“การ์ตูน-อินทิรา” ฟิตแอนด์เฟิร์มด้วยมังสวิรัติ
วันนี้นักแสดงและนางแบบสาวหุ่นดี “การ์ตูน-อินทิรา เกตุวรสุนทร” จะขอมาเผยสูตรเด็ดให้ผิวสวยหุ่นดีแถมได้บุญอิ่มใจต้อนรับเทศกาลมหาบุญอย่างการกินเจ แล้วคุณจะรู้ว่าสวยทั้งภายนอกและภายในไม่ยากอย่างที่คิด....
สาวการ์ตูนเล่าถึงประสบการณ์การทานอาหารมังสวิรัติแบบจริงจังให้ฟังด้วยน้ำเสียงสดใสว่า เธอเคยทานอาหารมังสวิรัติติดต่อกันนานถึง 1 ปีเต็ม และได้รับประโยชน์มากมายจากการทานผัก ผลไม้ ละเว้นโปรตีนจากเนื้อสัตว์
“เคยทานมา 1 ปีค่ะ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทานแล้ว ตอนนั้นที่เริ่มทานเพราะเห็นว่าถ้าเราทานเนื้อสัตว์แล้วเราต้องฆ่าเขาก็สงสารค่ะ เลยอยากหยุดทานเนื้อ พอทานไปได้เรื่อยๆ ก็เริ่มชิน เลยยืดยาวมาถึง 1 ปี อีกอย่างคืออยากมีสุขภาพที่ดีด้วย การกินมังสวิรัติทำให้สุขภาพร่างกายเราดีขึ้นจริงๆ มันเหมือนการล้างพิษค่ะ รู้สึกได้เลย พอไม่ได้รับไขมันจากเนื้อสัตว์ ทำให้ผิวเนียนสวยขึ้น เปล่งปลั่งขึ้น สิวที่เคยเป็นก็หายค่ะ สุขภาพดีมากๆ”
เหตุผลที่ทำให้สาวรักสวยคนนี้หยุดทานมังสวิรัติไปก็เพราะด้วยหน้าที่การงาน การไปถ่ายละครจำเป็นต้องทานอาหารของกองถ่ายซึ่งไม่สามารถเลือกได้ บวกกับไม่อยากยุ่งยากทำอาหารเอง จากเมื่อก่อนที่ยังพอมีเวลาเข้าครัวโชว์ฝีมืออยู่บ้างแบบที่เรียกว่า “ทำเอง อร่อยเอง”
ครบครันทั้ง 5 หมู่
แม้ปัจจุบันอาหารมังสวิรัติมีความนิยมเพิ่มขึ้นด้วยกระแสรักษ์สุขภาพ แต่ก็ยังคงหาทานได้ยากเมื่อเทียบกับร้านอาหารทั่วไป การมีเวลาทำอาหารเองได้จะดีที่สุด เพราะสามารถควบคุมปริมาณสารอาหารที่ต้องการ และเลือกทานในสิ่งที่ชอบได้เสมอๆ
พร้อมกับบอกต่อว่า การทานมังสวิรัติหรือแม้แต่ช่วงเทศกาลกินเจ หากใครอยากอิ่มท้องพร้อมอิ่มบุญยังมีสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเสมอ คือการทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ตามที่ร่างกายต้องการ พร้อมกับทานน้ำประมาณวันละ 8 แก้ว เพื่อให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล
“ตอนก่อนจะเลิกทานจริงจัง การ์ตูนเป็นโรคโลหิตจางค่ะ เพราะว่าเราทำงานหนักแล้วพักผ่อนไม่พอต้องทำงานทั้งวัน ไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องอาหารมากพอ เลยทำให้เหมือนขาดสารอาหารบางส่วนไป ตอนนั้นร่างกายรับไม่ไหว เลยต้องหันมาทานอาหารปกติฟื้นฟูร่างกาย แต่ก็ยังพยายามไม่ทานเนื้อสัตว์ในวันพิเศษอย่างวันเกิดบ้าง หรือไม่ก็พยายามทำให้ได้อาทิตย์ละนิดละหน่อยก็ยังดี พยายามทำให้ได้อาทิตย์ละครั้งค่ะ”
เจ้าตัวอธิบายว่าการทานมังสวิรัติกับการทานเจนั้นไม่เหมือนกัน แม้จะมีส่วนคล้ายอยู่บ้างคือการละเว้นเนื้อสัตว์ แต่การทานเจจะเข้มงวดมากกว่า อย่างทานมังสวิรัติยังสามารถทานไข่ได้ แต่เจทานไม่ได้ รวมทั้งเรื่องของการใช้เครื่องเทศ การปรุงรสที่ห้ามมีกลิ่นฉุน และส่วนประกอบแต่ละอย่างต้องสะอาดจริง
เห็นไหมว่าการทานมังสวิรัติไม่ยากอย่างที่คิด แต่นอกจากการทำร่างกายให้สะอาดแล้ว เธอยังชอบที่จะทำจิตใจให้ผ่อนคลายสบายด้วยการพักผ่อน ทั้งจากการไปเที่ยวทะเลบ้างหรือเดินเล่นตามศูนย์การค้าบ้าง รวมทั้งสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการฟิตหุ่นสวยคือการออกกำลังกายอย่างการเข้าฟิตเนสเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายเฟิร์มขึ้นควบคู่กับผิวสวยและสุขภาพดีไร้สารพิษ
สุดท้าย สาวหุ่นดีขอเชิญชวนทุกคนลองทานอาหารเพื่อสุขภาพในช่วงเทศกาลกินเจนี้ด้วย
“อยากให้ลองมาทานมังสวิรัติ หรือไม่ก็แค่ในช่วงเทศกาลนี้ก็ยังดีค่ะ เพื่อสุขภาพของเราเอง แล้วก็ไม่ต้องไปเบียดเบียนสัตว์อื่นด้วย ได้บุญแล้วเดี๋ยวนี้อาหารเจอร่อยมากด้วย มีให้เลือกเยอะเลย ยังไงลองหันมาดูแลตัวเองรักสุขภาพกันให้มากยิ่งขึ้นนะคะ”
สุขภาพดีด้วยผัก 7 สี
