“โมนิก้า เมอลเลอร์” สาวหน้าคม ลูกครึ่ง ไทย-เดนมาร์ก สาวคนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความมั่นใจ เธอก้าวเข้ามาสู่วงการบันเทิงด้วยการถ่ายแฟชั่นบนปกนิตยสารมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ นับตั้งแต่วันนั้น เธอยังคงมีผลงานในวงการบันเทิงให้ได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง วันนี้เราจะพาไปรู้จัก ชีวิต ความคิด ตัวตน ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และความรักที่เกิดขึ้นในวงการบันเทิง

ลูกครึ่ง เลี้ยงแบบ “บุฟเฟต์”

“โมนิก้า เมอลเลอร์” หรือ “โม” ได้เริ่มเข้าวงการมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ด้วยการถ่ายปกนิตยสารแม่และเด็ก จากนั้นก็มีผลงานในวงการบันเทิงมาเรื่อยๆ แต่เมื่อเธออายุ 10 ขวบ การทำงานในวงการบันเทิงเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กคนหนึ่ง ที่ต้องเรียนและทำงานไปพร้อมกัน จึงทำให้ตัดสินใจบอกแม่ว่า ไม่อยากทำงานในวงการบันเทิงและขอกลับไปตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่

“ตอนนั้นก็ 10 ขวบ มันก็เหมือนว่าเรายังเด็กก็เบื่อทำงานด้านนี้ ไปบอกคุณแม่ว่า หยุดดีกว่าขอเรียนอย่างเดียว เพราะมันเหนื่อยนะค่ะ พอหยุดไปได้แค่ 5-6 ปี พออายุ 16 ก็กลับมาถ่ายโฆษณาอีกครั้งนึง มีพี่ที่โพลีพลัสชวนมาเล่นละคร แล้วบังเอิญว่าตอนนั้นเราไปประกวดมิสทีนไทยแลนด์ด้วยค่ะ ไปกับเพื่อนก็ได้รางวัลมา ทางบ้านโมก็เน้นว่าให้เรียนเป็นหลักมาก่อน เหมือนแบบทำงานให้เป็นงานอดิเรกมากกว่างานหลัก”

สาวลูกครึ่งที่มีคุณแม่เป็นคนไทย และคุณพ่อเป็นคนเดนมาร์ก การเลี้ยงดูจึงทำให้เธอรู้สึกว่าพ่อและแม่เลี้ยงดูเธอแบบ บุฟเฟต์ ให้ได้คิด และตัดสินใจเอง มาตั้งแต่เด็กๆ

โมบอกว่า ทุกอย่างคุณพ่อและแม่จะคอยให้เธอได้คิดและตัดสินใจเอง แต่ทั้งสองท่านก็คอยมองดูอยู่ห่างๆ จะไม่มีใครมาห้ามว่าไม่ให้เธอทำอะไร แต่ด้วยความเกรงใจ จะทำให้โมรู้และมีเหตุผลเพียงพอที่จะตัดสินใจด้วยตนเองว่า สิ่งใดควรทำและไม่ควรทำ

“ส่วนใหญ่ถ้าโมจะปรึกษาปัญหาก็มีพี่สาวที่คอยให้คำแนะนำโมมาโดยตลอด โมกับพี่สาวจะสนิทกันมาก และรักกันมาก ปรึกษาทุกอย่างเลย เหมือนพี่สาวเป็นแม่คนที่สอง แต่เมื่อไหร่ที่โมทำการบ้านไม่ทันโมก็จะให้พี่ช่วยทำบ้าง (หัวเราะ)”

“งาน” อาชีพที่ต้องเรียนรู้

“โมนิก้า” เพิ่งศึกษาจบมาทางด้านนิเทศศาสตร์ เอกการแสดง มหาวิทยาลัยเอแบค การเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงไม่ใช่ความใฝ่ฝันที่เธออยากทำมาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อได้ทำงานทางด้านนี้ จึงทำให้เธอรู้สึกว่าเธอยังคงสนุกอยู่กับสิ่งที่ได้ทำตลอดเวลา

“คือโมเองไม่ได้ฝันเอาไว้ว่าอยากเป็นอะไร เพราะทุกๆ อาชีพ มันมีความแตกต่างกันไป เหมือนเหตุผลที่เราเบือกที่จะเรียนทางด้านนิเทศศาสตร์ เอกการแสดง เพราะตอนนั้นเราได้เริ่มเล่นละคร และรู้สึกสนใจ แล้วอยากทำให้งานที่กำลังทำอยู่ดีขึ้น ก็เลยคิดว่าจะเรียนอะไรที่จะช่วยให้เราทำงานของเราให้ดีขึ้น ก็เลยเรียนทางด้านนิเทศศาสตร์”

