รักของ “ฟิล์ม” และ “แอนนี่” สับสนกันในกองละครปีศาจแสนกล ช่วงระยะเวลาที่คบหากันไม่กี่เดือน แอนนี่ออกรายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” ของ สรยุทธยอมรับว่า “ไปมาหาสู่กันถี่และบ่อย และอาศัยช่วงเวลาเลิกแล้วค่อยมาเจอกัน” ซึ่งเพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันเท่านั้น ช่วงระยะเวลาในการคบหาจากกองละครเรื่องนี้ทำให้ฟิล์มและแอนนี่มีโอกาสใกล้ ชิดกัน จนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง “เคยคบกัน แต่ไม่ได้เป็นแฟนกัน” จึงเป็นคำตอบที่ฟิล์มพูดในการแถลงข่าวครั้งแรกซึ่งเดาง่ายๆคือ “แฟนเผลอมาเจอกัน”
ความสัมพันธ์ก่อนหน้านั้นทิ้งช่วง ไปจนแอนนี่เริ่มตั้งท้องได้ ร่วม 4 เดือนแอนนี่เล่าว่าชวนฟิล์มไปตรวจครรภ์แล้วอีกฝ่ายไม่ไปเพราะกลัวเป็นข่าว จึงอุ้มท้องอยู่ที่ห้องคนเดียวเพียงลำพัง และพยายามติดต่อฟิล์มแต่ฟิล์มงานยุ่งและห่างเหินไป แต่ตอนท้ายยอมรับเองว่าส่งข้อความคุยกันแต่ฟิล์มติดถ่ายละคร แอนนี่เล่าต่อว่าตนเองต้องไปคลอดลูกเอง ทำอะไรเองทุกอย่าง แต่ในตอนหลังยอมรับ่ว่าฟิล์มเลี้ยงดู ส่วนฟิล์มเองยืนว่าแม่และผู้จัดการส่วนตัวเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด และแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าต้องการดูแลลูก เพราะบรรดาเหล่าวินมอเตอร์ไซค์ก็ทราบดีว่าฟิล์มมาหาแอนนี่ที่คอนโดฯ จวบจนมีข่าวลือกว่าพระเอก “ฟ “ทำดาราตัวประกอบ “อ” ท้อง ไม่กี่วันฟิล์มจึงออกมาแถลงข่าวว่ามีความสัมพันธ์กับแอนนี่จริง และขอตรวจดีเอ็นเอ และนั่นเป็นสาเหตุให้แอนนี่ต้องออกรายการของสรยุทธเพื่อชี้แจงว่าตนไม่พอใจ และไม่ต้องการให้ฟิล์มมารับผิดชอบ และไม่อยากทำลายฟิล์ม แต่ที่ต้องพูดเพราะมีเรื่องดีเอ็นเอที่รับไม่ได้และไม่อยากให้ฟิล์มรับผิด ชอบลูกตนโดยที่สังคมบังคับ ทั้งที่ฟิล์มยืนยันเจตนารมณ์ชัดเจนว่าต้องการเลี้ยงดู แต่แอนนี่ต้องมาออกรายการสรยุทธเพราะว่าต้องการให้สังคมยอมรับ ฟิล์มยอมรับในตัวเอง ซึ่งรู้แก่ใจแล้วว่าฟิล์มเองไม่ได้ทิ้งลูก และยังช่วยค่าคลอดรวมแล้วกว่า 2 แสนบาท อีกทั้งให้แม่และผู้จัดการส่วนตัวมาช่วยดูแล ซึ่ง “พจน์ อานนท์” เผยว่าฟิล์มเองไม่ได้ปล่อยให้แอนนี่อยู่ตามลำพังและมีคนดูแลมาโดยตลอด มีเพียงช่วง 2 เดือนหลังเท่านั้นที่ฟิล์มงานยุ่งและเงียบไป เมื่อเงียบหายไป แอนนี่อ้างว่าไม่ได้ปล่อยข่าวท้องให้ใครฟัง