ปูเป้ น้ำตาคลอ! เล่ามรสุมชีวิต ยอมทิ้งวงการดูแลพ่อป่วย!!© Monotech ปูเป้ น้ำตาคลอ! เล่ามรสุมชีวิต ยอมทิ้งวงการดูแลพ่อป่วย!!
เปิดใจ!! นักแสดงสาวสวย ปูเป้ อรหทัย หลังเผชิญมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ ยอมหันหลังให้กับงานวงการบันเทิงที่ตัวเองรัก เลือกทุ่มเทเวลาดูแลคุณพ่อที่กำลังป่วยหนักหลายโรครุมเร้าถึงขั้นดวงตามืดบอดไปแล้ว ซึ่งเธอทำหน้าที่ลูกกตัญญูขอเป็นดวงตาให้พ่อเอง งานนี้ สาวปูเป้ เล่าทั้งน้ำเสียงสั่นเครือกับการสู้ชีวิต หมดเงินไปกว่า 6-7 ล้านบาทในการรักษาคุณพ่อ โดยไม่ขอรับการช่วยเหลือใดๆ พร้อมขอบคุณทุกกำลังใจที่ทุกคนมีให้เสมอมา!!
"คุณพ่อไม่สบาย ตามองไม่เห็นก็เป็นตามข่าวค่ะ แต่ว่าที่พ่อตามองไม่เห็นเนี่ย ไม่ได้มองไม่เห็นทั้งหมดนะคะ คือตาขวามองไม่เห็น แต่ว่าตาซ้ายจะเห็นในระยะ 1 ฟุต เวลาจะเห็นอะไรก็ต้องเอามาใกล้ๆ ตา เกิดจากคุณพ่อเป็นเบาหวาน เป็นมาประมาณ 10 ปี แล้วก็เป็นอัมพฤกษ์ด้วย เพราะเส้นเลือดในสมองแตก คราวนี้พอเบาหวานมันอยู่ในขั้นสุดท้ายแล้วมันก็จะขึ้นมาถึงตา ทำเลเซอร์ 3-4 ครั้งแล้ว แต่ไม่ดีขึ้น หมอบอกว่าค่อนข้างจะเป็นระยะสุดท้ายของเบาหวานแล้ว ก็เลยปล่อยให้เป็นอย่างนั้นดีกว่า ก็ให้คนในครอบครัวช่วยเหลือกัน"
"ทุกวันนี้ต้องดูแลเหมือนเด็ก เค้าจะทำอะไรเองไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการขับถ่าย หรือว่าบางทีกินข้าวก็จะใช้มือได้ข้างหนึ่งคือข้างซ้าย แต่ก็จะต้องมีคนคอยตัด คอยหั่น คอยตักใส่ช้อนให้ พูดก็ไม่ค่อยชัด เพราะว่าเป็นอัมพฤกษ์ ลิ้นก็จะแข็ง แล้วก็ตามองไม่เห็นต้องนั่งรถเข็น ไปไหนก็จะต้องคอยพยุง"
"ค่าใช้จ่ายในการดูแลมันเยอะมาตั้งแต่ช่วงแรก 10 ปีที่แล้ว พอเค้าล้ม เส้นเลือดในสมองแตกก็เอาเข้าโรงพยาบาลที่ดีที่สุดเลย ค่าใช้จ่ายถ้าเริ่มตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว คิดว่าน่าจะประมาณ 6-7 ล้าน มันจะค่อนข้างเยอะสำหรับคนเป็นโรคนี้ แล้วก็ตอนนี้พ่อก็ต้องฟอกไต ไตเนี่ยมีค่าไตเป็นศูนย์ไม่สามารถทำงานเองได้แล้ว ต้องฟอกไตวันเว้นวัน การฟอกไตคือการเอาเลือดออกจากร่างกาย เจาะที่คอ แล้วก็เอาเลือดออกไปที่เครื่องฟอก แล้วก็กลับมาที่ร่างกาย หมอก็บอกว่าถ้าเกิดว่าที่คอเส้นมันตันก็จะไม่สามารถฟอกไตได้แล้ว"
