู้ใหญ่คงมีการเตรียมตัวไว้แล้ว แต่สำหรับตนเองไม่อยากที่จะฟ้อง แต่ก็มีหลักฐานชัดเจนอยู่ในมือเยอะ แต่รอให้เป็นการตัดสินใจของผู้ใหญ่และทางทนาย
“ในส่วนที่เขาจะไปฟ้องเฮียกับพี่พจน์ผมยังไม่ทราบนะครับ แต่ถ้าเกิดว่าทางฝั่งนั้นจะทำอย่างนั้นจริงๆ ผมคิดว่าทางผู้หลักผู้ใหญ่เขาคงมีวิธีที่รองรับอยู่แล้ว แต่ส่วนของพี่พจน์ก็เปรียบเสมือนผู้ปกครองฟิล์มคนหนึ่งนะครับ เขาก็คอยดูแลผมอยู่ทุกอย่าง ก็ขึ้นอยู่กับทางทนาย ทางผู้ใหญ่ด้วยว่าจะเป็นยังไง เพราะว่าจริงๆ แล้วผมกับครอบครัวและทุกๆ คนก็ไม่อยากที่จะมีเรื่องราวของคดีให้มันวุ่นวายนักนะครับ อะไรที่มันเคลียร์กันได้ จบได้ง่ายๆ มันก็ดีที่สุด”
“แต่ตอนนี้สำหรับผมก็มีหลักฐานเยอะมาก ก็ต้องบอกผ่านไปว่าขอบคุณทุกๆ คนที่เกิดเหตุการณ์เดียวกับผม ซึ่งทุกหลักฐานที่คุณส่งมาให้ทางผม และทางต้นสังกัดมีเยอะมากๆ อยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วถ้าไม่สะดวกออกมา ผมว่าหลักฐานอันนี้พอก่อนก็ได้ครับ เพราะว่ามันก็เท่านั้นแหละครับ เพราะว่าจริงๆ ผมก็พยายามพูดตลอดว่า อย่าหนีความจริง แต่ถามว่ามั่นใจในหลักฐานไหม ก็ค่อนข้างมั่นใจ มันก็ทำให้ผมและครอบครัวสบายใจขึ้นเยอะครับ ก็มีมาเยอะครับ แต่ผมยังพูดอะไรไม่ได้มากจริงๆ ก็มีทั้งตัวบุคคลและคลิปวิดีโอครับ แต่ยังพูดอะไรไม่ได้มากจริงๆ ให้เป็นกระบวนการของศาลดีกว่า”
“ส่วนที่พี่พจน์พูดว่าผมเข้าไปเจอคนอื่นอยู่ในห้องเขา ผมว่าอะไรที่ผู้หลักผู้ใหญ่พูดไปทั้งหมดก็น่าจะเชื่อถือได้ทั้งหมดนะครับ แต่ผมจะฟ้องไหมตรงนั้น ต้องขึ้นอยู่กับทางต้นสังกัดและทางทนายครับ แต่โดยส่วนตัวของผมก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งอะไรมากกับเรื่องขึ้นศาล เพราะว่ามันวุ่นวายแล้วมันก็ต่างๆ นานา แต่ว่าผมก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่เหมือนกัน เพราะชีวิตผมตอนนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับคุณแม่ ทางครอบครัว ทางบริษัท แต่ล่าสุดทางผู้ใหญ่เขาก็ยังไม่ได้ชี้ชัดอะไรมากมายนะครับ ก็ต้องขึ้นอยู่กับเวลา ต้องอีกสักพักนึงครับ”
แม่ “สำหรับแม่ชอบความถูกต้อง ชัดเจน โปร่งใสอยู่แล้วนะคะ ก็ยังมีความคิดเหมือนเดิมก็คือ ถ้าเรายังกดทับความคลุมเครือไว้อยู่อย่างนี้ มันก็ไม่ได้ช่วยให้พัฒนาสังคมอะไรต่างๆ ดีขึ้น ไม่ได้ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายดีขึ้น เพราะว่ามันยังคลุมเครือ แคลงใจอยู่เหมือนเดิม ก็อยากจะให้มีความกระจ่างชัดเจน สิ่งที่แม่อยากจะให้เป็นก็คือ อยากให้มันจบไปให้เร็วที่สุด ไม่อยากให้ทุกคนหนีความจริง อยากให้ความจริงชัดเจนขึ้นค่ะ แต่จริงๆ แล้วแม่ไม่ชอบเรื่องการฟ้องร้องอะไรอยู่แล้ว แล้วก็ถ้าเราตกลงกันได้ด้วยดีก็น่าจะดีกว่าค่ะ เพราะว่าทุกคนก็มีการผิดพลาดไปอะไรก็ตาม ก็มีการเริ่มต้นที่จะทำความดีได้ใหม่เสมอ แต่แม่ไม่แน่ใจว่าจะมีการพูดคุยระหว่างสองฝ่ายนี้ได้แล้ว ก็คงต้องมีคนกลางแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าเรื่องมันบานปลายใหญ่โตไปมาก”