การเข้าวงการของสาวหน้าคมคนนี้เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอก้าวเข้าสู่วัยสาวเต็มตัว และได้เริ่มเล่นละคร ถ่ายแบบ แฟชั่น และได้รับงานที่เธอทำแล้วสนุกกับการทำงาน นั่นก็คือ งานทางด้านวีเจ ทางเคเบิลทีวีช่อง POP LIVE

“ตอนที่ได้งานวีเจมา เพราะว่าความบังเอิญ ตอนนั้นเราไปลองแคสกับเพื่อนสนิทคนนึงแล้วก็ได้มาทำจริงๆ ครั้งแรกเขาก็ให้เราจัดรายการคู่กันเลย ตื่นเต้นมากค่ะจัดรายการแรกด้วยกัน มันสนุกมากนะ มันก็ค่อยๆ พัฒนามากขึ้นนะ”

“เหมือนยิ่งงานวีเจที่เราทำมันไม่ได้สร้างความรู้สึกว่าให้เราเป็นดารา แต่ว่าโมรู้สึกว่างานนี้ทำให้เราเป็นเหมือนคนคนนึงที่จับต้องได้ เหมือนได้ไปมีตแอนด์กรี๊ดกับน้องๆ แฟนคลับได้ ไปทัวร์ตามมหาวิทยาลัย ไม่ใช่อารมณ์ที่จะมาแบบว่าเป็นดารา แต่พอความรู้สึกเขาเห็นเราที่บ้านทุกวัน เขาเข้าถึงเราได้ เขาสามารถโทร. มาคุยกับเราได้ มันก็เหมือนเป็นคนละโลก ชอบการเป็นวีเจเพราะมันสามารถมีแอ็กชั่นกับคนดูด้วยนะ แต่ว่าละครมันก็มีเอกลักษณ์ที่ความสนุกของละครนะ ”

โมบอกว่างานด้านวีเจกับงานละครเป็นสิ่งที่นำมาเทียบกันไม่ได้ เพราะการทำงานที่แตกต่างกัน การได้แสดงละครทำให้เธอได้ลองเป็นในสิ่งที่ไม่เคยเป็น ไม่เคยทำมาก่อน

“บางทีโมได้เล่นบทร้ายซึ่งในชีวิตจริงเราก็ไม่ได้ไปเป็นตัวร้ายขนาดนั้นไง ไม่ได้ไปกรี๊ดกร๊าดใส่ใคร ส่วนการเป็นวีเจเราก็สนุก เราเป็นคนชอบฟังเพลงอยู่แล้วมันคือเราได้ทำในสิ่งที่เราชอบ ”

ชีวิตตัดสินใจเอง

การเลี้ยงดูแบบเด็กฝรั่ง ที่เธอบอกว่าพ่อและแม่เลี้ยงดูแบบบุฟเฟต์ที่ให้ตัดสินใจเองเพียงแต่จะคอยดูอยู่ห่างๆ ยิ่งทำให้เธอรู้สึกต้องดูแลตัวเองให้เยอะและคิดไตร่ตรองเรื่องราว ปัญหาที่เข้ามามากขึ้นกว่าเดิม

“การที่แม่เลี้ยงแบบบุฟเฟต์ มันทำให้โมเป็นคนคิดเยอะ เรื่องการจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง มันรู้สึกเหมือนว่าการทำอะไรต้องคิดให้ดีก่อนเสมอ หรือเมื่อไม่คิดให้ดีก่อน ควรตัดสินใจให้ดีกว่านี้ถ้าเราใช้เวลาคิดให้นานกว่านี้ คิดให้ดีก่อน ถ้ามันจะเป็นผลเสียหรือผลดีมันก็เกิดกับเราคนเดียว โมก็เลยเหมือนว่า เราต้องคิดตัดสินใจให้แน่วแน่ก่อนเสมอ ไม่เหมือนเด็กทั่วไปที่จะแบบคิดและตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องมีคนมาตัดสินใจให้ตลอดเวลามันไม่ใช่ไงค่ะ ”

โมบอกว่า การที่เธอเป็นคนตัดสินใจทำอะไรเองมานาน ยังไม่เคยเจอสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าตัดสินใจทำลงไปแล้วกลับมาเสียใจทีหลัง การได้ตัดสินใจทำอะไรด้วยตนเองลงไปแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาคิดมานานและเธอตอบอย่างหนักแน่นว่า ถ้าทำลงไป ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นบทเรียนให้เธอ

“เราก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่จะทำให้เราเสียใจเลยนะ ที่เราตัดสินใจ ที่ตอบเร็วเพราะไม่มีจริงๆ มีคนเคยถามเหมือนกันนะแบบนี้ เพราะว่าโมรู้สึกว่าหลายๆ อย่างจะไม่ได้ส่งผลดีอะไรกับเรามาก แต่เพราะเราคิดแล้ว มันก็ให้เป็นบทเรียนที่โหดร้าย แล้วจะให้เราย้อนกลับไปแล้วไปเปลี่ยนนะ ทุกเรื่องมันก็สอนเราทั้งนั้นนะ”

“เวลามีปัญหา ก่อนที่จะปรึกษาคนอื่นเราก็คิดๆ ทุกครั้งที่มีปัญหา เวลามันเกิดขึ้น แล้วเราก็คิดว่า เฮ้ย! ทำไมคนนั้นไม่ทำอย่างนั้นล่ะ เราก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนอะไรเค้าได้ เราทำได้แค่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้เราคิดว่าคนนั้นเค้าผิดนะ ถ้าเราไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ปัญหาจะไม่ไปไหนเลยค่ะ เพราะเราพิสูจน์มาแล้ว เราก็คิดเลยแล้วก็หันมาแก้ไขปัญหาที่ตัวเอง เพราะอย่างน้อยอาจจะแก้ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ปัญหามันก็จะเบาไปเอง”


ชอปปิ้งจนได้งาน

ด้วยสไตล์ของผู้หญิงจ๋าอย่างเธอ เรื่องชอปปิ้งกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันจนส่งผลให้ได้กลายเป็นแบรนด์แอบาสเดอร์ให้กับงาน BIG+BIH 2010 งานนิทรรศการที่รวบรวมเอาของใช้ ของตกแต่งบ้านมากมายมารวมกันไว้ที่ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

“เพราะน้องโมชอบชอปปิ้งมาก เหมือนว่าเราอยู่บ้านแล้วก็เป็นคนชอบแต่งบ้านด้วย ชอบซื้อของจุกจิก นู้นนี้ไปเรื่อยเปื่อย ไปช้อป จนไปรู้จักและได้ทำงานร่วมกัน”

โมถึงความรู้สึกการได้เป็นแอมบาสเดอร์ครั้งนี้ว่า คล้ายว่าเขารู้ว่าเราชอบตรงนี้จริงๆ เมื่อก่อนโมอาจจะมองในฐานะคนช้อปปิ้งคนนึง แต่พอได้มาทำงานตรงนี้ ทำให้ได้เรียนรู้รายละเอียดมากขึ้น งานที่จัดก็ไม่ได้จัดเพื่อให้คนชอปปิ้งเพียงอย่างเดียว เป็นการช่วยเหลือประเทศนำเอาเงินมาเข้าประเทศด้วย มีการเกิดเรื่องราวของการดิวธุรกิจระหว่างประเทศเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของสาววัยใสอย่างเธอ

แลดูสดใส ด้วยสิ่งที่รัก

เห็นลีลาการพูดคุยของ สาวโมนิก้า ช่างสดใส และคุยสนุกสนาน สมกับการเป็นวีเจ ที่ต้องกระตือรือร้นในการทำงาน และมีการแอ็กทีฟตัวเองอยู่ตลอดเวลา เรื่องแรกที่เธอจะสามารถทำได้เพื่องานออกมาดีการดูแลตัวเองให้สดใสอยู่เสมอ และนอนให้เพียงพอจะช่วยให้เธอมีสมองที่ปลอดโปร่งและกระปรี้กระเปร่าทุกครั้งที่ลงมือทำงาน

“โมจะเป็นคนนอนเร็วค่ะ เพื่อนๆ จะรู้ว่า ถ้ามีไปคุยกับเพื่อนๆ หรือไปไหนด้วยกัน พอเวลาสามทุ่ม น้องโมจะหาวแล้วล่ะ เราต้องการนอนให้เพียงพอ นอนเร็ว รับประทานอาหารเป็นเวลา โมจะไม่ชอบมาหาอะไรทานตอนดึกๆ และเราก็ดูแลตัวเองด้วยการดื่มน้ำเยอะๆ”

นอกจากวิธีการดูแลตัวเองที่หลายๆ คนสามารถทำได้แล้ว สาวลูกครึ่งอย่างเธอยังมีความตั้งใจในการรับประทานอาหารมังสวิรัตให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งวัน