"พ่อทานยาเยอะ ทานมา 10 ปีแล้ว ก็ต้องดูแลรับผิดชอบพ่อคนเดียวเลย เพราะเป็นลูกคนเดียว คือตอนที่ทำงานในวงการเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก็จะมีเงินเก็บอยู่ก้อนนึง แต่ ณ ตอนนั้นพูดตรงๆ พอพ่อไม่สบายก้อนนั้นทั้งก้อนเราก็เอามารักษาพ่อหมด หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เก็บเงินใหม่ ทำธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้านำเข้า มันก็โอเคในระดับนึงนะ เปิดสาขา 4-5 สาขา คราวนี้พอได้เงินก้อนนึงก็เลยมาคิดทำเกี่ยวกับความงาม อาหารเสริมลดน้ำหนัก เกี่ยวกับผิวพรรณแล้วก็โอเค ธุรกิจไปได้ดีก็เลยมีเงินที่จะเก็บมาช่วยที่บ้าน"
"ค่าใช้จ่ายก็จะให้เป็นส่วนตัวพ่อเลย ถ้ารวมก็จะประมาณ 3-4 หมื่นต่อเดือน แต่ตัวพี่เองเนี่ย เรื่องส่วนตัวไม่ค่อยมีแล้ว เพราะว่าเสื้อผ้าเราก็เปิดร้านอยู่แล้วไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตรงนั้น แต่คราวนี้มันก็จะมีเรื่องที่ต้องรับภาระอื่นๆ ก็คือผ่อนบ้าน ค่ารักษาคุณพ่อก็ประมาณ 4 หมื่นกว่าต่อเดือน เพราะว่าคุณพ่อเป็นครูด้วยก็จะมีส่วนเล็กๆ ที่เบิกได้"
"ตอนนี้ก็ไม่ได้ลำบากเรื่องค่าใช้จ่าย มันผ่านช่วงลำบากมาแล้ว แต่หลายคนอาจจะไม่ได้รู้ เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วมันจะเป็นช่วงที่ลำบาก ช่วงที่หัวหน้าครอบครัวฟุบลงมา ตอนนั้นพอผ่านมาได้ 2-3 ปีมันก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยมั้ย ก็ไม่มีนะคะ ก็ช่วยเหลือตัวเองมาตลอด (หัวเราะ) ครอบครัวเราก็ช่วยกันเอง ครอบครัวเราค่อนข้างเข้มแข็ง เหมือนช่วยกันประคับประคองในครอบครัว ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองลำบากนะ มันก็ผ่านมาแต่ละสเต็ปในชีวิต"
"คุณพ่อดื้อเหมือนเด็กเลย ก็เข้าใจเค้าเพราะเป็นโรคแบบนี้ ในเมื่อเค้าเคยเป็นผู้นำ พอวันหนึ่งทำอะไรไม่ได้เลยมันก็จะมีดื้อ มีโวยวาย อารมณ์ไม่ดี อารมณ์เสีย แต่ว่าต้องยกให้คุณแม่ คุณแม่เป็นผู้หญิงที่ทนทุกอย่าง ยอมเค้าทุกอย่าง จนแบบพอยอมมากๆ เค้าเหมือนรู้ตัวเองว่าฉันไม่ควรเอาแต่ใจตัวเอง ทุกวันนี้ก็เลยโอเคขึ้น อยู่กันแบบสนุกสนาน จริงๆ ครอบครัวพี่ไม่ได้เศร้านะ อยู่กันแบบฮาๆ ตลอดทุกวัน กำลังใจตอนนี้ดีมากค่ะ ทุกวันนี้ที่พี่ทำธุรกิจได้ค่อนข้างดีก็ส่วนหนึ่งได้กำลังใจจากครอบครัว ถ้ารู้สึกว่ามันท้อมากๆ ก็ถ้าได้กลับบ้านเร็ว ได้ไปเจอกัน ได้กินข้าวเราก็รู้สึกมันดีขึ้น"