ฟิล์ม “เป็นไปไม่ได้แล้วล่ะครับ เพราะเราพูดไปเยอะแล้วครับ และที่ผมติดต่อเขาล่าสุดก็ตั้งแต่มีข่าวหนักๆ ตอนเขาออกตีสิบครั้งนั้นครับ แล้วก็ไม่ได้ผลอะไร”
ปัดข่าวที่ว่า “แอนนี่” ไม่กล้าตรวจ DNA เพราะกลัวทาง “ฟิล์ม” จะใช้อิทธิพลเปลี่ยนผลตรวจ ซึ่งนักร้องหนุ่มและแม่ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ที่ทำอย่างนั้นได้แน่นอน เพราะชีวิตจริงไม่ใช่ละคร
ฟิล์ม “เปลี่ยนผลตรวจเหรอครับ ผมว่าไม่น่าได้นะครับ เพราะว่าหลายๆ อย่างด้วย นี่ไม่ใช่ละครครับ”
แม่ “มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วค่ะ ไม่แน่นอน เพราะว่ามันทันสมัยออกอย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เพราะว่าเราก็ต้องให้เกียรติคุณหมอทุกๆ ท่านด้วย เพราะคุณหมอในประเทศไทยก็มีมากมาย ไม่จำเป็นต้องเป็นการตรวจคนๆ เดียว มีการร่วมรู้เห็นตั้งอีกมากมาย คิดว่าไม่น่าจะใช่เหตุผลค่ะ”
ฟิล์ม “จริงๆ อยากจะให้ตรวจไหมก็อย่างที่ผมบอกแหละครับ ว่าขั้นตอนเหล่านี้ได้พยายามมาเยอะแล้ว ตอนนี้มันมากกว่านั้นแล้วครับ มันขึ้นอยู่ทางทนายแล้ว”
แม่ “แต่ถ้าผลตรวจเป็นลูกของฟิล์มจริง แม่ก็ดีใจค่ะ เพราะว่าเด็กที่เกิดมาดูโลกคนหนึ่งก็ถือว่าเป็นโชคดี แม่ก็ดีใจ และฟิล์มก็คงจะภูมิใจในฐานะความเป็นพ่อ เขาก็จะได้มีโอกาสที่จะวางแผนชีวิตของตัวเขาเองและชีวิตของเด็กคนหนึ่งต่อไป แต่ถ้าไม่ใช่ก็เป็นเรื่องของคุณแม่ของเด็กค่ะ เพราะว่าอยู่ที่การตัดสินใจของเขา แม่คงไปเกี่ยวข้องไม่ได้”
“ส่วนเรื่องเอกสารก็คือ แม่ได้ทราบมาว่าแอนนี่ได้ใส่ชื่อฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เป็นคุณพ่อของเด็ก คือในเรื่องนี้ถ้าความชันเจนโปร่งใสยังไม่มี แม่ก็อยากให้ทำอะไรที่ถูกต้องมากกว่านี้ค่ะ หมายความว่ายังไม่น่ามีการใส่ชื่อฟิล์มเป็นพ่อของเด็ก ควรจะถอดชื่อออกค่ะ (แต่แอนนี่บอกว่าไม่ได้ใส่ชื่อพ่อให้ลูก ปล่อยทิ้งว่างไว้?) แต่แม่ได้ข้อมูลมาว่าเขาใส่ชื่อของฟิล์มเป็นพ่อเด็กเอาไว้ค่ะ ทีนี้แม่ก็ไม่อยากให้มีความค้างคาใจอะไรไว้ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาของคนสองคนที่ทำอะไรตามใจตัวเอง จนทำให้เกิดปัญหาบานปลายต่อสังคม แม่ก็อยากให้แก้ไขตรงนี้ก่อน”