และไม่เคยคิดจับฟิล์ม แต่ที่ไม่ป้องกันเพราะฟิล์มทำให้รัก ตนจึงหลงเชื่อไม่ป้องกัน เรื่องราวที่พูดไม่ตรงกันทำให้ วันนี้ข่าวของเขาและเธออยู่ในความสนใจว่า “น้องทีฆายุ” ลูกใครกันแน่แล้วเหตุใดฟิล์มจึงไม่อยากตรวจดีเอ็นเอ? หรือมีบางอย่างมากกว่านั้น!? เมื่อข่าวแอนนี่และลูกเกิดขึ้นในสังคม สำหรับชาวเน็ตแล้วยังวิพากษ์ว่าหน้าตาของลูกแอนนี่ยังละม้ายคล้ายกับดารา “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” อีกทั้ง “อั้ม พัชราภา” ยังฝาก “เมย์ เฟื่องอารมย์” มาแซวหนุ่มว่าหน้าตาคล้ายหนุ่มด้วยเช่นกัน แต่ตัวหนุ่ม กรรชัยเองก็ไม่ได้ร้อนตัวต่อเรื่องดังกล่าว เพราะมองเป็นเรื่องขำๆ และพร้อมตรวจดีเอ็นเออีกต่างหาก รวมทั้งยังบอกด้วยว่าเข้าใจฟิล์มแต่ไม่เข้าข้าง และเห็นใจทั้งสองฝ่ายและส่วนตัวแล้วตนเข้าใจคำว่า “เคยคบกันแต่ไม่ใช่แฟน” ดี จึงไม่ขอวิจารณ์ฟิล์มประเด็นดังกล่าว น้องคากิ หน้าเหมือน “หนุ่ม” กรรชัย !! สายสัมพันธ์ที่เริ่มต้นของ “ฟิล์ม” รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ , “หนุ่ม” กรรชัย กำเนิดพลอย และ แอนนี่ บรู๊ค เริ่มต้นมาจากละครเรื่อง “ปีศาจแสนกล” ที่ทั้ง 3 คนโคจรมาพบกัน และเป็นที่ยืนยันว่า ความสนิทสนมของแอนนี่กับผู้ชายนั้น ไม่ได้มีเฉพาะแต่พระเอก - นักร้องอย่าง “ฟิล์ม” รัฐภูมิ เพียงคนเดียว ในจำนวนผู้ชายที่มากหน้าหลายตา คนหนึ่งที่ได้รับการกล่าวถึง ณ เวลานี้คือ “หนุ่ม” กรรชัย กำเนิดพลอย การที่แอนนี่ บรู๊คไม่ยอมตรวจดีเอ็นเอ. มีเหตุผลเดียวคือ กลัวผลการตรวจพลิกจาก “ฟิล์ม” เป็นคนอื่น และคนอื่นที่มีการกล่าวถึงและมีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้ กลายเป็น “หนุ่ม” กรรชัย กำเนิดพลอย เพราะการโคจรของฟิล์มที่มาพบกับแอนนี่ ในละคร “ปีศาจแสนกล” ของค่ายชลลัมพี นั้น มี “หนุ่ม” กรรชัย ร่วมแสดงอยู่ด้วย แอนนี่ไม่ได้สนิทสนมเฉพาะ “ฟิล์ม” รัฐภูมิ เพียงคนเดียว หากแต่ในจำนวนผู้ชายมากหน้าหลายตานั้นมี “หนุ่ม” กรรชัยรวมอยู่ด้วย โดยข่าวดังกล่าวนี้ ผู้ที่ปูดขึ้นมาอย่างทีเล่นทีจริงคือ “มดดำ” คชาภา ตันเจริญ ซึ่งเขาเคยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ส่วนที่มีกระแสข่าวโยงมาเอี่ยวกับพี่หนุ่ม กรรชัย เมื่อวานก็คุยกันเล่นๆ ว่า ไม่ใช่ตรวจมาเป็นลูกของหนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอยนะ น่าจะเอาเส้นผมดาราชายมาตรวจให้หมดเลยว่าสรุปเป็นใคร (หัวเราะ) คือ แค่พูดเล่นๆ กัน พี่หนุ่มบอกว่ารับรองอันนี้ไม่ได้แอ้ม (ยิ้ม) ” เรื่องลูกของแอนนี่ บรู๊ค เป็นลูกของ “หนุ่ม” กรรชัย กำเนิดพลอยกลายเป็น “ทอล์กออฟเดอะทาวน์” อีกเรื่องหนึ่ง ที่ถูกกล่าวและอ้างถึง ขณะที่ “หนุ่ม” ใจกล้า ขาสั่น บอกด้วยเสียงสั่นว่า “ผมเฉย ๆ เกี่ยวกับประเด็นนี้ ทุกคนมีสิทธิที่จะมอง มีสิทธิที่จะคิด เพราะผมเองเป็นคนมีชื่อในทางลบเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงอยู่แล้ว ผมอยากจะบอกว่า ผมไม่ได้เป็นพ่อเด็กครับ ไม่ใช่ลูกผมแน่ๆ” แต่เมื่อถูกซักไซ้ไล่เรียงว่า หากเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นกับตัวเอง จะจัดการต่อปัญหานี้อย่างไร เจ้าตัวพูดคล่องแสดงความคิดเห็นแบบไม่สะดุดว่า “สมมติหากเป็นผม ผมจะยินดีรับผิดชอบทันที เพราะเด็กเป็นลูกเราจริงๆ แค่เห็นหน้าตาบอกได้คำเดียว น่ารักน่าชังมาก ผมอยากมีลูกอยู่แล้ว ล่าสุดอั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ ฝากแซวมาทางคุณเมย์ เฟื่องอารมย์ แฟนสาวสวยของผมว่า หน้าตาเด็กเหมือนผมจังเลย ซึ่งผมก็ไม่ได้โกรธใคร ขำขำกันไป” ความใจกล้าของ “หนุ่ม” กรรชัย ถึงขนาดพร้อมที่จะตรวจดีเอ็นเอ “ถ้าผมจะมีลูกสักคน ขอยืนยันเลยว่าต้องไม่เกิดจากความผิดพลาดเด็ดขาด ลูกของผมและผู้หญิงที่ผมรักต้องเกิดจากความตั้งใจ ส่วนเรื่องทราบข่าวความสัมพันธ์ของฟิล์มกับแอนนี่หรือเปล่า เนื่องจากถ่ายละครเรื่องเดียวกันนั้น ตรงนี้ผมไม่ทราบ กับแอนนี่ถือว่าเป็นน้องที่สนิทมีการคุยกันบ้างเล็กน้อย ถ้าว่างผมก็จะอยู่บนรถตู้ของผม ผมมีโลกส่วนตัวสูงเวลาอยู่ในกองถ่าย” ถามว่ารู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น หนุ่ม-กรรชัย ตอบว่า “บอกตรงๆ ผมเห็นใจทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากทั้งคู่เป็นนักแสดงรุ่นน้อง นิสัยดีมาก อยากจะให้มองว่า ฟิล์มเองก็มีอนาคต แต่อีก 20 ปี ข้างหน้า ฟิล์มก็จะอายุเยอะ ขณะเดียวกันเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็จะเจริญเติบโตขึ้นมา ซึ่งเป็นวัยเริ่มต้น อยากให้พวกเราคิดถึงอนาคตของเด็กมากกว่า” * คิดอย่างไรที่ฟิล์มบอกว่า “เราเคยคบกัน แต่ไม่ได้เป็นแฟนกัน” “ผมเข้าใจในสิ่งที่ฟิล์มพูด ผมไม่ได้แก้ตัวแทนน้อง เพราะในสังคมทุกวันนี้เด็กวัยรุ่นที่กำลังคบหาดูใจกัน