“น้องโมจะทานมังสวิรัติอาทิตย์ละหนึ่งวันนะ พี่สาวน้องโม ก่อนที่เค้าจะท้องน้อง เค้าก็ทานมังสวิรัติมาก่อน พี่เขารับประทานทุกวันตลอดเวลา 4 ปี ค่ะ แล้วเราก็จะสังเกตเห็นความสดใสของเขาอ่ะ ดูจากคนใกล้ตัว ที่มีหน้าตาผิวพรรณที่สดใส ก็เลยอยากลองรับประทานมังสวิรัติดูบ้าง ทำทุกวันมันก็เริ่มชินนะ มันก็อย่างน้อยเราได้ทำอาทิตย์ละ 1 วัน เอาเป็นวันเกิดละกันค่ะ ไม่ได้ยึดติดอะไรมากมาย วันไหนที่เราไม่สามารถจะมารับประทานมังสวิรัติ เราก็ผลัดไปอีกวัน แต่ขอแค่อาทิตย์ละวันเท่านั้นเองค่ะ ”

นอกจากการดูแลสุขภาพร่างกายให้แลดูสดใสร่าเริงตลอดเวลา เรื่องของหัวใจที่สาวลูกครึ่งตาคม คนนี้บอกว่า เรื่องของหัวใจตอนนี้ยังว่างและยังไม่อยากให้ใครมาดูแล

“ยังไม่มีความรักนะค่ะ อย่าถามหนูเลยเรื่องนี้ เพราะโมเองยังรู้สึกว่าเรายังดูแลตัวเองได้ และเราทำมาตั้งนานแล้วค่ะ เราเริ่มทำงาน ไม่ได้ให้พ่อแม่มาดูแลแล้ว เราก็ดูแลในสิ่งที่จะทำให้เราพอใจที่สุดมากกว่า จนเหมือนว่าถึงใครจะมาดูแลเราก็ไม่เห็นมีใครจะทำแล้วถูกใจสักอย่างเลย มันก็เป็นข้อเสียของหนูนะ ก็มันไม่ได้เลวร้ายนะ ชีวิตก็ไม่ได้จะมาเติมเต็มแบบเรื่องความรัก เพราะว่าโมเองทุกวันนี้ก็ดูแลคุณแม่ คุณยาย รวมไปถึงพี่สาวที่เค้าก็แต่งงานแล้ว เราก็ดูแลอยู่ไกลๆ เราก็คิดอะไรทำอะไรทุกวัน ชีวิตมันเลยไม่คิดว่ามันขาดอะไร เราก็อยู่กับเพื่อนตลอด ”

การทำงานในวงการบันเทิง เป็นงานที่เธอรัก และทำมันได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย อาจเพราะเหตุผลที่เธอยังไม่เคยได้ทำงานนอกวงการอย่างจริงจัง แต่การได้มีโอกาสที่ได้ลองงานบันเทิงในรูปแบบต่างๆ กลายเป็นเรื่องสนุกและตื่นเต้นที่เข้ามาหาเธอแทบทุกเช้า

“ก็ถ้าถามว่ามันเป็นงานนึงที่เรารักนะ เราก็ไม่เคยทำงานที่ทำนอกวงการจริงๆจังๆนะ มีช่วยบริษัทคุณพ่อบ้าง เราทำงานในงานที่รัก เพราะเราไม่เคยคิดว่าไม่อยากทำเลย ตื่นมาขี้เกียจไม่เคยคิดแบบนี้ เพราะงานมันเป็นงานที่เรารัก นะ ก็ทุกครั้งที่มีงาน มีโอกาส โมก็สนุกไปกับมัน เราทำงานตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ถึงเมื่อไหร่ เราต้องมีความสุขในทุกๆ นาทีที่ทำงานที่รักมากกว่า”

ประวัติ
ชื่อ-นามสกุล : โมนิก้า เมอลเลอร์
ชื่อเล่น : โม
อายุ : 20 ปี
ส่วนสูง : 173 ซม.
น้ำหนัก : 46 กก.
การศึกษา : โรงเรียนสตรีวิทยา 2
ปริญญาตรี : คณะนิเทศศาสตร์ เอกการแสดง มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC)
ความเป็นตัวคุณ : ชอบแสดงความคิดเห็น ตรงไปตรงมา เป็นตัวของตัวเอง
อาชีพ : นางแบบ, นักแสดง, วีเจ

ตำแหน่งที่ได้รับ
รองอันดับ 2 Miss Teen Thailand 2005 ปีน้องไอซ์

ละคร
อยากจะรักเดี่ยวจัดให้
ภารกิจพิชิตดอกฟ้า
สะใภ้ทอร์นาโด

ผลงานอื่นๆ
วีเจที่ช่องเคเบิ้ล POP
โฆษณาคิวลีน, มิสทีน

ภาพโดย พงษ์ศักดิ์ ขวัญเนตร
รายงานโดย ทีมข่าว M-Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์

แสดงความคิดเห็น

 
Top