© สนับสนุนโดย Matichon
ต้องยอมรับว่าในช่วงหลังๆ มานี้นอกจากช่อง 7 จะสร้างละครดีๆ เข้ากับยุคสมัยแล้ว ยังปั้นนักแสดงดาวรุ่งฝีมือเยี่ยมที่เน้นขายผลงานมากกว่าข่าวฉาวให้เห็นเพียบ
แม้บางคนจะเริ่มต้นจากเสียง"ยี้"ด้วยการแสดงที่ไม่เข้าที่เข้าทางหากท้ายสุดก็สามารถฝ่าคำวิจารณ์มายืนในจุดที่ผู้ชมยอมรับได้
หนึ่งในนั้นคือสาวลูกครึ่งไทย-ออสเตรียวัย 21 ปี เซฟฟานี อาวะนิค ซึ่งพิสูจน์ได้จากละครแอ๊กชั่นดราม่า "เพลิงตะวัน" ที่ออกอากาศอยู่ในขณะนี้ ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.30 น. โดยเธอเล่นเป็นทั้ง "ปรางค์ทอง" นักฆ่าสาวใจโหดเหี้ยม ที่ภายหลังกลายเป็น "ตะวัน" สาวเรียบร้อยผู้สูญเสียความทรงจำ
"เป็นบทที่ท้าทายมากๆ" เธอบอก
"แรกๆ เกร็ง เครียด แอบคิดนะว่าจะไหวไหม คนอื่นเก่งกว่าเราตั้งเยอะ ทำไมไม่เลือกเขา บางคนก็บอกว่าผู้ใหญ่เชื่อใจในฝีมือเรา ซึ่งถ้าเขาเชื่อว่าเราทำได้ เราก็ต้องเชื่อตัวเองเหมือนกัน"
โชคดีที่ได้ อัษฎาวุษ เหลืองสุนทร ผู้จัด ผู้กำกับ ที่ควบตำแหน่งนักแสดงนำในเรื่องมาช่วยติว จนอินเนอร์มาเต็มอย่างที่เห็น เต็มพอๆ กับแผลและรอยฟกช้ำตามตัวจากฉากบู๊ที่เล่นในเรื่องนั่นล่ะ 
"วันนั้นต้องตีลังกาลงพื้น ทีมงานก็จะเอาอะไรมารองให้กันเจ็บ แต่เราไม่เอา กลัวไม่สมจริง"
ดังนั้น เมื่อต้องถ่ายหลายเทค หลายมุม สุดท้ายเลยได้เลือด แบบสมจริงมากๆ ไปตามคาด
"เป็นคนทำอะไรแล้วอยากให้มันสุดสุด ให้ดีไปเลย" เซฟฟานีว่า
ดังนั้น ถ้าไม่ใช่อะไรที่ทำไม่ได้จริงๆ เช่น โหนสะลิงลงตึก เธอจึงจะขอเล่นเอง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน
"จริงๆ อยากเล่นบทบู๊เต็มตัวแบบ แองเจลินา โจลี เลยนะ เป็นคนชอบลุย ไม่กลัวเจ็บ เป็นเด็กดื้ออ่ะ" ว่าพลางหัวเราะ
แต่ ณ ตอนนี้ขอเล่นบทอะไรๆ ที่ได้รับมอบหมายให้ดีก่อน เพราะเชื่อว่าทุกบทที่ผู้ใหญ่เลือกให้คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว
เราๆ จะได้เห็นเธอในบทสาวอ่อนหวานใน "คือหัตถาครองพิภพจบสากล", คุณหนูอารมณ์ร้ายใน "กุหลาบเล่นไฟ" และเพื่อนนางเอกใน "แหวนสวาท" ซึ่งเซฟฟานีบอกว่า ที่เป็นอย่างนั้น เพราะเธอเองไม่ได้ยึดติดกับบทนางเอก ด้วยในความเห็นเธอแล้ว "ทุกตัวละครสำคัญหมด" แค่ "ต้องหาวิธีเล่นที่แตกต่างและค้นหาตัวละครให้เจอ ไม่งั้นคนจะบอกว่าเราเล่นเหมือนเดิม"
ภาพจากไอจี stephanyauernig© มติชนออนไลน์ ภาพจากไอจี stephanyauernig
เมื่อย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นในวงการ เธอบอกว่า ก่อนหน้านี้เคยมีแต่ความฝันที่อยากจะเป็นนางแบบ โดยไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะเป็นนักแสดง หากเพราะความอยากไปภูเก็ตที่ทำให้เธอมาอยู่จุดนี้!