ผักผลไม้แต่ละชนิดนอกจากจะให้คุณประโยชน์แตกต่างกันแล้ว ยังมีสีสันที่ต่างกันไปซึ่งสีสันของผักผลไม้นั้นไม่ใช่แค่ส่วนประกอบที่ทำให้ดูน่ารับประทานเท่านั้น แต่สีสันที่มีอยู่ในผักผลไม้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ซึมผ่านเข้าไปในแต่ละอวัยวะภายในร่างกายเพื่อช่วยบำรุงทั้งสมอง สายตา หัวใจ และส่วนต่างๆ ของร่างกายอีกมากมาย เพราะฉะนั้นสีสันจึงเป็นเรื่องสำคัญ ในแต่ละวันจึงควรรับประทานผักผลไม้ให้ครบทั้ง 7 สี เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย
เริ่มต้นด้วยสีแดง-ม่วง ผักผลไม้ที่ให้สีสันนี้ ได้แก่ องุ่น ลูกพรุน แครนเบอรี แบล็กเบอรี สตรอเบอรี แอปเปิลแดง ผักผลไม้ในกลุ่มนี้จะเข้าไปช่วยบำรุงการทำงานของเซลล์สมอง
สีส้ม ผักผลไม้ในสีสันที่ยั่วยวนชวนรับประทานนี้ ได้แก่ แครอต มะม่วง แอปริคอต แคนตาลูป ฟักทอง มันฝรั่งหวาน ผลไม้จำพวกแตง เพื่อสุขภาพดีและมีผิวพรรณที่เปล่งปลั่งนวลเนียน แถมยังช่วยบำรุงสายตาอีกด้วย
ผักผลไม้สีส้ม-เหลืองอย่าง ผลส้ม ส้มเขียวหวาน พีช มะละกอ เนคทารีน ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงหัวใจ และกระเพาะอาหาร และสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายหรือท้องผูก สีส้ม-เหลืองก็พอช่วยได้ และในสีส้ม-เหลืองนี้ยังมีวิตามินซีจำนวนมาก ผักผลไม้สีนี้ยังบำรุงระบบเซลล์ในร่างกาย และมีความสารถในการฆ่าเซลล์มะเร็งในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ได้อีกด้วย
ต่อด้วยสีเหลือง-เขียว ผักผลไม้ประเภทนี้ ได้แก่ ผักขม อโวคาโด แตงโมฮันนีดิว กะหล่ำเขียว ผักกาดเทอร์นิพ ข้าวโพดเหลือง ถั่วลันเตา มีประโยชน์ช่วยบำรุงตับของเราให้แข็งแรง และยังกระตุ้นระบบการฟอกของเสียต่างๆ ในร่างกายอีกด้วย
หรือจะเป็นผักผลไม้สีเขียวอย่างบรอกโคลี หัวกะหล่ำปลี กะหล่ำปลี กะหล่ำปลีจีน ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า ผักบุ้ง มีวิตามินเอสูงซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการบำรุงสายตาของเราให้มีสุขภาพดี
สุดท้ายคือ สีขาว-เขียว ได้แก่ กระเทียม ใบกระเทียม หัวหอม ขึ้นฉ่าย ลูกแพร์ ใบเอนไดฟ์ ประโยชน์ของผักผลไม้สีนี้ก็คือ ช่วยในการทำงานของระบบหมุนเวียนต่างๆ ภายในร่างกาย โดยเฉพาะหัวใจ ใครไม่อยากเป็นโรคหัวใจก็ต้องบริโภคผักผลไม้สีขาว-เขียวกันเยอะหน่อยแล้ว
รู้กันอย่างนี้แล้ว ต่อไปต้องอย่าลืมใส่ใจสีสันในจานอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น
ถึงเทศกาลกินเจแล้ว!!
ก่อนจะกินเจลองมาดูที่มากันก่อนว่าเทศกาลกินเจมีมาตั้งแต่ราว 400 ปีที่แล้ว ซึ่งคำว่า "เจ" ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาเดิมหมายความว่า "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของชาวพุทธที่รักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ที่จะไม่รับประทานอาหารหลังเที่ยงวันไปแล้ว
แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย เราจึงนิยมเรียกการไม่ทานเนื้อสัตว์รวมไปกับการกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ดังนั้นความหมายของคนกินเจ ไม่เพียงแต่ไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ
"การกินเจ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของสดคาว แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า "เจียฉ่าย" หมายถึง การกินอาหารผัก อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ และงดเว้นน้ำนมสด นมข้นด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว
ส่วนประเพณีกินเจที่ชาวจีนเรียกกันว่า "เก้าอ๊วงเจ" หรือ "กิ้วอ๊วงเจ" แปลว่า "เจเดือน 9" เริ่มต้นในวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน รวม 9 วัน 9 คืน ตรงกับเดือน 11 หรือเดือนตุลาคมของไทย (ตามปฏิทินสากล) โดยเทศกาลกินเจในปี 2553 นี้เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคมไปจนถึงวันที่ 17 ตุลาคมนี้
รายงานโดย ทีมข่าว M-Lite / ASTV สุดสัปดาห์
แสดงความคิดเห็น