ฝากขอบคุณทุกกำลังใจจากแฟนๆ ที่มีให้ และยืนยันจะระมัดระวังในการใช้ชีวิตให้มากขึ้น เพราะเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ชีวิตของตนมาก
ฟิล์ม “เดี๋ยวนี้กินข้าวน้อยลงครับ เพราะว่าผมเครียดอยู่แค่เรื่องเดียวตรงที่ว่า ทำไมผู้ชายพูดอะไรไม่ได้เลย คือผมก็มีอะไรที่อยากจะพูด แต่มันก็แค่นั้นแหละครับ แม้สังคมจะตราหน้าผมยังไงก็ไม่เป็นไรครับ เวลาเท่านั้นครับ”
แม่ “สิ่งนี้มันผ่านมาแล้วค่ะ แต่เราเอาปัจจุบันนี้และวันข้างหน้าดีกว่า สิ่งที่แม่อยากให้ฟิล์มทำก็คือ ฟิล์มได้เป็นคนของประชาชนไปแล้ว ก็อยากจะให้ยืนอยู่บนพื้นฐานของความดี และไม่อยากให้ลูกท้อถอยในการสร้างความดีต่อไป ให้เริ่มต้นในการทำดีให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและในด้านการดำรงชีวิตของเขา แม่ก็อยากจะฝากให้เขา และคนที่เป็นลูกทุกคนที่มีพ่อมีแม่ จะทำอะไรก็ให้นึกถึงความทุกข์ของหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ไปด้วย แล้วก็อยากให้ฟิล์มเป็นแบบอย่างในการสร้างคุณงามความดี ทั้งในด้านของศีลธรรมและวัฒนธรรม”
ฟิล์ม “ก็ฝากถึงแฟนๆ และคนที่คอยติดตามข่าวสารของผมนะครับ ตอนนี้งานชิ้นแรกที่จะปล่อยออกมาคงเป็นงานเพลงก่อน พอเสร็จผมก็จะลาบวช ขอไปบวชปฏิบัติธรรมก่อน และก็คงไปเรียนภาษาเพิ่มเติมก่อนครับ แล้วก็กลับมาคงลุยงานเพลงและงานละครต่อครับ ก็อยากจะขอบคุณทุกๆ คนเลยนะครับ เพราะว่าคุณทำให้ผมมีแรงที่จะก้าวเดินต่อไป และคุณทำให้ผมมีพลัง มีชีวิตใหม่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และต่อจากนี้ชีวิตที่จะก้าวเดินต่อไปผมก็จะคิดอย่างแรกเลยก็คือ คิดถึงความรู้สึกที่ทุกคนมีให้ผมมาตลอด ทุกความรักที่ทุกคนมีให้ผม ผมก็จะคิดถึงคนที่เขารักผมมากยิ่งขึ้น แล้วก็ระมัดระวังในการใช้ชีวิต และเดินทางในทางที่ถูกที่ควรมากขึ้นครับ”
“เรื่องนี้สอนผมเยอะเลยครับ จริงๆ แล้วมันเปรียบเสมือนมรสุมที่มาเร็วและใหญ่มาก พัดซะบ้านผมนี่อยู่ไม่ได้ เอาซะเต็มเหนี่ยวเลย แต่ว่าผมก็ไม่ได้กลัวหรือว่าท้อแท้กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น แล้วผมก็ยังเชื่ออยู่ว่าแม้แต่ผมจะพูดอะไรไม่ได้เพราะผมเป็นผู้ชาย แต่ว่าผมก็ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องไปแล้ว ผมไม่เคยหนี ผมออกมายอมรับความจริง แล้วผมก็ยังกล้าที่จะออกมาทำประโยชน์เพื่อสังคมต่อไป และอยากให้ทุกๆ คนคอยดูในเรื่องของเวลาต่อไป ก็ไม่มีอะไรจะพูดครับ เพราะว่ามันพูดอะไรไม่ได้เลยครับ หลังจากนี้ผมก็คงแทบไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยครับ เพราะหลังจากไปเกาหลีเสร็จแล้ว ผมก็ต้องไปมาเก๊าต่อเลยครับ”
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
แสดงความคิดเห็น