"ที่หายจากวงการไปเลย ถ้าหายจริงๆ ไม่รับเลยเนี่ยก็ตั้งแต่พ่อมองไม่เห็น น่าจะประมาณ 3-4 ปีหลังนี้ค่ะ เพราะว่าเราอยากจะใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับเค้า หมอก็บอกว่าพ่อเป็นระยะสุดท้ายหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้นพอพี่มีเงินเก็บก้อนนึง พี่ก็คิดว่าเราไม่ได้ขี้เกียจ เดี๋ยวเงินเราก็หาใหม่ได้ เวลาตรงนี้ขอไม่รับงานที่มันใช้เวลาครอบครัวเยอะ อยากจะอยู่แล้วก็ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่าเราไม่ได้ทำดีที่สุด"
"ตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับงานเลยค่ะ แรกๆ 3-4 ปีก่อนก็มีผู้จัดละครติดต่อมาบ้าง พอเราไม่รับ เค้าก็คงพูดต่อๆ กันว่าเราไม่รับ ปู้เป้ไม่รับงานแล้ว มันก็เลยค่อนข้างห่างหาย ซึ่งหลายๆ คนตอนนี้ก็ไม่ได้ติดต่อมาแล้ว จริงๆ มันก็เป็นอาชีพที่เรารัก แล้วเราก็ชอบด้วย แต่ว่าต้องขอบอกเลยว่าตอนนี้ยังไม่รับละครจริงๆ ค่ะ เพราะว่าอยากจะใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับครอบครัวที่เรารัก"
"พอมีข่าวออกมา ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ติดตามโซเซียลมาก ก็เข้าไปอ่าน อ่านให้พ่อฟัง แล้วน้ำตาไหลทั้งพ่อทั้งลูกเลย (น้ำตาคลอ) คือเรามีความรู้สึกว่า เราไม่ได้อยู่กันเองในครอบครัวแล้ว เรามีกำลังใจจากคนอื่นๆ ก็เลยรู้สึกว่าหลายๆ คนนะบอกไว้เลยว่า ถ้าเกิดว่าท้อ กำลังใจสำคัญที่สุด รวมถึงพี่กับครอบครัวพี่ด้วยทั้ง 3 คน ก็คือ พ่อ แม่ พี่ ก็ต้องขอบคุณทุกกำลังใจ ไม่มีคอมเม้นท์ไหนเลยที่เป็นคอมเม้นท์ไม่ดี เราได้อ่านทุกคอมเม้นท์ต่อกำลังใจให้ตัวเป้เอง ให้ครอบครัวเราด้วย ต้องขอขอบคุณ ถ้ามีคนยื่นมือเข้ามาอยากช่วยบริจาคนะคะ ขอเลยว่าให้ไปบริจาคกับมูลนิธิที่เค้าเดือดร้อนกันจริงๆ คือเป้ไม่ได้เดือดร้อน ตัวเป้เองพอใช้อยู่ค่ะ ขอบคุณจริงๆ" ปูเป้ กล่าว
ขอบคุณภาพจาก IG @pupe_onhathai
ปูเป้ อรหทัย© สนับสนุนโดย Monotech ปูเป้ อรหทัย
ปูเป้ อรหทัย
ปูเป้ อรหทัย© สนับสนุนโดย Monotech ปูเป้ อรหทัย
ปูเป้ อรหทัย
ปูเป้ อรหทัย© สนับสนุนโดย Monotech ปูเป้ อรหทัย
ปูเป้ อรหทัย
ปูเป้ อรหทัย© สนับสนุนโดย Monotech ปูเป้ อรหทัย
ปูเป้ อรหทัย
ปูเป้ อรหทัย-คุณพ่อ© สนับสนุนโดย Monotech ปูเป้ อรหทัย-คุณพ่อ
ปูเป้ อรหทัย-คุณพ่อ
ปูเป้ อรหทัย-คุณพ่อ© สนับสนุนโดย Monotech ปูเป้ อรหทัย-คุณพ่อ
ปูเป้ อรหทัย-คุณพ่อ
ปูเป้ อรหทัย-คุณพ่อ© สนับสนุนโดย Monotech ปูเป้ อรหทัย-คุณพ่อ
ปูเป้ อรหทัย-คุณพ่อ