เพราะความซุกซนตามประสาเด็กๆ นั่นแหละครับ อยากรู้อยากเห็นอะไรไม่เข้าเรื่องแท้ๆ ที่ทำให้พวกเราต้องพบกับเรื่องน่าขนลุกขนพองสุดขีด จนถึงกับวิ่งหนีชนิดป่าราบเหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตายไปตามๆ กัน
ตอนนั้นผมยังตัวกะเปี๊ยกแค่ 11-12 ปี อยู่ในอำเภอเมือง ปราจีนบุรี มีเพื่อนจอมแก่นแสนซนทั้งในหมู่บ้านและลูกศิษย์วัดอีกหลายคน เช่น เจ้าตึ๋ง เจ้าเบี้ยว เจ้าเอี๋ยว เจ้ากิ่ง เป็นต้น
ตกเย็นถ้าไม่วิ่งเล่นกันโครมๆ ที่หน้าโบสถ์ ก็พกหนังสติ๊กเที่ยวยิงนกยิงหนูไปตามเรื่อง จนหลวงตาเยื้อนเห็นเข้าเลยโดนเทศนากัณฑ์ใหญ่ ว่าเป็นคนใจบาปหยาบช้า ชอบรังแกสัตว์ตายไปจะต้องตกนรกหมดทุกคน
พวกเราไม่ค่อยกลัวนรกเท่าไหร่หรอกครับ แม้ว่าจะมีกระทะทองแดง อีกาปากเหล็ก ต้นงิ้วหนามแหลมๆ เพราะเรายังเด็กที่ห่างไกลกับความตายตั้งเกือบร้อยปีแน่ะ แต่กลัวไม้เรียวหลวงตาเยื้อนมากกว่า เจ้าเบี้ยวเป็นเด็กวัด บอกว่ากิ่งฝรั่งที่หลวงตาเอามาทำไม้เรียวน่ะ หวดก้นเจ็บอย่าบอกใคร
คราวนี้เราก็เลยไปเล่นที่หลังโบสถ์ จะได้ลับหูลับตาใครๆ หน่อย
ที่นั่นค่อนข้างเงียบเชียบ มีทั้งต้นโพธิ์ ต้นมะเกลือ กับต้นไม้ใหญ่ๆ อีกมากมาย บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจบอกไม่ถูก เราก็เล่นซ่อนแอบกันบ้าง ไล่จับกันบ้าง บางวันก็เล่นหยอดหลุม ทอยกองจนใกล้จะมืดค่ำ...เสียงลมพัดยอดไม้ดังซู่ซ่าเล่นเอาสะดุ้งเฮือกไป เหมือนกัน
บางวันก็เป็นเสียงลมพัดเบาๆ ราวกับเสียงใครกำลังกระซิบกระซาบความลับต่อกัน แต่บางวันก็ได้ยินเสียงเด็กเล็กๆ หัวเราะคิกคักดังมาจากเมรุปูนใกล้ๆ ครั้นหันขวับไปมองกลับไม่เห็นใครเลยแม้แต่คนเดียว
"ผีมันแอบดูเราหรือเปล่าวะ?" เจ้าตึ๋งตั้งปัญหา เล่นเอาพวกเราชะงักกึก เจ้าเบี้ยวทำหน้าตาไม่ค่อยสบายก่อนจะบ่นกระปอดกระแปด
"มึงอย่าพูดเรื่องผีได้มั้ย? ขอร้อง! เพราะมีกูเป็นเด็กวัดคนเดียว ตอนกลางคืนได้ยินเสียงหมาหอนมาจากป่าช้าทีไร กูต้องคลุมโปงสวดอิติปิโสทุกที"
"แล้วมึงเคยเห็นผีหรือเปล่าล่ะ?" เจ้าเอี๋ยวตั้งปัญหา "กูน่ะไม่เคยเห็นเลยว่ะ"
คราวนี้ทุกคนยอมรับว่าไม่เคยเห็นผี แต่ก็กลัวผีทุกคน เจ้ากิ่งลูกแม่ค้าขายขนมที่ตลาดเล่าว่า ได้ยินพวกผู้ใหญ่เขาคุยกันว่า ถ้าใครอยากเห็นผีน่ะง่ายนิดเดียว เอาเถ้ากระดูกที่กองฟอนมาทาเปลือกตาก็มองเห็นผีแล้ว อีกวิธีหนึ่งก็คือก้มลงมองลอดใต้หว่างขาของตัวเอง รับรองว่าได้เห็นผีแน่ๆ
ไม่มีใครเห็นด้วยกับวิธีแรก แต่สนใจวิธีหลังมากกว่า!