"เราเข้าวงการจากเวทีมิสทีนไทยแลนด์ซึ่งไม่ได้ตั้งใจประกวดหรอก แต่ทางกองบอกว่าถ้าเข้ารอบ 50 คน จะได้ไปเก็บตัวที่ภูเก็ต อยากไป ไม่เคยไป" สาวผู้มีบ้านเกิดอยู่พัทยาบอกเขินๆ
ทว่าเป้าหมายที่อยากเที่ยว กลับไม่สมใจนึก เพราะต้องทำกิจกรรมแน่นเอี้ยด แต่ก็ได้ตำแหน่ง "มิสทีน ไทยแลนด์ ประจำปี 2009" มาแทน
และนับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ "เปลี่ยนไปเยอะเลย"
"อย่างแรกคือภาษาไทยดีขึ้น เมื่อก่อนพูดไม่ค่อยชัด สำเนียงเพี้ยนๆ เรื่องการแสดงก็มีคนชมว่าดีขึ้นเยอะ ซึ่งเราเชื่อว่ามาจากประสบการณ์ ถ้าเราได้บทที่แตกต่างมาเรื่อยๆ เราก็จะเก่งขึ้น แต่ถ้าไม่ได้เล่นเราก็คงยังอยู่ที่เดิม"
ส่วนภาพลักษณ์เปรี้ยวแซ่บอย่างในละครนั้น บอกเลยว่าไม่มีให้เห็นในชีวิตจริง เพราะ "ขี้อายมาก"
เซฟฟานี่ที่กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์ สาขาชีววิทยา วิทยาลัยนานาชาติ ม.มหิดล บอกด้วยว่างานที่เธอกำลังทำกับสิ่งที่เรียนนั้นต่างกันมาก หากเธอก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างดังกล่าว
"มีแต่คนถามว่า ทำไมเลือกเรียน ก็คนชอบน่ะ อาจเพราะโรงเรียนเก่า (ร.ร.นานาชาติเดอะรีเจ้นท์ พัทยา) ชอบพาเราไปสถานที่ที่มีเด็กกำพร้าหรือคนที่ติดเชื้อต่างๆ ได้ไปดูผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบ่อย มันเหมือนมีอะไรดึงดูดว่าสักวันเราจะต้องมายืนตรงนี้ เราต้องเป็นคนช่วยเหลือเขา"
"นี่คือทางที่เราชอบ"
ทว่า งานในวงการก็เป็นโอกาสดีๆ ที่ปฏิเสธไม่ลงเช่นกัน จึงตั้งใจจะทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงทางตัน
ด้วยเหตุนั้นเมื่อถามถึงความฝันในอนาคต เลยได้คำตอบที่ว่า "อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านการกีฬา เปิดร้านอาหารเฮลท์ตี้ หรือทำงานเกี่ยวกับฟิตเนส"
ด้วยความที่เป็นคนรักสุขภาพ ชอบออกกำลังกาย และทำอาหารคลีนกินเอง ซึ่งถ้าใครติดตามอินสตาแกรมเธอคงรู้ดี
"มันคือสิ่งที่เรารัก"
"เป็นความฝันเล็กๆ ที่โผล่มาจากไหนไม่รู้"
แต่กว่าจะได้สานฝันคงอีกไกล
"เพราะตอนนี้ขอทำปัจจุบันให้ดีที่สุดก่อน"
© สนับสนุนโดย Matichon
"มีคนคุยแล้วค่ะ" เซฟฟานีออกตัวทันทีที่ถูกเรื่องความรัก 
ก่อนเล่าว่า เป็นชายหนุ่มที่รู้จักกันมาตั้งแต่เรียน ม.6 แต่ที่ไม่ค่อยได้เห็นภาพควงคู่ไปไหนต่อไหน เพราะอีกฝ่ายเรียนอยู่ที่อังกฤษ เลยอาศัยแชตคุยกันมากกว่า เหตุที่ไม่ปิดบังนั้นเพราะ "มันเป็นเรื่องปกติ" 
"ความรู้สึกมันห้ามไม่ได้ ก็ปล่อยให้มันเป็นไป ถ้าวันนึงความรู้สึกมันจะหายไป ก็ต้องปล่อยให้มันหายไปเหมือนกัน ไม่ได้แพลนอะไรในอนาคต ตอนนี้ชอบกัน คุยกัน เป็นที่ปรึกษากัน"
ที่ต้องพูดตรงๆ เพราะ "เราไม่อยากโกหกใคร"
เมื่อเห็นคนในวงการที่มีความรักแบบหลบๆ ซ่อนๆ เลยพลอยรู้สึก "อึดอัด" แทน
"เข้าใจว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนคงห้ามพูด แต่นี่มันสมัยใหม่แล้ว บางคนที่ไม่กล้าพูดเพราะกลัวเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเหรอ เราว่ามันไม่ใช่"
"เพราะการเป็นตัวอย่างที่ดี คือเราควรพูดความจริงมากกว่า"