ซึ่งยังไม่ได้ตัดสินใจว่าเป็นแฟนกันมีเยอะ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในมุมของผู้ชายเราก็เข้าใจตรงนี้ แต่ในวันที่ฟิล์มสัมภาษณ์อาจจะพูดรวบรัดไปหน่อย กับแอนนี่เองผมก็เห็นใจเพราะน้องเขาเป็นผู้หญิง เขาต้องดูแลลูก” ถามต่อว่า โดยส่วนตัวอยากจะช่วยเหลืออย่างไรบ้าง ดาราดัง ตอบว่า “ถ้าน้องทั้ง 2 คนขอความช่วยเหลือมา ผมก็พร้อมยินดีช่วยเต็มที่ สรุปผมขอเป็นกำลังใจให้ทั้ง 2 คน” เค้าไม่อยากทำลายตัวเอง แล้วที่ทำเรียกว่า? ฟิล์มโทร.มาหาแอนนี่ อยากช่วยเหลือ แอนนี่เองก็ยอมรับดีใจ ที่ฟิล์มโทร.มา และฟิล์มมาดูน้อง แต่ไม่ได้ส่งเสียเป็นรายเดือน เพียงแต่ไม่อยากเป็นข่าว และแอนนี่เองยอมรับว่าเข้าใจฟิล์ม แต่อะไรทำให้เรื่องนี้แดงขึ้นมา ความเข้าใจที่บอกมีให้กันก็มีแค่ 2 คนที่รู้และเข้าใจได้ว่าฟิล์มเองคงกลัวเป็นข่าวจึงมาหาแอนนี่ได้เป็นบาง ครั้งคราว เพราะมีคนเริ่มเห็นแล้วว่าฟิล์มมาหาแอนนี่ที่คอนโดฯ "เรื่องนี้ไม่ได้หลุดมาจากหนู เมื่อไหร่จะเลิกกลัวเป็นข่าวเสียที หนูไม่คิดทำลายเขา ที่ออกมาพูดเพราะหลายๆ กระแส คือเขาพูดแค่นี้เหมือนตบหน้าแอนนี่แล้วบอกว่าเราเป็นผู้หญิงที่ไม่ดี อย่างเช่นประโยคที่เขาพูดว่าก็ตรวจดีเอ็นเอละกัน ถ้าใช่ก็จะยอมรับ แต่บางประโยคที่เขาพูดเราก็ชื่นใจมาก เช่นเขายอมรับว่ารู้จักเราจริง ไม่ได้ปฏิเสธ แสดงว่าเขาก็ยังโอเค แต่สิ่งที่แอนนี่เจ็บปวดที่เขาบอกว่า ตั้งแต่วันแรกที่เราคลอดแล้วเขาไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล คือถามหน่อยเวลาคนคลอดลูก เขาต้องการคนอยู่ข้างๆ หรือเปล่า ต้องการกำลังใจ กลัวไปหมด เราแค่ต้องการจับมือใครก็ได้ แต่มันไม่มีใครอยู่ตรงนั้น แอนนี่ขับรถไปคลอดเอง เข้าห้องคลอดคนเดียว กลับออกมาพักอยู่เป็นอาทิตย์ไม่เห็นจะมีใครมาหาเลย เขาไปดูหน้าลูกกับแม่เขา หลังจากที่เราออกจากโรงพยาบาลมาได้สักพักหนึ่งแล้ว” “แล้วที่วันนี้แอนนี่อุ้มน้องออกมา ไม่อยากให้คิดว่าโห..ต้องอุ้มกันมาขอความเห็นใจ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ เพราะ 3 เดือนที่น้องคลอดออกมา 24 ชั่วโมง 7 วันแอนนี่ต้องดูแลคนเดียว ไม่มีคนช่วย ส่วนเรื่องเงินช่วยเหลือวันที่ใกล้จะคลอดเขาโทร.มาหา บอกว่าต้องการช่วยเหลือนะ เราก็บอกไม่เป็นไร เรามี อย่างที่บอกเราได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะเลี้ยงลูกเอง แต่พอเขาโทร.