เพราะความซุกซน อยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กน่ะเองที่ทำให้พวกเราอยากทดลองทำดูว่าจะจริง หรือเปล่า? แม้แต่เจ้าเบี้ยวที่บอกว่ากลัวผีหยกๆ ก็ทำท่าตื่นเต้นไปด้วย เราเลยตกลงกันว่าวันพระใหญ่ที่จะมาถึงอีก 3 วันข้างหน้า เราจะมาทดลองกันที่หลังโบสถ์นี่แหละ
แต่ผ่านไปแค่ 2 วัน ตาโหมดคนยามที่ตลาดก็หัวใจวายไปเฉยๆ ตกเย็นมีการแห่ศพมาตั้งที่ศาลาใกล้ป่าช้า...พวกเรายิ่งตื่นเต้นกันยกใหญ่ อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ
ครั้นถึงวันนัด เจ้าเบี้ยวมาช้ากว่าเพื่อนเพราะถูกหลวงตาเยื้อนเรียกใช้ไม่หยุด...เราก็เร่งร้อนพิสูจน์ว่าผีมีจริงไหม? เราจะได้เห็นผีจริงๆ หรือเปล่า? ก่อนที่จะมีการสวดศพตาโหมดตอนค่ำ...
ทุกคนตั้งท่าหันหลังให้เมรุแล้วย่อเข้า นับ 1-2-3 พร้อมกันแล้วก้มลงมองลอดใต้หว่างขาทันใด!
เมรุเผาผีดูทึบทึมอยู่ในยามเย็นที่เริ่มจะมืดสลัว ด้านหลังคือต้นไม้ใหญ่น้อยยืนต้นทะมึน เงียบงัน ไม่ปรากฏว่าจะมีภูตผีปีศาจตนใดในม่านตา... ยกเว้นแต่ร่างผอมกะหร่อง ผิวดำของชายแก่คนหนึ่งเดินย่องแย่งมาจากศาลาตั้งศพที่พวกเราเรียกว่าโรงทึบ
"ไม่เห็นมีผีนี่หว่า..." เจ้ากิ่งพึมพำก่อนจะร้องลั่น "ตาโหมด!!"
เท่านั้นแหละครับ ไม่รู้ว่าเงยหัวพรวดพราดขึ้นมาตอนไหน เสียงร้องแต่ว่า...ตาโหมดๆๆ ดังลั่นอยู่ในแก้วหู ผมโจนพรึ่บ แต่ยังช้ากว่าเจ้ากิ่งกับเจ้าตึ๋งที่ออกหน้าไปแล้ว เจ้าเบี้ยวกับเจ้าเอี๋ยวรั้งท้าย แหกปากร้องเสียงหลง
"รอด้วย! รอกูด้วย..."
ไม่มีใครรอใครให้โง่ นอกจากจะเผ่นกระเจิงเอาตัวรอดกันชนิดไม่คิดชีวิตทั้งนั้น กว่าจะกระเซอะกระเซิงมาถึงหน้าวัดก็หอบแฮกๆ เหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจตายไปตามๆ กัน...ใครไม่เชื่อเชิญพิสูจน์เอาเองครับ ส่วนผมน่ะเจอครั้งเดียวก็เข็ดไปจนตาย! บรื๋อออ...
แสดงความคิดเห็น