มาถาม ถามว่าดีใจไหม เป็นใครก็ดีใจทั้งนั้นแหละ มันมีความรู้สึกว่าเอ๊ะ...หรือเขาจะกลับมา เขาบอกว่าอยากช่วยเหลือตรงนี้ ขอให้ช่วยนะ เราดีใจมากเลย แต่เขาไม่ได้ให้เงินถึง 2 แสน ค่าคลอดก็ประมาณแสนกว่าบาท หลังจากเรากลับบ้านไปแล้วและเขาก็มาดูน้อง ก็ให้เงินช่วยเหลืออีกตอน 2 เดือนหลัง แต่ตลอดทั้ง 9 เดือนที่เราอุ้มท้อง เขาไม่เคยส่งเสียอะไรเลย” แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจออกมาทีวี!? เหนือสิ่งอื่นใดก็ยังมีชีวิตเล็กๆเกิดขึ้นมาแล้ว ทั้งแอนนี่และฟิล์มควรมองเห็นลูก มากกว่า “ตัวเอง” ทั้งคู่... DNA ไม่มีผลต่อแอนนี่ แต่มีผลทางความรู้สึก แอนนี่ทิ้งให้ฟิล์มแค่นั้น และทิ้งทายเพียงว่าอย่ามาทวงสิทธิ์ความเป็นพ่อ นั่นคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดถ้า "น้องฑีฆายุ" เป็นลูกของฟิล์มจริงๆ “อย่ามองว่าใครผิดใครถูก เพราะเรื่องราวแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ก็อยากให้ยินดีกับเรา น้องก็น่าเกลียดน่าชัง ยินดีกับเราเถอะที่มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต และก็อยากให้ผู้ใหญ่ให้โอกาสเราด้วย เราผิดพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง และเราก็ไม่ได้ทำผิดพลาดครั้งที่สอง โดยที่ไม่ไปทำร้ายชีวิตเขา เราเก็บเขาไว้อุ้มชูอย่างดี แล้วก็ไม่อยากให้ฟิล์มคิดมากนะ เราขอโทษจริงๆ เราไม่อยากออกมาพูดเลย” ซิงเกิลมัมตัวปลอม? "เอาว่ะ ลูกคนเดียวแม่เลี้ยงได้ไม่มีพ่อไม่เป็นไร" อย่างน้อยทำผิดครั้งนี้ไม่เป็นไรแต่จะไม่ทำผิดซ้ำสอง ไม่ทำแท้งเด็ดขาด เราจะไม่เอาเขาออก อย่างคนอื่นบอกว่าทำไมไม่ทำแท้ง ทำไมไม่เอาออก ถ้ามามีเด็กอีกหน่อยไม่มีงาน แต่ไม่ทำ ...ถ้าเขาจะมายอมรับลูก เพราะสังคมบีบบังคับอย่าดีกว่าเพราะเราแสดงความบริสุทธิ์ใจไปตั้งแต่เแรก หนูเลี้ยงเองไม่ต้องมาตรวจอะไรแล้ว ไม่ต้องมาให้อะไรแล้วหนูไม่เอา ถ้าจะทำร้ายเขาก็คงทำแต่แรกแล้ว เลี้ยงลูกคนเดียวได้ แม่รู้ว่าท้องแต่ไม่รู้ว่าท้องกับใคร แม่เป็นชาวบ้านอยากพูดก็พูดไม่อยากพูดก็ไม่ถาม … เรื่องเลี้ยงลูกแอนนี่ก็วางแผนเอาไว้ว่า ทุกอย่างต้องไม่ให้เขารู้สึกขาดเกินใดๆ ทั้งสิ้น เขาต้องไม่รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อย แล้วปัจจุบันนี้ซิงเกิลมัมก็เยอะ เราต้องทำได้ ส่วนเรื่องงานในวงการของแอนนี่ก็ต้องแล้วแต่ผู้ใหญ่ แอนนี่ขอขอบคุณผู้ใหญ่ทุกคนทั้งทางเวิร์คพอยท์และช่อง 3 ที่ให้กำลังใจตลอด บอกว่าไม่ต้องกลัวนะเรื่องงาน ช่วยๆ กันเดี๋ยวมีงานก็ทำๆ กันไปเหมือนเดิม” แต่ในกรณีของ แอนนี่ บรู๊คนั้น ไม่ใช่กรณีของคู่หย่าร้างที่แม่ต้องเลี้ยงลูกหรือว่าผู้ชายไม่ยอมรับลูกใน ท้อง แต่ทั้งคู่มีเรื่องให้เกิดความคลางแคลงใจว่า ใช่ลูกของ “ฟิล์ม” รัฐภูมิ หรือไม่ โดยที่ฝ่ายหญิงยืนยันว่า ใช่ โดยไม่ยอมพิสูจน์ DNA ส่งผลให้แอนนี่ บรู๊คยืนยันที่จะเลี้ยง “คากิ” ฑีฆายุ แก้วไทรหาญด้วยตนเอง จริงอยู่ว่า ทุกสังคมมี “ซิงเกิลมัม” ในทุกวงการ บ้านเราก็มีทั้งคู่หย่าร้างที่แม่ต้องทำหน้าที่เลี้ยงลูกคนเดียว หรือแม้แต่ในกรณีที่ผู้ชายไม่ยอมรับลูกในท้อง จนเป็นเหตุให้แม่ต้องทำหน้าที่เลี้ยงลูกโดยลำพัง วงการบันเทิงในบ้านเราก็มี “ซิงเกิลมัม” หลายคน เช่น จิดาภา ณ ลำเลียง, แวร์ โซว และ อัญชลี หัสดีวิจิตร แม้จะมีความพยายามที่จะเรียก ไปจนคาดหมายว่า แอนนี่ บรู๊คจะเป็น “ซิงเกิลมัม” มือใหม่อีกคนของวงการ ทว่าหากพิจารณาจากเรื่องราวของเธอแล้ว ไม่น่าจะอยู่ในข่ายเดียวกับซิงเกิลมัม “จีน่า” จิดาภา ณ ลำเลียง อดีตนางสาวไทยกับลูกสาว “เจดา” จิดาริน เรื่องนี้ “เจ” เจตริน วรรธนะสินคบหาอยู่กับ “จิน่า” จิดาภา ณ ลำเลียงมาก่อน “ปิ่น” เก็จมณี พิชัยรณรงค์สงคราม สุดท้ายครอบครัวเลือก “ปิ่น” ทั้งครอบครัววรรธนะสินและ ณ ลำเลียงยังไปมาหาสู่กัน และ “เจ” ได้ส่งเสียค่าเลี้ยงดูให้แก่จีน่า โดยที่เธอเลือกที่จะพาลูกไปอยู่ที่เมืองนอก โดยไม่มีการโวยวายให้เป็นข่าว หรือให้คนนินทา ถือได้ว่าเธอเป็นตัวอย่างของ ซิงเกิล มัม ที่เลี้ยงดูลูกสาว ได้อย่างดีเยี่ยม ดังจะเห็นได้ว่า การกลับมาเยี่ยมเมืองไทยของแม่-ลูกคู่นี้ สร้างความชื่นชมให้แม่เป็นอย่างมาก ทั้งแม่และลูก ได้ถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสาร LIPS ปักษ์หลังมิถุนายน 2553 และเจดาได้มีโอกาสถ่ายแบบลงนิตยสาร ดิฉัน ประจำวันที่ 15 กันยายน 2553 สำหรับหน้าที่รับผิดชอบในฐานะ “แม่” นั้น เมื่อมองดูลูกสาวที่ทั้งสวย ทั้งเก่ง และยังมีความสามารถรอบด้าน เราคงไม่ปฏิเสธว่าจีน่าทำหน้าที่นี้ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องและที่น่าชื่น ชมที่สุดคือ เธอทำทุกอย่างด้วยตัวเธอเอง โดยไม่คิดเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากใคร จากบทสัมภาษณ์ในนิตยสาร LIPS คุณแม่จีน่า กล่าวว่า “หลายๆ คนมักจะบอกกับจีน่าว่า เธอเป็นแม่ที่ดีเหลือเกิน สามารถเลี้ยงดูลูกให้เป็นเด็กดีขนาดนี้ แต่จีน่ากลับไม่รู้สึกว่าตัวเองเก่งกว่าคุณแม่คนอื่นๆ เราก็แค่ทำให้สิ่งที่เราทำได้ ถ้าคุณมายืนอยู่จุดเดียวกับจีน่าคุณไม่มีทางเลือกหรอก ถ้าเราไม่เลี้ยงลูกเอง แล้วใคร จะเลี้ยงล่ะคะ สถานการณ์ในตอนนั้นเหมือนกับว่าจีน่าโดนบังคับ ให้โตเป็นผู้ใหญ่อย่างปัจจุบันทันด่วน เพราะเรามีอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งถือเป็นการทำให้จีน่าตาสว่าง อย่างทันตาเห็น ทำให้รู้ว่าการรู้จักใส่ใจ ในตัวคนอื่นนอกเหนือจากตัวเองเป็นอย่างไร ตอนเราไม่มีลูกเรามัวแต่คิดถึงความต้องการของตัวเอง แต่พอเรามีหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้นมา รู้จักเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่ลูกเรียกได้ว่าเจด้าเปลี่ยนจีน่าให้เป็น คนดีกว่าเดิมจริงๆค่ะ แต่ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม ยอมรับว่าเหนื่อยมากค่ะ การเป็นซิงเกิลมัมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพื่อนจีน่าบางคนก็อยากมีลูกเหลือเกิน แต่จีน่าบอกกับเพื่อนว่า เธอไม่รู้หรอกว่าคนเป็นแม่ต้องทำอะไรบ้าง ทุกวันนี้จีน่าต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำอาหารมื้อเช้าให้ลูก แต่เดี๋ยวนี้บางวันเจด้าก็ทำเองบ้าง ให้เวลามามี้นอนต่ออีกแป๊บหนึ่ง ปล่อยให้เจด้าทำอาหารทานเองไป จากนั้นจีน่าค่อยตื่นขึ้นมาขับรถไปส่งเจด้าที่โรงเรียน แล้วค่อยไปทำงาน หรือถ้าวันไหนไม่มีงานก็กลับมาทำความสะอาดบ้าน หรือไม่ก็ไปฟิตเนส ไปชอบปิ้ง สะสางธุระต่างๆ พอเลิกเรียนก็ค่อยขับรถไปรับที่โรงเรียนจากนั้นเจด้ากลับถึงบ้านก็จะเป็น เวลาทานของว่าง เสร็จแล้วถึงพาไปส่งที่โรงเรียนสอนแล้วจีน่าเป็นโชเฟอร์ดีๆ นี่เอง (หัวเราะ) นี่ยังไม่หมดวันนะคะ พอกลับถึงบ้านก็ต้องทำอาหารมื้อเย็น ล้างจาน ส่งเจด้าเข้านอน แล้วตัวเองถึงค่อยเข้านอนที่หลัง วันรุ่งขึ้นก็ตื่นมาทำกิจกรรมเหมือนเดิมอีก แวร์ โซว ยอมรับว่าตัวเองนั้นท้องตั้งแต่ตอนแรกว่าท้องไม่มีพ่อ แต่จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด โดยให้ สัมภาษณ์ ประมาณว่า ในเมื่อคนเป็นพ่อไม่ยอมรับ ก้อจะขอเลี้ยงดูลูกเอง จะเป็นทั้งพ่อและแม่ และทุกวันนี้ เธอก็สามารถเลี้ยงดู "คนดี” -ภริตพร จนเติบโตเป็นเด็กที่สดใสน่ารักแถมเก่งและฉลาดอีกด้วย พ็อกเก็ตบุ๊ก Wae Soul, I'm Proud To Be Mom - เพราะลูกไม่ใช่ปัญหา แต่คือ ของขวัญล้ำค่าของชีวิต โดย แวร์ โซว กล่าวว่า “การที่แวร์ออกมาเปิดเผยเรื่องที่แวร์ท้องในครั้งนี้แวร์ไม่ได้ต้อง การที่จะเรียกร้องให้เขากลับมาหรือมารับผิดชอบอะไรทั้งนั้น แวร์แค่คิดว่าการที่แวร์ยอมรับความจริงว่าแวร์ท้องแล้วแวร์ก็จะไม่หลบๆ ซ่อนๆ ใครด้วย เพราะแวร์ยังต้องมีชีวิตบนโลกใบนี้ต่อไปแล้วอีกอย่างแวร์ก็อยากให้คนเขายอม รับการที่ลูกของแวร์จะเกิดมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอย่างสมศักดิ์ศรี เพราะขาไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีชีวิตอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ใครด้วย” “แวร์ว่าตัวเด็กเองคงไม่คิดที่จะมีปมด้อยหรอกค่ะ แต่ผู้ใหญ่และคนรอบข้างนี่ล่ะ ที่จะทำให้เขามีปมด้วย เพราะเด็กเขาไม่รู้เรื่องอะไร ด้วยหรอก แล้วอีกอย่างถ้าเขามีพ่อเขาอยู่แล้วมีแต่ปัญหาเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันทุกวัน แบบนั้นแวร์ว่าเขาจะมีปัญหามากกว่าซะอีก” เอ-อัญชลี" ตั้งท้องกับแฟนหนุ่มนักธุรกิจ แต่ฝ่ายชายกลับปฏิเสธเลี้ยงดูลูกสาว “เอวี่” -เพชรพลอย ทุกวันนี้เจ้าตัวก็ต้องสวมบท ซิงเกิล มัม อย่างเต็มตัวขนาดไปทำงานก็กระเตงลูกน้อยไปด้วย เธอกล่าวไว้ใน MC แม่และเด็ก (กันยายน 2553) ว่า “คือเรารู้ว่าประจำเดือนหายไปได้อาทิตย์นึง ตอนนั้นก็ตุ๊มๆ ต้อมๆ พอสมควรนะคะ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นค่ะ ตอนท้องก็แฮปปี้นะคะทุกคนบอกว่าเอเป็นคุณแม่ที่อารมณ์ดีมาก ถึงแม้จะมีเรื่องเศร้าๆ แต่ก็ยังอารมณ์ดีได้ ขยันทำทุกอย่างไม่หยุดเลย ก็อ่านหนังสือ เปิดอินเทอร์เน็ตดู หาข้อมูลเต็มที่แล้วตอนท้องเนี่ยเอไม่แพ้เลยนะคะ อยากแพ้ค่ะ อยากรู้ว่าคนอื่นเค้าแพ้แล้วความรู้สึกมันเป็นยังไงบ้าง ตอนท้องใหม่ๆ เอกินเก่งมากเลย อยากกินทุกอย่าง แล้วก็ขยัน ตื่นเช้า ไม่อืดอาด ไม่อุ้ยอ้าย ไม่มีอะไรที่เหม็นเลยนะ แล้วก็ชอบแต่งตัวสวยๆ อยากแต่งหน้าทุกวัน ทั้งๆ ที่ปกติไม่ชอบแต่งหน้านะ อย่างอื่นก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม ทุกอย่าง แค่มีท้องใหญ่ขึ้น น้ำหนักขึ้นมา 26 กก. ถือว่าเยอะมากค่ะ” |
แสดงความคิดเห็น